วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คน ไท ทิ้ง แผ่นดิน ( ภาค ๓ ทัพจิ๋นบุกไท)

ภาค ๓
ทัพจิ๋นบุกไท

๑...
ต่อมาแผ่นดินจิ๋นสงบศึกกับลูโฟ เจ้าเมืองแคว้นจูเชนแล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องตั้งให้ลูโฟเป็นอุปราชรักษาชายแดนด้านเหนือ และแผ่นดินจิ๋นส่งทาสหญิงและชายให้ลูโฟปีละสองร้อยคนและทองสองพันแท่ง ครั้นปีต่อมากษัตริย์จิ้นอ๋องปกครองได้ครบสิบปี กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงเรียกประชุมขุนนางทั้งปวงและกล่าวว่า "บัดนี้ศึกด้านอื่นสงบ แต่เราต้องซื้อความสงบ จากชาวจูเชนเป็นรายปีไม่น้อย ส่วนด้านใต้นั้นเล่า แต่ก่อนเราได้ส่วยและทาสจากแคว้นต่าง ๆ ของไท บัดนี้ไม่ได้มาอีกแล้ว ทั้งทองที่เราส่งไปให้แค้วนเม็งเพื่อให้ไทรบกันเอง ก็ทำงานไม่ได้ผลเสียแล้ว แคว้นไทต่าง ๆ กลับรวมกันดีกว่าแต่ก่อนเราจะทำประการใดต่อไป"
ลิบุ๋นกล่าวว่า "ถึงแม้ทองของเราจะไปทำร้ายแคว้นไทต่าง ๆ ไม่ได้ผล แต่เวลานี้เราว่างการศึกจากด้านอื่นแล้ว ข้าจะไปนำแคว้นไทมาให้พระองค์เหมือนเดิม ถึงแม้คนไทสิบสองแคว้นเวลานี้จะรวมกัน แต่ก็มิต่างจากนกสิบสองตัวมารวมฝูงเมื่อใดถูกขว้างด้วยก้อนหิน นกเหล่านี้จะเตลิดหนีด้วยความกลัว"
ซุนโปกล่าวขึ้นว่า "ซึ่งฝ่ายทหารจะทำเช่นนั้น ข้าก็เชื่ออยู่ว่าเราจะชนะคนไทแน่นอน แต่ในการรบเราจะต้องลงทุนและจะต้องเสียหายบ้าง เพียงแต่นำทหารเดินทางข้ามป่าข้ามเขาบุกเข้าไปในแคว้นไท ความเสียหายก็มากอยู่ อนึ่งเล่า เวลานี้ แม้ไทสิบสองแคว้นจะเหมือนนกสิบสองตัวดังผู้สำเร็จราชการทหารว่า การปราบด้วยกำลังคราวนี้เราจะต้องเสียหายมากขึ้นแต่ก่อนนั้นแคว้นไทแต่ละแคว้นจะลุกขึ้นต่อสู้ทัพจิ๋นต่อเมื่อทัพจิ๋นเข้าไปถึงชายแดนของตน แต่คราวนี้จะรวมกันสู้ จิ๋นทำศึกเพื่อประโยชน์ มิใช่เพื่อเป็นกีฬา ข้าคิดว่าควรหาทางอื่นที่จะเอาแคว้นไทต่าง ๆ มาอยู่ในอำนาจโดยมิให้เราต้องเสียหายจะเป็นการดีกว่า"
กษัตริย์อ๋องจึงกล่าวว่า "จะมีทางทำได้เช่นนั้น"
ซุนโป "ปีนี้จะมีงานฉลองการครองแผ่นดินครบสิบปีของพระองค์ ขอให้พระองค์มีหนังไปเชิยเจ้าเมืองลือ เจ้าเมืองไต๋กับเจ้าเมืองเม็ง ซึ่งมีอำนาจอยู่ในแคว้นไทต่าง ๆ ให้มาในงานฉลองนี้ เจ้าเมืองทั้งสามจะมาเองหรือจะส่งทูตมาก็ตาม เราจะได้เกลี้ยกล่อมบางแคว้นไว้ในอำนาจ และถึงแม้จะเกลี้ยกล่อมไม่ได้เมื่อคนไทได้เห็นกำลัง และความเจริญของบ้านเมืองหยาบกว่าคอกม้าของพระองค์ หากคนไทมาเห็นกำลังและอำนาจของเราแล้ว เราพอจะขู่ให้ทำสัญญาเป็นไมตรีกับเรา และให้ไทส่งส่วยให้แก่เราเพื่อเราจะรบพิทักษ์แคว้นไท ข้าว่่าควรใช้วิธีนี้ก่อนที่จะใช้กำลังไปปราบ"
แล้วซุนโปเสริมว่า "เมื่อกบได้เห็นทะเลแล้วก็หมดความทะนงไป"
กษัตริย์จิ้นอ๋องเกรงใจลิบุ๋นว่า "ผู้สำเร็จราชการจะเห็นประการใด"
ลิบุ๋นตอบว่า "ข้าจะเห็นด้วยกับซุนโปไว้ก่อน และหากว่าทูตไทมาเห็นอำนาจของเราแล้วยังขืนกระด้างอื่น และไม่ควรจะให้คนไทได้อยู่ติดอาณาเขตกับเราอีกต่อไป ข้าจะขอยกทัพไปปราบเสียให้ราบเหมือนฝ่ามือ และจะนำคนจิ๋นไปอยู่ในแคว้นไท แทนคนไทต่อไป"
กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงให้ทำหนังสือถึงบุญปัน และขุนสินและสีเมฆ มีข้อความว่า ขอเชิญมาร่วมในงานฉลองเมือง ในการที่กษัตริย์จิ้นอ๋องครองแผ่นดินมาครบสิบปี และในโอกาสนี้จะได้ทำสัญญาเป็นไมตรีกันด้วยเพื่อว่าจิ๋นกับแคว้นไทต่าง ๆ จะได้อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างสงบ
แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องให้คนถือหนังสือไปยังเมืองทั้งสาม

๒...


บุญปันเมื่อได้รัับหนังสือของเจ้าแผ่นดินจิ๋นแล้ว จึงถามกุมภวาว่า "สูคิดว่าจิ๋นตั้งใจจะไปเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเราหรือจึงได้ชวนเราไปเช่นนี้"
กุมภวากล่าวว่า "แท้จริงแล้วจิ๋นรู้อยู่ว่าไทกับจิ่นจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้ โดยเขาไม่ต้องเชิญเราไปทำสัญญาต่อกัน เพียงแต่จิ๋นจะไม่รุกรานไทต่อไป เรากับจิ๋นก็จะอยู่รวมกันอย่างสงบ แต่ที่จิ๋นเชิญเราไปครั้งนี้ก็เพื่อจะให้เราเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อจิ๋นตามวิถีที่จิ๋นต้องการเท่านั้น แต่เราไม่ควรปฏิเสธข้าจะไปเจรจากับจิ๋นเอง อนึ่ง จิ๋นคงจะเชิญขุนสิน และสีเมฆด้วย เราควรมีหนังสือไปแจ้งแก่สองคนนั้นว่า หากแต่ละแคว้นส่งทูตแยกกันไป จิ๋นจะนึกว่าคนไทยังไม่ประสานกำลังกันเต็มที่ขอให้สูแจ้งแก่แคว้นทั้งสอง ข้าจะไปแทนทั้งสองแคว้นนั้นด้วย ขุนสินกับสีเมฆคงจะไม่ขัดข้อง"
บุญปันจึงมีหนังสือไปยังขุนสินและสีหมอกตามที่กุมภวาแนะนำ ในไม่ช้าทางเมืองไต๋และเมืองเม็งก็แจ้งมาว่าให้กุมภวาเป็นทูตแทนแคว้นทั้งสองด้วย
กุมภวาจึงออกเดินทางจากเมืองลือ พร้อมกับธงผาและคนติดตามสิบคน เมื่อถึงป่าลาย กุมภวาเข้าไปเยี่ยมสีบุญพี่ชายของตนสีบุญก็แจ้งให้กุมภวาทราบว่า เมื่อครั้งศึกลิตงเจียชาวจิ๋นผู้หนึ่งผ่านมาและสีบุญช่วยเหลือไว้ กุมภวาสอบถามลักษณะของชาวจิ๋นผู้นั้นก็รู้ว่าเป็นเตียวเหลียง
กุมภวาเดินทางต่อไป เมื่อถึงโลยาง ซุนโปต้อนรับ กุมภวาก็กล่าวแก่ซุนโปว่า "ข้าชื่อกุมภวาเ็ป็นทูตไทมาตามคำเชิญของแคว้นจิ๋น"
ซุนโปคำนับให้กุมภวาและถามว่า " เราเชิญไปทั้งสามแคว้นซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในแดนไท คือแคว้นลือ แคว้นไต๋ และแคว้นเม็ง สูเป็นทูตของแคว้นใด "
กุมภวาำกล่าวว่า " ข้าเป็นทูตจากแคว้นลือ แต่ถ้าจิ๋นจะเจรจากับแคว้นไต๋ และแคว้นเม็งด้วยก็เจรจากับข้าได้ื เพราะแคว้นทั้งสองมอบให้ข้ากระทำการแทน "
ซุนโปหัวเราะและกล่าวว่า " แคว้นไทมีคนน้อยนักหรือ จึงส่งทูตมาเพียงคนเดียว "
กุมภวากล่าวว่า " เมืองจิ๋นมีเจ้าแผ่นดินเพียงคนเดียว เราจะต้องส่งทูตมาหลายคนหรือ "
ซุนโปได้ฟังก็คิดในใจว่า " ฮวนคนนี้เจรจาโอหังนัก แต่ข้าจะต้อนรับโดยดีไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา "
แล้วซุนโปก็กล่าวว่า " ที่ข้าพูดเช่นนั้นมิใช่จะดูหมิ่นแคว้นไท แต่เพราะอยากจะให้คนไทมาในงานพิธีของกษัตริย์เราให้มาก ด้วยว่าเราจัดสถานที่ไว้สำหรับรับรองกว้างขวาง คิดว่้าคนไทจะมากันมาก "
แล้วซุนโปนำกุมภวากับธงผาไปยังตึกใหญ่ ซึ่งเตรียมไว้รับรองทูตไท และซุนโปกล่าวว่า " ตึกนี้มีห้องสำหรับรับรองคณะคนไทสี่สิบแปดห้อง แต่สูมาเพียงสองคน ถ้าไม่รวมคนแบกหามขอให้สูพักที่นี่ตามสบายเถิด เพราะว่านานวันกว่าที่สูจะเข้าเฝ้ากษัตริย์ของเราได้ "
กุมภวากล่าวว่า " ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองตังเกี๋ยมาร้องทุกข์ต่อกษัตริย์จิ๋น เพื่อให้ไต๋สวนความเดือดร้อนของชาวตังเกี๋ย แต่ต้องรออยู่ที่ตึกนี้หนึ่งปีเต็ม จึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ แต่ก็ข้าไปแล้ว เพราะชาวตังเกี๋ยทนรออยู่ไม่ได้ จึงแข็งเมืองต่อจิ๋น เรามิได้มาร้องทุกข์ต่อกษัตริย์จิ๋น แต่มาเจรจาความเมืองอย่างผู้เสมอกัน คงไม่ต้องรอนานนักมิใช่หรือ "
ซุนโปหัวเราะ และกล่าวว่า " กษัตริย์ของเรามีงานมากเกินกว่าที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วได้ื แต่ทูตไทรอบรู้เรื่องจิ๋นดี การเจรจาระหว่างผู้รู้ด้วยกันจะสำเร็จได้ง่ายขึ้น อนึ่งขอให้สูเชื่อเถิดว่าสูจะได้กลับไปยังเมืองของสูโดยได้ผลตอบแทนเพียงพอสำหรับเวลา และความเหนื่อยยากในการมาครั้งนี้ "
แล้วซุนโปนำชาวไททั้งสองไปชมห้อง ซึ่งประดับไว้ด้วยเครื่องใช้อันงดงาม และล้วนมีค่า เมื่อซุนโปลาไปแล้ว กุมภวาจึงถามธงผาว่า " สูได้มาเห็นแคว้นจิ๋นแล้วคิดว่าไทจะสู้แคว้นจิ๋นได้หรือไม่ จงดูของประดับเหล่านี้เถิด ราคาแพงเหลือเกิน "
ธงผาตอบว่า " คนและทรัพย์ของจิ๋นมากกว่าของไทมาก แต่ถ้าเราถูกข่มเหงเราก็ต้องสู้ "
กุมภวาพอใจคำพูดของธงผายิ่งนักจึงกล่าวว่า " ธงผาเอย เพราะข้ารู้ว่าสูมีน้ำใจที่ไม่กลัวต่ออำนาจ และกำลังข้าจึงได้นำมาด้วย แม้เราจะรู้ว่าข้างหน้าของเรานั้น เราจะพบความลำบาก แต่เมื่อหนทางสู้ยังมีอยู่ เราจะต้องสู้ ลำพังแต่การมีชีวิตอยู่นั้นชีวิตจะมีค่าก็หาไม่ เมื่อจะอยู่ จงอยู่อย่างเป็นไท แต่ธงผาเอย ใช่ว่าความเจริญของจิ๋นดังที่เห็นด้วยตานี้ จะเป็นสิ่งแท้จริงก็หาไม่ แท้จริงบ้านเมืองจิ๋นกำลังเสื่อม ความอดทน ความเข้มแข็ง และคุณธรรมต่างๆ ของชาวจิ๋นสมัยก่อนได้สูญหายไปจากชาวจิ๋นในสมัยนี้แล้ว แต่ว่าชาวจิ๋นชั้นปกครองเพลินในทรัพย์สิน จึงมองไม่เห็นความเสื่อมในเมืองของตน เขาคิดว่าจะเอาทองไปบ่อนทำลายเราได้ แต่เขากำลังบ่อนทำลายบ้านเมืองของเขาเองอยู่ ขุนนางจิ๋นกำลังแข็งขันกันว่าผู้ใดจะสะสมเงินและทองได้มากกว่ากัน ใครจะมีวังใหญ่กว่้ากัน เมืองใดผู้มีอำนาจคิดถึงแต่สิ่งเหล่านี้ เมืองนั้นจะมีแต่การฉ้อโกง และผู้ปกครองจะไม่มีเวลาแก้ไขความเดือดร้อนของราษฎรในเมือง เช่นนี้ผู้ปกครองจะทอดทิ้งราษฎร แทนที่จะเป็นผู้ดูแลและทำงานให้แก่ราษฎร พรุ่งนี้ซุนโปจะให้คนพาเราไปชมความมั่งคั่งของเมืองโลยาง แต่สูจะเป็นความอ่อนแอของแคว้นจิ๋นในความมั่งคั่งนั้น "
รุ่งขึ้น ซุนโปก็ให้อุยกิมนำกุมภวาและธงผาออกชมเมือง คนทั้งสองได้เห็นวังของขุนนางจิ๋นมีอยู่มากมาย และคนในวังต่างๆ นั้นทั้งหญิงและชายไว้เล็บยาว แสดงว่าเป็นคนชั้นสูงไม่ต้องทำงานออกแรง และเขาได้เห็นคนยากจนเนืองแน่นตามท้องถนนและตามกระท่อม เขาได้เห็นหญิงชายเป็นอันมากนั่งเกี้ยวแต่ตัวด้วยแพร และไหมสวยงามยิ่งนัก หญิงมีเครื่องประดับด้วยมณีมีค่า ดูน่าชม แต่ก็ได้เห็นชาวโลยางทั่วไปหุ้มห่อกายด้วยเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น อาศัยอยู่ในที่สกปรกคับแคบ เขาได้พบร้านจำนวนมากสำหรับผู้มั่งมี ภายในร้านทุกอย่างเป็นของมีราคาสูง ผู้ที่เข้าไปทั้งชายและหญิงแต่งตัวสะอาดและงดงาม แต่คนไททั้งสองก็ได้เห็นชาวจิ๋นผอมซีดจำนวนมากมายยืนนั่งและนอนอยู่ข้างถนน กุมภวาจึงกล่าวแก่ธงผาว่า " สูได้เห้นแล้วว่าในโลยางนี้คนแยกเป็นสองพวก พวกหนึ่งมีทรัพย์มากนักและเป็นสุขอยู่ในทรัพย์อันมากมาียของเขา ส่วนอีกพวกหนึ่งยากจนยิ่งนักและเดือดร้อนอยู่ในความยากจน ในเมืองที่คนแยกเป็นสองพวกเช่นนี้ ย่อมมีแต่ความชั่ว ทั้งความชั่วจากความฟุ่มเฟือยและการมีอำนาจ และความชั่วจากความขัดสน และการไร้อำนาจ น้ำใจของฝ่ายปกครองของจิ๋นเวลานี้ที่จะคิดถึงบ้านเมืองไม่มีแล้ว เพราะว่าเขาขาดน้ำใจต่อราษฎร ส่วนราษฎรจิ๋นนั้นเล่า เมื่อรู้สึกว่าผู้มีอำนาจในการปกครองละเลยเขา ความเกลียดชังต่ออำนาจปกครองก็จะเกิดขึ้น ความแตกร้าวภายในเช่นนี้ทำให้จิ๋นอ่อนแอ และวันหนึ่งข้างหน้า จิ๋นซึ่งดูใหญ่โตเกินกว่าชาติใดๆ จะต้องพ่ายต่อภัยจากภายนอก เพราะความอ่อนแอภายใน ธงผาเอย แคว้นไทจะพบกับความรุกราน แต่ขออย่าให้แคว้นไทอ่อนแอ เพราะความแตกร้างเช่นนี้เลย "

๓...

ในเมืองจิ๋น อยู่มาวันหนึ่ง ธงผากล่าวแก่กุมภวาว่า " นับแต่ข้ามาพักที่นี่ หญิงต้อนรับในตึกนี้มีกิริยาที่เอาใจข้ามากผิดธรรมดา และข้าได้เห็นหญิงเอาใจสูผิดธรรมดาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าซุนโปส่งหญิงเหล่านี้มาบำเรอเรา ในเมืองจิ๋นมีประเพณีต้อนรับแขกเมืองเช่นนี้หรือ "
กุมภวาหัวเราะและกล่าวว่า " ธงผาเอย ซุนโปทำเช่นนี้ืื เพราะต้องการให้เราหลงในความบันเทิง เพื่อว่าเขาจะได้ประโยชน์จากการเจรจากับเรา "
ธงผาก็มิได้สนใจต่อหญิงที่มาต้อนรับเลย
ต่อมาซุนโปมาแจ้งแก่กุมภวาว่า " บัดนี้ถึงกำหนดที่สูจะเข้าเฝ้ากษัตริย์จิ็นอ๋องแล้ว ในเมืองเรานี้ผู้ใดจะเข้าเฝ้าเจ้าแผ่นดินจะต้องคลานเข้าไป และเอาศีรษะโขกพื้นสามครั้ง จึงเงยหน้าขึ้นเจรจากับเจ้าแผ่นดินของเราได้ ที่เรากระทำดังนี้ เพราะเจ้าแผ่นดินเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมา ขอให้สูกระทำดังนี้ด้วย เพื่อการเจรจาครั้งนี้จะดีกว่าแคว้นไท "
กุมภวาหัวเราะและกล่าวว่า " ข้าไม่ตำหนิจารีตของเมืองนี้ แต่ในเมืองเรานั้น เมื่อเราพ้นวัยทารกแล้ว เราไม่คลานให้ใคร และไม่เอาศีรษะโขกพื้น เพราะไม่ใช่กิริยาของมนุษย์ืื แต่เป็นกิริยาของกบในท้องนาที่ยืนสองขาไม่ได้ เรามาครั้งนี้แคว้นจิ๋นเชิญไปเราจึงได้มา เรามาแทนแคว้นไท สูจะให้แคว้นไทคุกเข่าให้แคว้นจิ๋นหรือ ส่วนที่สูบอกว่าเจ้าแผ่นดินของสูสวรรค์ส่งมานั้น แล้วสูกับข้าเล่า นรกส่งมาหรือ "
ซุนโปก็จนใจอยู่้เพราะตนเป็นผู้ออกความคิดที่จะให้ทูตไทเข้ามาเห็นอำนาจของแคว้นจิ๋น เมื่อกุมภวาขัดขืนเช่นนั้น ซุนโปจึงแจ้งให้กษัตริย์จิ้นอ๋องทราบ และกล่าวว่า " หากพระองค์ไม่ออกมารับทูตไท เพราะทูตไทไม่กระทำอย่างทูตของเืมืองขึ้น เราจะผิดต่อหนังสือที่เชิญเข้ามา ขอพระองค์ทนความหยาบช้าของคนเถื่อนพวกนี้สักครั้งเถิด "
กษัตรยิ์จิ๋นอ๋องก็จำยอมและให้จัดทหารใส่เกราะถือทวนยืนเรียงรายตั้งแต่หน้าวังไปจนถึงบัลลังก์ ข้างบัลลังก์นั้นมีมังกรทองคู่หนึ่งตั้งอยู่ ถ้ากดเครื่องกลไกเมื่อใด มังกรคู่นี้จะเชิดหัวผงกขึ้นเหมือนจะกัดคนหน้าบัลลังก์นั้น และจะมีเสียงคำรามออกจากปากมังกร
แล้วซุนโปไปนำกุมภวาและธงผาเข้ามาในวัง เมื่อผ่านทหารถือทวนที่เรียงรายอยู่สองแถวหน้าวัง ซึ่งมีท่าทางองอาจเหมือนอยากจะออกผจญกับข้าศึก ซุนโปถามกุมภวาว่า " สูเป็นทหารของเมืองจิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง "
กุมภวากล่าวว่า " ข้ายังไม่รู้ว่าทหารเหล่านี้เป็นอย่างไร เราจะรู้ว่าทหารดีหรือไม่ก็เมื่ออยู่ต่อหน้าศึก ทหารพวกนี้ ถ้าองอาจในสนามรบเหมือนเวลานี้จะดีหาน้อยไม่ "
ครั้นซุนโปพากุมภวากับธงผาผ่านประตูชั้นนอกเข้าไป ธงผาเห็นผู้หนึ่งนั้งอยู่บนเก้าอี้ทองแดง มีพรมขนแกะสีเหลืิองปูตลอดห้อง และสองข้างชายนั้นมีคนแต่งตัวโอ่อ่ายืนเรียงรายอยู่ ส่วนช่วยผู้นั่งบนเก้าอี้ทองแดงนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับงามกว่าผู้อื่น ธงผาจึงกล่าวแก่ซุนโปว่า " เจ้าแผ่นดินของสูแต่งกายงามนัก "
ซุนโปกล่าวว่า " คนที่นั้งบนเก้าอี้ทองแดงนั้นเป็นนายประตู หาใช่กษัตริย์ของเราไม่ "
ครั้งผ่านประตูไปอีกชั้นหนึ่ง ธงผาเห็นผู้หนึ่งนั้งอยู่บนเก้าอี้เงิน มีพรมสีม่วงปูไปถึงเก้าอี้นั้น และคนทั้งปวงในห้องนั้นแต่งตัวด้วยอาภรณ์งามกว่าในห้องนอก ส่วนผู้ที่นั่งบนเก้าอี้เงินมีท่าทางสง่า ธงผาจึงกล่าวแก่ซุนโปว่า " ผู้นั่งบนเก้าอี้เงินนั้นคงจะเป็นกษัตริย์จิ้นอ๋อง "
ซุนโปก็พึมพำกับตัวเองว่า " คนไทนี้ป่าเถื่อนโดยแท้ " แล้วซุนโปก็ตอบธงผาว่า " คนนั่งบนเก้าอี้เงินนั้นเป็นเพียงขันทีหน้าห้องของกษัตริย์ บัดนี้จะถึงกษัตริย์ของเราแล้ว "
และเมื่อเปิดประตูชั้นในเข้าไปก็ถึงห้องโถง ซึ่งขุนนางนั่งเฝ้ากษัตริย์จิ้นอ๋องอยู่มากมาย กษัตริย์จิ้นอ๋องนั่งอยู่บนบัลลังก์ฝังด้วยมณีเป็นประกาย และบัลลังก์นั้นตั้งอยู่บนยกพื้นสูงเหนือศีรษะคน คาดด้วยแผ่นทองคำ บันไดที่จะไปสู่บัลลังก์นั้นคาดด้วยมุกและมีมังกรทองตั้งอยู่สองข้าง
ซุนโปคลานขึ้นไปบนบันไดนั้นและกล่าวแก่กษัตริย์ของตนว่า " บัดนี้ทูตแคว้นไทประสงค์จะได้เฝ้าพระองค์ "
แล้วกุมภวากับธงผาก็เดินตรงไปยังหน้าบัลลังก์ และทั้งสองคนก็ยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าแผ่นดินจิ๋น กษัตริย์จิ้นอ๋องเห็นกิริยาของคนไททั้งสองไม่นอบน้อมต่อตนก็พึมพำกับตนเองว่า " คนเถื่อนย่อมจะหยาบคายเสมอ จะให้มีมารยาทแบบคนจิ๋นย่อมไม่ได้ "
แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องกล่าวแก่กุมภวาว่า " เรายินดีที่ได้ต้อนรับทูตจากแคว้นลือ นายของสูเป็นสุขดีอยู่หรือ " กุมภวาตอบไปว่า " ข้ายินดีที่ได้มาเยี่ยมแคว้นจิ๋น ส่วนที่ถามถึงนายของข้านั้น ชาวไทแคว้นลือไม่มีนายที่จะกล่างถึงได้ " กษัตริย์จิ้นอ๋องได้ฟังก็กล่าวว่า " เมืองลือไม่มีนาย แล้วผู้ใดส่งสูเป็นทูตมาเล่า "
กุมภวาจึงกล่าวว่า " บุญปันเจ้าเมืองลือส่งข้ามา และข้ามาแทนแคว้นเม็ง และแคว้นไทอื่นๆ ด้วย แต่บุญปันนั้นไม่ใช่นายของชาวลือหรือของข้า เราชาวลือเลือกเจ้าเมืองขึ้นไปทำงานให้แก่เรา มิได้เลือกไปเป็นนายของเรา ข้าจึงกล่าวว่าเมืองลือไม่มีนายและเวลานี้เจ้าเมืองของเราเป็นสุขดีอยู่ "
กษัตริย์จิ้นอ๋องใคร่จะให้ทูตไท ยกย่องบารมีของตน จึงกล่าวต่อไปว่า " ข้าได้ยินว่าเจ้าเมืองของสูมีบ่าวเพียงสองคนแล้วจะเป็นสุขได้อย่างไร ข้าเองมีบ่าวอยู่สองพันคนในวังนี้ยังหาความสุขได้ยาก "
กุมภวา " นอกจากจะมีบ่าวเพียงสองคนแล้ว เจ้าเมืองของเรายังทำงานบ้านเอง และไม่อาจจะไว้เล็บยาวอย่างขุนนานจิ๋นได้ แต่เจ้าเมืองของเราชังความโอ่อ่า และการโอ้อวดเขาจึงเป็นสุขอยู่ได้ "
กษัตริย์จิ้นอ๋องก็รำพึงกับตนเองว่า " ฮวนพวกนี้เถื่อนยิ่งนัก ไม่รู้จักวัดความสุขจากทรัพย์สินและบริวารเพราะว่าไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ ข้าจะกล่้าวเปรียบเทียบต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ จะพูดกันเข้าใจก็ในสิ่งที่เขาพอจะรู้เรื่องเท่านั้น "
แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องกล่าวขึ้นว่า " เมืองไทนั้นเล็กเท่าหมู่บ้านของเรา ควรจะหาที่พึ่งไว้เพื่อความสุขและความสงบ เหตุใดจึงบังอาจขับไล่ทัพของเราออกจากเมือง "
กุมภวากล่าวว่า " ความสุขและความสงบนั้น ทุกแคว้นย่อมจะแสวงไม่ว่าจะเป็นแคว้นใหญ่ แต่เกิดเป็นคนแล้วเอาคนเป็นทาสหาสมควรไม่ คนไทยรักอิสระเช่นเดียวกับคนจิ๋น เราจึงได้ขับไล่ทัพจิ๋นออกจากแคว้นของเรา "
กษัตริย์จิ้นอ๋อง " แต่แคว้นจิ๋นนั้นสูได้มาเห็นแล้ว มีอำนาจเหนือแคว้นทั้งปวง เสมือนมังกรมีอำนาจเหนือสัตว์ทั้งปวง คนไทควรจะให้มังกรโำกรธหรือ "
กุมภวา " เราเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ใต้ฟ้าเดียวกับคนแคว้นอื่น ไยจะกลัวมนุษย์ด้วยกันเล่า และมังกรนั้นจะมีอำนาจจริงหรือไม่ก็ตามเถิด เราไม่เคยกลัว เราไม่ใช่เด็กชาวจิ๋นไฉนจะมาขู่เรา "
กษัตริย์จิ้นอ๋องก็กดปุ่มเครื่องกลไก มังกรทองตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามออกจากปาก และผงกหัวทำกิริยาเหมือนจะกัดธงผา ธงผาชักดาบออกฟันมังกรนั้นคอขาด เครื่องกลไกก็เงียบไปกษัตริย์จิ้นอ๋องโกรธยิ่งนัก และเกรงว่าตนจะรักษามารยาทแบบจิ๋นไว้ต่อไปไม่ได้ จึงลุกเข้าข้างในโดยไม่เหลียวมาดูคนไททั้งสองอีกเลย
ซุนโปจึงกล่าวแก่กุมภวาว่า " คนไทกระทำเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นบัลลังก์แผ่นดินจิ๋น "
กุมภวาตอบว่า " เราไม่ได้ดูหมิ่นบัลลังก์ของจิ๋น แต่กษัตริย์จิ้นอ๋องดูหมิ่นเราซึ่งมาตามคำเชิญ "
แล้วกุมภวากับธงผาก็ออกจากวังไปยังที่พักของตน ซุนโปจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์จิ้นอ๋อง และกล่าวว่า " ที่เราเชิญทูตไทมาครั้งนี้ก็เพื่อจะให้แคว้นไทยอมส่งส่วยแก่เราโดยดี เราจะได้ไม่ต้องไปรบให้เป็นการลำบาก ่ที่ทูตไทกระทำการบังอาจต่อหน้าบัลลังก์ ขอพระองค์ได้อดกลั้นไว้เพราะคนไทยังป่าเถื่อนอยู่ และขอพระองค์ถือโอกาสที่เกิิดขัดใจนี้ส่งทองไปกำนัลแก่กุมภวาเป็นทีว่าพระองค์มิได้โกรธเคือง เมื่อกุมภวารับทองของเราแล้ว เขาคงจะตกลงกับเราได้โดยดี "
กษัตริย์จิ้นอ๋องก็มอบทองหกร้อยแท่งให้ซุนโปไป ซุนโปนำทองนั้นมายังกุมภวาและกล่าวว่า " บัดนี้กษัตริย์ของเราสำนึกว่าได้กระทำไม่สมควรแก่สู แต่เหตุอันไม่ดีเกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจกัน พระองค์จึงให้ข้ามาแจ้งแก่สูว่้าขออย่าได้ เอาความเข้าใจผิดในวันนี้มาขัดขวางที่เราจะมีไมตรีต่อกัน พระองค์จึงมอบทองหกร้อยแท่งนี้มากำนัลแก่สู "
กุมภวากล่าวว่า " ข้าไม่กลัวอำนาจของมังกรฉันใด ก็ไม่สนใจทองเหล่านี้ฉันนั้น หากกษัตริย์จิ้นอ๋องจะให้สิ่งใดขอให้ สิ่งนั้นเป็นน้ำใจที่มีต่อแคว้นไทเถิด เราไม่ประสงค์สิ่งอื่นใดจากจิ๋น "
ซุนโปก็ละอายใจยิ่งนัก และนำทองกลับไปคืนให้กษัตริย์ของตน และกล่าวว่า " ทูตฮวนคนนี้ระวังตัวมาก เราจะเกลี้ยกล่อมโดยดีต่อไปคงจะไม่สำเร็จ จะต้องเจรจากันโดยตรงในหมู่ขุนนาง "
กษัตริย์จิ้นอ๋องเห็นด้วย ซุนโปไปแจ้งแก่กุมภวาว่า " บัดนี้ สูได้เข้าเฝ้าแผ่นดินของเราแล้ว แต่ว่าก่อนที่สูจะกลับไปแคว้นจิ๋นกับแคว้นไทยังมีเรื่องที่ค้างอยู่ อันจะต้องเจรจากันให้เสร็จสิ้น เชิญสูเข้าไปในวัง เจรจากับฝ่ายเราพรุ่งนี้ "

๔...

รุ่งขึ้นกุมภวากับธงผาเข้าไปในวัง เห็นขุนนางฝ่ายจิ๋นนั่งเรียงกันอยู่สิบสองคน ทุกคนแต่งตัวโอ่อ่า กุมภวากับธงผาก็นั่งลงตรงข้ามขุนนางจิ๋นเหล่านั้น
แล้วซุนโปกล่าวขึ้นว่า " ผู้แทนไทได้มาในงานฉลองของเราแล้ว และจะกลับไปยังแคว้นของเขา แต่่ว่าก่อนที่เขาจะกลับไป จิ๋นกับไทควรจะเจราจากันในเรื่องที่ยังค้างอยู่ จิ๋นกับไทนั้นแท้จริงยังเป็นคู่ศึกต่อกัน เำพราะว่าฝ่ายไทได้ขับไล่ทัพจิ๋นออกจากแคว้นไท เราฝ่ายจิ๋นเป็นชาติใหญ่เกินกว่าที่จะยอมให้เผ่าพันธุ์อื่นกระทำแก่เราเช่นนั้นได้ เรามีชาติเล็กชาติน้อยอยู่รอบด้านเรา ซึ่งจะต้องให้อยู่อย่างมิตรกับเรา มิใช่อย่างศัตรูที่จะก่อความรำคาญให้แก่เราครั้งแล้วครั้งอีก ความสงบรอบแผ่นดินจิ๋นจำเป็นที่เราจะต้องรักษาไว้ เรารู้ดีว่าผู้แทนไทกำลังคิดอย่างไรในขณะนี้ เขาจะต้องคิดว่าความสงบระหว่างจิ๋นกับไทจะมีได้เสมอหากจิ๋นไม่เข้าไปรุกรานไท และไม่เข้ายึดครองแคว้นไท เขาจะคิดว่าไทเป็นชาติเล็ก ดังนั้นย่อมจะอยากเป็นมิตรกับจิ๋น จิ๋นเท่านั้นที่ไม่เป็นมิตรกับไท ด้วยความคิดเช่นนี้ผู้แทนไทจะมองจิ๋นเป็นฝ่ายรุกราน แต่ว่าเรามิได้รุกรานผู้ใด ที่เราไ้ด้รู้จักกับผู้แทนไทตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาชอบกล่าวอย่างเปิดเผย บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องกล่าวอย่างเปิดเผยบ้าง เหตุใดเล่าเราจึงไม่คิดว่าเรารุกรานแคว้นไททั้งที่เรายกทัพเข้าไปยึดครองแคว้นไท ผู้แทนไทรู้จักจิ๋นดีจึงย่อมจะรู้ว่าเผ่าจิ๋นเป็นเผ่าเจริญ เป็นเผ่ามีประเพณีและมีระเบียบ แต่เผ่าไทไร้ระเบียบ ไร้กฎหมาย จนเราต้องถือว่าเป็นเผ่าที่ต่ำกว่าจิ๋นมาก เพราะเหตุนี้ถ้าเราปล่อยให้เผ่าไทอยู่โดยลำพัง ภัยแก่จิ๋นจะมีขึ้นได้ เราจึงต้องเข้าไปยึดครองเพื่อว่าต่อไปเผ่าไทจะมีระเบียบมีกฎหมายตามแบบอย่างที่ดีของจิ๋นบ้าง แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋นกับไทจะได้เป็นอย่างผู้เสมอกัน และไม่มีการบังคับกัน ผู้เจริญย่อมจะเป็นมิตรกับผู้เจริญได้ แต่เมื่อเผ่าไทยังเถื่อนอยู่ เราก็จำต้องระวังภัยจากเผ่าไท เพราะเราไม่รู้ว่าความเถื่อนความไร้ระเบียบ ความไร้ขนบธรรมเนียมของเผ่าไทจะเป็นภัยแก่เราเมื่อใด "
" เพราะเหตุนี้เราจึงเข้าไปยึดครองแคว้นไทโดยเรามิได้ คิดว่าเราจะทำผิดต่อมนุษย์และเทพยดา เราคิดว่าการยึดจะนำความเจริญไปให้แก่คนไท เพราะว่าความเจริญนั้นเหมือนกระแสน้ำย่อมไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ อนึ่ง การเข้ายึดแคว้นไท ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่เรา แต่เมื่อคนไทขับไล่ทัพของเราออกมาเช่นนี้ เราก็จำต้องเตรียมการเพื่อกลับไปอีกด้วยกำลังที่มากกว่าเดิม แต่เราไม่ประสงค์จะเข้าไปโดยฝืนใจคนไท เราประสงค์จะให้คนไทยินยอมให้ทัพของเราเข้าไปอยู่ที่แคว้นลือตามเดิม การเจรจาวันนี้จะตัดสินว่าจิ๋นกับไทจะเป็นคู่ศึกกันต่อไป หรือว่าทั้งสองแคว้นจะอยู่ในความสงบอย่างเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เราอยากจะฟังว่าผู้แทนไทจะให้เราทำอย่างไรกับแคว้นไท "
กุมภวาลุกขึ้นกล่าวว่า " เราพอใจที่จิ๋นเจรจาอย่างเปิดเผย แต่เราไม่คิดว่าที่ฝ่ายจิ๋นกล่าวมานั้นถูกต้องกับความเป็นจริง เรายอมรับว่าเมื่อเทียบกับจิ๋น เราคนไทยังขาดระเบียบ ขาดกฎหมาย เราขาดสิ่งเหล่านี้ คนจิ๋นจึงคิดว่าจิ๋นเป็นเผ่าพันธุ์สูงกว่าไท การติดต่ออย่างผู้เสมอกันจึงเกิดขึ้นไม่ได้ จิ๋นจึงรุกรานไทโดยไม่รู้สึกว่าทำผิดต่อเพื่อนมนุษย์ และเทพยดาจิ๋นไม่คิดบ้างหรือว่าจะมีสักวันหนึ่งข้างหน้าที่เผ่าพันธุ์อื่นจะเห็นชาวจิ๋นเป็นเผ่าพันธุ์่ที่ต่ำกว่า แล้วเข้ารุกรานจิ๋น "
มิทันที่กุมภวาจะกล่าวจบ จางอุยขุนนางจิ๋นผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นกล่าวว่า " คนไทเจริญด้วยคุณธรรมมากนักหรือ จึงมากล่าวสั่งสอนจิ๋น "
กุมภวาหันไปกล่าวแก่จางอุยว่า " ในแคว้นไทมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ที่หาได้ยากในแคว้นเราคือคนที่ลุกขึ้นขัดในขณะผู้อื่นชี้แจงอยู่ ข้าสงสัยเสียแล้วที่ซุนโปกล่าวว่าคนจิ๋นมีระเบียบที่ดี "
จางอุยก็จำต้องนั่งลง แล้วกุมภวากล่าวต่อไป " ที่ฝ่ายจิ๋นกล่าวว่าจะนำทัพเข้าไปยึดแคว้นไท เพื่อความเจริญของแคว้นไทเอง ถ้าจิ๋นพูดเช่นนี้โดยจริงใจ จิ๋นก็พูดโดยปิดตาต่อกฎแห่งความจริง การบังคับไม่อาจให้ความเจริญแก่ผู้อยู่ใต้บังคับได้ ที่เรากล่าวนี้เราไม่ได้เกรงที่จิ๋นจะยกกำลังเข้าไปในแคว้นไท การต่อสู้กับภัยเป็นสิ่งที่คนทั่วไปรวมทั้่งพวกเราคนไทจะหนีีไม่พ้น เราหาเกรงการรุกรานของจิ๋นไม่ "
เรารู้ดีว่าเหตุใดจิ๋นจึงต้องรุกรานเผ่าอื่นที่อยู่ข้างเคียง จิ๋นต้องรุกรานผู้อื่นเพราะกำลังทหารของจิ๋นมีมากเกินไปเสียแล้ว มีมากเกินกว่าที่เหงื่อและแรงของราษฎรชาวจิ๋นจะช่วยแบกพยุงไว้ได้ ฝ่ายปกครองของจิ๋นจึงมองข้ามเขตแดนของตนไป เพื่อให้ราษฎรเผ่าอื่นช่วยแบกน้ำหนักนี้ไว้ นี่คือเหตุแท้จริงที่ทำให้จิ๋นยกทัพเข้าไปในแคว้นไท จิ๋นทำเช่นนี้สมควรแล้วหรือ แต่เรารู้ว่าเป็นความจำเป็นที่จิ๋นจะต้องทำ เรารู้ว่าเราต้องพบการรุกรานจากจิ๋น "
กุมภวากล่าวต่อไปว่า " ขุนนางจิ๋นเปรียบความเจริญเหมือนกระแสน้ำที่ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ฝ่ายจิ๋นไม่ละอายต่อมนุษย์ และเทพยดาในการที่จะเข้ายึดแคว้นไท เพราะฝ่ายจิ๋นคิดว่าเมื่อยึดแล้ว แคว้นไทจะรับความเจริญจากจิ๋น ที่ขุนนางจิ๋นคิดเช่นนี้ เขาลวงตนเองยิ่งกว่าที่จะคิดตามความเป็นจริง เรายอมรับว่่าแคว้นไทต่ำกว่าจิ๋นในความเจริญทางบ้านเมือง และเนื่องจากแคว้นไทอยุ่ใกล้จิ๋น ดังนั้นในยามสงบคนไทจะมีโอกาสรับความเจริญจากจิ๋น ชาวไทจะเข้ามายังแคว้นจิ๋นและนำแบบอย่างที่ดีของจิ๋นไปยังแคว้นของตน แต่กาลก่อนคนไทรับความเจริญจากจิ๋นด้วยวิธีนี้ แต่ว่าตั้งแต่สมัยกษัตริย์จิ๋นซีเป็นต้นมา จิ๋นใช้กำลังต่อแคว้นไทและเป็นธรรมดาที่ฝ่ายไทจะต่อต้านการใช้่กำลังนั้น เมื่อเป็นดังนี้ น้ำใจที่เป็นศัตรูกันจึงเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างจิ๋นกับไท เหมือนดังกำแพงอิฐที่กษัตริย์จิ๋นซีสร้างไว้ เพื่อกั้นเขตระหว่างแดนจิ๋นกับแดนของคนเถื่อนกระแสน้ำจะถูกกั้นโดยทำนบฉันใด ความเจริญจะถูกกั้นโดยความเป็นศัตรูกันฉันนั้น ความจริงข้อนี้ขุนนางจิ๋นน่าจะรู้อยู่ "
" เมื่อจูโกเหลียงเข้าไปรุกรานแคว้นไทนั้น เขากล่าวว่าเขาอยากจะเอาความเจริญไปให้คนไทที่ยังเถื่อนอยู่ มาบัดนี้จิ๋นจะรุกรานแคว้นไทอีก พวกสูจะหาข้ออ้างให้ดีกว่าของจูโกเหลียงไม่ได้หรือ เพื่อนมนุษย์และเทพยดาจะฟังได้บ้าง "
แล้วกุมภวาหันไปกล่าวแก่จางอุยว่า " บัดนี้สูจะกล่าวอะไรแทนฝ่ายจิ๋นก็กล่าวได้แล้ว "
จางอุยลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งและกล่าวขึ้นว่า " จิ๋นจะเข้าไปยึดแคว้นไทเพราะอะไรและเพื่ออะไรนั้น ให้ปราชญ์ในกาลข้างหน้าถกเถียงกันเถิด ที่แน่นอนเวลานี้คือฝ่ายจิ๋นกำหนดจะยกกำลังไปยึดแคว้นไทอีก แต่ถ้าแคว้นไทต้องการปกครองกันเอง โดยมิให้ฝ่ายเราเข้าไปยึดอำนาจ แคว้นไทจะต้องสำแดงความเป็นมิตรต่อเราด้วยการส่งส่วยเป็นรายปีให้แก่เรา หากเป็นได้เช่นนี้ ฝ่ายจิ๋นจะลืมความผิดที่ฝ่ายไททำกับเราไว้ "
กุมภวาตอบว่า " ข้าพอใจที่สูกล่าวไม่อ้อมค้อม แต่เราไม่ซื้อความเป็นมิตรจากผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้นจะมาจากทิศใด "
เซียวกวนขุนนางจิ๋นอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น " ที่ทูตไทกล่าวมาตั้งแต่ต้นนั้น ข้ารู้สึกว่าทูตไทกล่าวแทนชาวไร่ชาวนาทั้งปวงในแคว้นไท ข้าอยากจะให้ทูตไทมองความแท้จริงของชีวิตยิ่งกว่าที่จะมัวกล่าวโวหารอันไพเราะ แต่หาเนื้อความมิได้ ทูตไทมิได้คิดบ้างหรือว่าทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้องนี้ทั้งฝ่ายจิ๋นและฝ่ายไทเป็นคนชั้นปกครอง เราทั้งหมดนี้จะต้องรักษาอำนาจของเราให้คงไว้ ถึงแม้ทูตไทจะมิใช่ขุนนางจิ๋น แต่เขาก็เป็นชนชั้นเดียวกับเราที่นั่งอยู่ในที่นี้ เราเป็นคนอยู่ในชั้นสูงและเหนือชาวเมืองทั้วๆ ไปในแผ่นดินในชั้นเดียวกันย่อมจะช่วยกัน ส่วนคนชั้นที่ต่ำกว่าจะต้องรับใช้คนชั้นที่สูงกว่า นี่เป็นกฎธรรมดาที่เห็นได้ง่าย และถ้ามีการฝืนกฎธรรมดานี้ ณ ที่ใด ความระส่ำระสายและความเดือดร้อนจะเกิดขึ้น ณ ที่นั้น หากทูตไทจะตกลงตามเรา คือนำแคว้นไทมาอยู่ในความคุ้มครองของจิ๋น ทูตไทและคนอื่นๆ ที่ปกครองแคว้นไทอยู่ก็จะคงอยู่ในอำนาจต่อไปและราษฎรก็จะอยู่ในความสงบและเป็นสุข โดยเราจะให้ความช่วยเหลืออีกด้วย แต่ถ้าทูตไทไม่ยอมนำแคว้นไทมาอยู่ในอำนาจของจิ๋น เราก็จำต้องใช้กำลังต่อแคว้นไท และเมื่อถึงเวลานั้นคนไททั้งปวงรวมทั้งคนชั้นปกครองของไทก็จะจมอยู่ในความพินาศ ทุกอย่างจะถูกทำลายเหมือนต้นไม้ในป่าถูกทำลายด้วยไฟในฤดูร้อน ทูตไทอย่างน้อยก็จงคิดถึงประโยชน์ของตนบ้าง ผู้ใดปิดตาต่อประโยชน์ของตนเอง และไม่รู้ถึงประโยชน์ของคนในชั้นของตน ผู้นั้นจะนำความพินาศให้แก่ทุกคน "
ขุนนางจิ๋นอื่นๆ ก็ผงกศีรษะสนับสนุนคำของเซียวกวน
กุมภวาตอบย้อนไปว่า " คำชี้ชวนของสูไม่อาจให้เราเชื่อได้และคำขู่เข็ญด้วยการเปรียบเทียบของสูไม่ทำให้เรากลัวได้ สูอาจจะถือเป็นกฎธรรมดาว่า สิ่งใดที่อยู่ในชั้นเดียวกันจะช่วยกันและสิ่งใดที่ต่ำกว่าจะต้องรับใช้สิ่งที่สูงกว่า แต่ที่สูแบ่งคนเป็นชั้นสูงและชั้นต่ำนั้นสูทำผิดมาก คนมีอยู่ชั้นเดียว เพราะคนเท่าเทียมกัน แต่ว่าพวกสูกำลังแยกคนเป็นนายชั้นหนึ่ง และที่เป็นทาสอีกชั้นหนึ่ง นี่ผิดกฎธรรมดา และเมื่อผิดกฎธรรมดาความระส่ำระสายและความเดือดร้อนจะมีขึ้นดังที่สูกล่าว ดังนั้นเราจะไม่ร่วมมือกับพวกสูที่จะพยายามกดขี่คนสูเตือนให้เราคำนึงถึงประโยชน์ที่ถูกต้อง เรารู้ดีว่าประโยชน์ของเราอยู่ที่ใด สิ่งที่คนไทต้องการนั้นคือให้เขาได้อยู่อย่างเป็นไทแก่ตัวและไม่ถูกบังคับด้วยอำนาจจากผู้อื่น "
ส่วนที่สูขู่เราว่า ถ้าเราไม่ยอมตามที่สูเรียกร้อง เราจะถูกทำลายไปเหมือนต้นไม้ในป่าถูกไฟ สูต้องไม่ลืมว่าไฟป่านั้นในที่สุดจะมอดไป แต่ป่าที่ถูกไหม้นั้นจะงอกงามขึ้นใหม่ทั้งเขียวและสดชื่น เช่นเดียวกันอำนาจที่โหดร้ายจะอยู่ไม่ได้นาน และการรุกรานจะถูกปราบให้สิ้นไป เพราะสวรรค์ไม่สนับสนุนชาวจิ๋นจงคำนึงถึงประโยชน์ของตนให้ถูกต้องเถิด ดีกว่าที่จะมาขู่เรา "
ที่ประชุมก็เงียบไป และขุนนา่งจิ๋นต่างก็จ้องมายังทูตไทที่ไม่ยอมอ่อนต่อตน ในที่สุดลิบุ๋นกล่าวขึ้นด้วยเสียงห้าวว่า " กำลังทัพของจิ๋นมีเกินกว่าที่คนไทจะนึกถึงได้ ถ้าแคว้นไทส่งส่วยให้แก่จิ๋น ข้าจะลือความอัปยศของลิตงเจียและกองทัพของเราจะเป็นกำลังคุ้มครองแคว้นไท ถ้าแคว้นไทยังทะนงอยู่ไม่ยอมส่งส่วยให้แก่จิ๋น กองทัพของเราจะเป็นกำลัง่ที่ทำลายแคว้นไท จิ๋นเสมือนผู้ใหญ่ ฝ่ายไทเสมือนผู้น้อยจึงควรจะให้ผู้ใหญ่คุ้มครอง "
กุมภวาหัวเราะดังลั่นและกล่าวว่า " กองทัพจิ๋นจะคุ้มครองแคว้นไทจากใครที่ไหนเล่า ในเมื่อผู้จะรุกรานแคว้นไทมีแต่จิ๋นเท่านั้น ส่วนที่สูว่าเราเป็นผู้น้อยนั้น เราเป็นคนอยู่บนผืนดินเช่นเดียวกับจิ๋น เราไม่เป็นผู้น้อยของใคร เราไม่กลัวคำขู่ของใคร "
เซียวกวน " ความไม่กลัวนั้นทุกคนกล่าวได้เมื่อสิ่งที่น่ากลัวยังไม่เกิืด สูคิดหรือว่้ากำลังอันเล็กน้อยของแคว้นไทจะต้านทานจิ๋นได้ "
กุมภวา " เรารู้แต่ว่าจิ๋นมีคนมากกว่าเรา แต่จำนวนคนมิใช่จำนวนทหาร จำนวนทหารมิใช่จำนวนนักรบ จิ๋นไม่มีอะไรให้เรากลัว "
เขาหันไปดูหน้าของขุนนางจิ๋นทุกคน แล้วกล่าวต่อไปว่า " สูจะเอาความเจริญไปให้แคว้นไท แต่แล้วสูชอบอ้างถึงกำลังอันเหนือกว่าเช่นนี้ จะให้เราเข้าใจชาวจิ๋นได้อย่างไร "
เซียวกวน จึงกล่าวว่า "ทูตไทชอบย้ำถึงความไม่กลัวกำลังของจิ๋น ความไม่กลัวนั้นหากเกิดความโง่ย่อมไม่มีผู้ใดสรรเสริญ และความโง่หากเกิดในการศึกย่อมจะมีความพินาศตามมาชนิดที่แก้ไขภายหลังไม่ได้ ทูตไทรู้แล้วว่ากองทัพไท ซึ่งเราควรเรียกว่ากองโจรจะถูกต้องยิ่งกว่า ไม่เคยเข้ามาเห็นหลังคาเมืองหลวงของเราเลย แม้แต่จะข้ามเขตแดนของตนมายังแดนจิ๋นก็ยังไม่เคย นอกจากเมื่อมาช่วยหัวเมืองด้านนอกของจิ๋นที่เป็นขบถ ส่วนทัพจิ๋นนั้นผ่านห้วยผ่านเขาไปยึดแคว้นไทหลายครั้ง และทัพไทต้องถอยหนีทุกครั้งเมื่อพบกับทัพจิ๋น หากชาวไทคำนึงถึงความจริงข้อนี้ เขาน่าจะเลือกวิธีเสียหายน้อยที่สุดให้แก่ตนเอง คือส่งส่วยให้จิ๋นโดยดีจะได้ไม่ถูกทำลายด้วยกำลังของเรา "
กุมภวา " จิ๋นเสื่อมโทรมถึงเพียงนี้แล้วหรือ สมัยจิ๋นยังแบ่งแยกเป็นก๊กต่างๆ นั้น จิ๋นยังมีคนดี เวลานี้จิ๋นไม่รบพุ่งกันเองแล้ว ชาวจิ๋นแสวงแต่ประโยชน์และบัดนี้จะให้เราส่งส่วย เพื่อประโยชน์ของผู้จ่ายส่วยนั้นเอง เราเวลานี้ไม่คิดว่าการส่งส่วยให้จิ๋นเป็นประโยชน์แก่เรา และต่อไปความคิดเช่นนี้ก็จะไม่มีในใจเรา ชีวิตของคนมิได้สำคัญอยู่ที่ได้ประโยชน์หรืออยู่ที่เสียประโยชน์ มีหลายสิ่งที่เหนือกว่านั้น สิ่งหนึ่งคือการอยู่อย่างอิสระ แต่เมื่อพวกสูในที่นี้จะถือเรื่องประโยชน์เป็นสำคัญ สูควรจะรู้ว่าการรุกล้ำเข้าในแดนไทนั้น แต่ละครั้งจิ๋นไม่ได้รับประโยชน์คุ้มความเสียหาย จะว่าเราไม่เคยเข้ามาในแดนจิ๋น แต่ทหารจิ๋นก็ล้ำเข้าไปในแดนไทจะกลับมาพบลูกเมีย หรือแม่นั้นไม่เคยถึงครึ่งของจำนวนที่ล้ำเข้าไป จะว่าเราถอยหนีทัพจิ๋นแต่เราก็โจมตีทัพจิ๋นตลอดเวลา ระหว่างทัพจิ๋นข้ามเขาข้ามห้วย จะว่าเรามีกองทัพอย่างโจร เราก็ไม่เคยเป็นโจรปล้นบ้านเมืองของผู้อื่น ดังที่กองทัพของจิ๋นกระทำและจะว่าทัพจิ๋นเคย แต่ยึดเมืองของแคว้นไทได้ และแคว้นไทมิเคยยึดเมืองของจิ๋นได้เลย แต่เราก็ตีเมืองคืนจากทัพโจรได้เสมอ พวกสูถนัดการคำนึงถึงประโยชน์ และห่วงในความเสียหายย่อมจะคิดได้ว่า แม้จิ๋นจะเคยยึดแคว้นไทไว้ได้ถึงยี่สิบปี แต่จิ๋นได้ประโยชน์เกินความเสียหายของจิ๋นเองหรือ เรารู้ว่าจิ๋นสิ้นเปลืองทั้งทรัพย์สินและชีวิตมากเกินกว่าที่จะได้ประโยชน์จากฝ่ายไท เรารู้อยู่ว่าฝ่ายจิ๋นเข้าใจตามที่เรากล่าวนี้ จึงได้เชิญเรามาเจรจา เพื่อให้เราส่งส่วยให้โดยดี ขุนนางจิ๋นดูหมิ่นกำลังเรา แต่เราดูหมิ่นความเข้าใจของจิ๋น "
ซุนโป " เป็นอันว่าแคว้นไทสมัครจะทำศึกกับจิ๋นโดยที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะจิ๋นได้ "
กุมภวา " หากการศึกนั้นเป็นการป้องกันตัว เราจะทำศึกนั้น และการศึกมิได้ชนะด้วยจำนวน และเทพยดาย่อมจะเข้ากับฝ่ายถูก และลงโทษฝ่ายผิด เราไม่คิดว่าจิ๋นจะมีชัยต่อเราได้ "
ลิบุ๋น " ทูตไทรู้หรือไม่ว่าหากคนไทแพ้ครั้งนี้คนไทจะเป็นอย่างไร ข้าจะเป็นผู้ยกทัพไป แผ่นดินไทจะไม่เป็นของคนไทจะเป็๋นอย่างไร ข้าจะเป็นผู้ยกทัพไป แผ่นดินไทจะไม่เป็นของคนไทอีกต่อไป เราจะกวาดพื้นแผ่นดินไทให้ราบ ทุกอย่างที่กีดขวางทัพของเราจะถูกปราบให้สิ้น "
แล้วลิบุ๋นเอามือกวาดไปบนโต๊ะเบื้องหน้าตน กุมภวาดเห็นดังนั้นก็หัวเรากล่าวว่า " เรารู้แต่ว่าถ้าลิบุ๋นพี่ชายของลิตงเจียเป็นแม่ทัพไป ทัพจิ๋นจะพบความพินาศอย่างที่ลิบุ๋นไม่เคยเห็นมาก่อน "
ลิบุ๋นโกรธยิ่งนัก ร้องกล่าวแก่ที่ประชุมว่า " เราจะเจรากับคนเถื่อนต่อไปจะมีประโยชน์อันใด นอกจากจะได้ฟังความโอหัง กำลังเท่านั้นที่จะทำลายความโอหังของคนเถื่อนได้ "
แล้วลิบุ๋นก็ลุกขึ้นและหันไปถามกุมภวาว่า " คนไทไม่ยอมส่งส่วยให้คนจิ๋นหรือ " กุมภวาก็ลุกขึ้นและหันไปยังลิบุ๋นแล้วถามว่า " คนจิ๋นเท่านั้นหรือที่รักอิสระ "
ลิบุ๋นสำทับถามกุมภวาอีกว่า " คนไทพร้อมแล้วหรือที่จะสู้กับเรา " กุมภวาไม่ตอบ แต่กลับพูดว่า " ลิบุ๋น สูอย่าใช้แต่คำพูด จงไปพบเราในแคว้นไทเถิด แล้วสูจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น "
แล้วกุมภวาก็ออกจากที่ประชุมไป เมื่อพ้นวังมาแล้ว ธงผาถามขึ้นว่า " เหตุใดสูท้าทายลิบุ๋นเช่นนั้น เสมือนสูประสงค์ให้เกิดศึก "
กุมภวากล่าวว่า " สงครามระหว่างจิ๋นกับไทนั้น ข้าเห็นแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะขุนนานจิ๋นเวลานี้มีน้ำใจหยาบ ขุนนางเหล่านี้จะทำศึกกับไทเพื่อประโยชน์ของตนเอง การศึกมีแต่นำความทุกข์และความตายมาให้แก่ราษฎรจิ๋น แต่ในการศึกขุนนางจิ๋นแสวงหาประโยชน์ได้ยิ่งขึ้นจากแคว้นข้าศึก และจากราษฎรชาวจิ๋นเอง และเขาคิดว่าเมื่อชนะศึกแล้วชื่อของเขาจะโด่งดัง คนจะเอาชัยชนะของเขาเขียนเป็นหนังสือไว้ เขามิได้นึกถึงความตายและความโหดร้ายต่อราษฎรทั้งฝ่าย ข้ามาได้เห็นดังนี้ จึงรู้ว่าไม่อาจเลี่ยงศึกจิ๋นได้ ลิบุ๋นนั้นเป็นคนทะนงและดูหมิ่นฝ่ายเรา หากลิบุ๋นนำทัพไปเราก็จะรบกับสัตว์ใหญ่ที่อวดกล้า แต่มีความคิดน้อยข้าจึงได้ท้าทายไปเช่นนั้น "
ในที่ประชุมขุนนางจิ๋น เมื่อทูตไทออกไปแล้วลิบุ๋นกล่าวขึ้นว่า " ทูตไทกล่าวว่าจะกระทำต่อทัพเราอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เขาทะนงอยู่ได้เพราะยังไม่ได้เห็นกำลังของเรา พรุ่งนี้ข้่าจะนำทัพออกแสดงในสนามหน้าวัง ขอให้ซุนโปเชิญทูตไทมาชมเถิด เพื่อเขาจะได้เห็นสิ่งที่เขาจะไม่ได้เห็นที่อื่นภายใต้ดวงอาทิตย์และเขาอาจจะยอมส่งส่วยโดยดีื "

๕...

เย็นวันนั้น ซุนโปไปหากุมภวา กุมภวาก็ถามว่า " จิ๋นมีอะไรสำหรับขู่เราอีกหรือ "
ซุนโป " ใช่ว่าเราจะขู่คนไทก็หาไม่ แต่เราต้องการให้ทูตได้ฟังและได้เห็นทุกอย่างจากฝายเรา แล้วทูตไทจะได้กระทำในสิ่งที่ดีแก่แคว้นไท บัดนี้การเจรจากันก็ไม่สำเร็จแล้ว มีแต่ว่าเมื่อใดฝ่ายจิ๋นจะยกทัพไปยังแคว้นไทเท่านั้น แต่ดังที่ข้ากล่าวแล้วว่าเราต้องการให้สูได้ฟังและได้เห็นทุกอย่าง ข้าจึงมาเชิญไปชมกำลังทหารของเราพรุ่งนี้ เรามีการแสดงกำลังเช่นนี้ทุกปีในงานฉลองวันเกิดกษัตริย์ของเรา "
กุมภวาหัวเราะและกล่าวว่า " วันนั้นพวกสูขู่เราด้วยวาจา พรุ่งนี้สูจะเอากำลังทัพออกแสดงให้เรากลัวหรือ "
รุ่งขึ้นซุนโปก็นำกุมภวาไปยังสนาม มีชาวเมืองเป็นอันมากมาดูการแสดงกำลังทัพ ทัพต่างๆ ของจิ๋นเดินไปในสนามปานจะถล่มแผ่นดิน เมื่อทัพรถศึกผ่านหน้าซุนโปไป ล้อรถเหล่านั้นติดเคียวรับแสงอาทิตย์วาวตา น่าเกรงขาม ผู้ขับรถ และม้าอยู่ในอาการผยอง ประดุจเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดต้านทานรถศึกของตนได้ ซุนโปจึงหันไปถามกุมภวาว่า " ในแคว้นลือมีทัพรถศึกเช่นของเรานี้หรือไม่ "
กุมภวาอ้าปากหาวและตอบว่า " ทัพชนิดนี้สำหรับหลอกเด็ก เราจึงไม่ได้มีไว้ สูน่าจะรู้ว่าในการศึกไม่เคยปรากฎว่าทัพชนิดนี้จะชนะทหารเดินเท้าได้ ข้าอยากจะให้ลิบุ๋นนำทัพรถศึกไปให้คนไททำลายบ้าง "
ซุนโปเห็นว่าการอวดของตนไม่ได้ผลก็นิ่งอยู่ จากนั้นทัพม้าทัพราบเบาและราบหนักก็ผ่านหน้ากุมภวาและธงผาไป และสุดท้ายคือทัพโจมตีป้อมค่ายอันประกอบด้วยเครื่องโยนไฟ เครื่องขว้างก้อนหินและป้อมเคลื่อนที่ เมื่อทัพทั้งปวงผ่านหน้าไปแล้ว ซุนโปจึงหันไปกล่าวแก่ธงผาว่า " เรามีเวลาเตรียมตัวน้อย ไม่อาจแสดงให้สูได้เห็นเต็มที่ หากจะเอากำลังของเราทั้งหมดออกเดินสนาม สี่วันทหารก็จะผ่านหน้าสูไปไม่ได้หมด สูได้เห็นดังนี้แล้วคิดหรือว่าแคว้นไทจะมีกำลังมาต่อต้านเราได้ ข้าเป็นฝ่ายพลเรือนไม่อยากให้มีการใช้กำลังต่อกัน "
ธงผา " เราได้เห็นกำลังทหารของสูแล้ว ถึงแม้จะมีมากเหล่า และมีจำนวนมาก แต่ก็เป็นชาวจิ๋นนั้นเอง เสมือนเอาเนื้อสุกรมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ แต่ก็ยังเป็นเนื้อสุกรอยู่นั่นเอง เราหาได้สนใจไม่ เพราะเคยเห็นฝีมือมาแล้ว "
ซุนโปเอ่ยแก่ตนเองว่้า " ฮวนเหล่านี้ต้องตายเสียก่อน จึงจะหมดความโอหัง ควรแล้วที่ลิบุ๋นจะต้องยกทัพไปทำลายเสียให้สิ้น "
แล้วซุนโปกล่าวขึ้นว่า " สูนี้ข้าได้ยินว่าฝีมือ พรุ่งนี้ทหารของเราจะประลองฝีมือกันให้ประชาชนชม เราจะเชิญมา "
ครั้นรุ่งขึ้น ซุนโปก็นำกุมภวากับธงผาไปยังสนามประลองฝีมือ ในวันนั้นประชาชนชาวจิ๋นได้มาชมการประลองฝีมือกันเนืองแน่น และทหารเอกของจิ๋นใส่เกราะออกประลองฝีมือกันเป็นคู่ๆ ด้วยธนู ดาบ ทวน และลูกตุ้มหนาม ผู้ใดมีชัยก็ได้รางวัลจากลิบุ๋น เทียหยก ทหารเอกผู้หนึ่งชนะคู่ต่อสู้มาแล้วสามคนและไม่มีผู้ใดต่อสู้ด้วยอีก เทียหยกจึงก้าวหน้าถือดาบมาหน้าธงผา และร้องกล่าวว่า " ข้าได้ยินว่าสูมีฝีมือนัก จงลงมาลองกับข้าบ้าง "
ธงผาก็บอกว่า " ข้ามิได้มาเพื่อแสดงฝีมือ แต่มาชมฝีมือของทหารจิ๋นเท่านั้น ให้จิ๋นกับจิ๋นสู้กันเองเถิด "
เทียหยกก็หัวเราะและกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้นเราจะรู้ฝีมือของสูได้ต่อเมื่อเราไปในดินแดนของสูเท่านั้น "
ธงผาก็ชักดาบออกและเดินลงไปในสนาม เทีพหยกจึงกล่าวว่า " สูใส่เกราะเสียก่อนเถิดแล้วมาสู้กับเรามิฉะนั้นจะไม่ได้กลับไปยังเมืองลือ "
ธงผาื " สำหรับสู ข้าไม่ต้องมีอะไรป้องกันผิวหนังของข้า "
แล้วธงผาเข้าสู้กับเทียหยก รบกันได้พักใหญ่เทียหยกเสียทีถลำลงไปนอนกับพื้นสนาม ธงผาจึงกล่าวว่า " สูรีบหนีไปเสียโดยเร็ว และอย่าคิดไปรบกับคนไป "
เทียหยกมีความอายนักจึงรีบลุกหนีไป ม้าสุยทหารเอกจิ๋นอีกผู้หนึ่งเห็นดังนั้นก็โจนลงมาในสนามและร้องบอกธงผาว่า " สูชนะคนที่ต่อสู้มากับสามคนแล้ว ข้ายังนับถือฝีมือไม่ได้ จงมาลองกับข้าบ้าง "
ธงผาก็เข้าต่อสู้กับม้าสุย ครู่หนึ่งดาบของม้าสุยหลุดจากมือธงผาก็รอให้ม้าสุยเก็บดาบขึ้น แล้วทั้งสองคนก็ต่อสู้กันต่อไปอีก ธงผาตีดาบในมือม้าสุยตกลงยังพื้นดินอีก ธงผาัหัวเราะและกล่าวว่า " สูจงกลับไปนั่งตามเดิม และให้ผู้อื่นมาประลองกับข้าเถิด "
ทันใดนั้นหุดลก ทหารรับจ้างชาวตาดโจนลงมาในสนามและกล่าวขึ้นว่า " ฮวนผู้นี้ฝีมือสูงนัก แต่จะเหนือข้านั้นหาได้ไม่จงมาใช้ทวนสู้กับข้าดูบ้าง "
ธงผาถามไปว่า " สูเป็นใครที่จะมาลองฝีมือกับข้า "
หุดลกว่า " ข้าเป็นฮวนเหมือนกัน แต่เป็นฮวนทางเหนือ ข้าจะยอมให้พวกจิ๋นเห็นฮวนทางใต้มีฝีมือไม่ได้ เพราะถ้าเป็นดังนั้นค่าจ้างของพวกเราจะน้อยลง จงมาต่อสู้กับข้าให้เห็นฝีมือกัน "
ธงผากล่าวว่า " ทำไมสูโง่นัก คนที่สูควรจะสู้คือนายของสูไม่ใช่ข้า "
แล้วธงผาก็กลับมายังที่นั่งของตนตามเดิม และไม่มีใครกล้าท้าธงผาอีก เมื่อการประลองฝีมือเสร็จสิ้นแล้ว กุมภวากับธงผาก็กลับยังที่พัก และรุ่งขึ้นคณะทูตของไทก็เดินทางกลับ

๖...

เมื่อถึงเมืองลือแล้วกุมภวาก็แจ้งแก่บุญปันว่า " จิ๋นจะมีไมตรีต่อเราเมื่อเราส่งส่วยให้จิ๋น ไมตรีที่ต้องซื้อเช่นนี้คือการนำตัวเราไปเป็นทาส ข้าเชื่อว่าคนไทคงจะรู้ค่าของความเป็นไทเกินกว่าที่จะยอมเช่นนั้น หากสูเห็นด้วยกับข้า จงเตรียมตัวรับศึกจิ๋นเถิด "
บุญปันจึงประกาศให้ชาวลือทั้งปวงทราบว่า จิ๋นจะยกทัพใหญ่มาในไม่ช้า ให้ชาวลือทั้งนอกเมืองและในเมืองเตรียมอาวุธและเสบียงไว้ เมื่อทัพจิ๋นเข้ามาก็ให้ชายฉกรรจ์ืที่ยินดีรับใช้บ้านเมืองเข้ามาอาสา ส่วนที่ไม่อาจจะเป็นกำลังในการป้องกันบ้านเมืองได้ ก็ให้เตรียมเสบียงไว้เพื่ออพยพหลบไปจากทางเดินของทัพจิ๋น
แล้วบุญปันก็เชิญเจ้าเมืองแคว้นอื่นๆ มาประชุม เจ้าเมืองทุกแคว้นเต็มใจที่จะสู้กับทัพจิ๋น แล้วต่างก็กลับไปแจ้งแก่ชาวเมืองของตนให้เตรียมรับศึก
ทางแคว้นจิ๋นเมื่อกุมภวากลับไปแล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องเรียกประชุมขุนนางทั้งปวง และกล่าวว่า " บัดนี้เรารู้ชัดแล้วว่าแคว้นไทไม่ยอมขึ้นแก่เราโดยดี เราจะทำประการใดต่อไป "
ซุนโปกล่าวว่า " ใครเล่าจะคิดว่าคนไททะนงถึงเพียงนี้ ทุตไทเข้ามาในเมืองจิ๋นเสมือนมาเชิญให้เรายกทัพไปรบกับเขา เมื่อเป็นดังนี้เราจำต้องรับคำท้า ขอพระองค์มอบให้ลิบุ๋นจัดการกับคนเถื่อนพวกนี้โดยเร็วเถิด "
ขุนนานทั้งปวงนิ่งอยู่ บางคนนิ่งเพราะเห็นด้วย บางคนนิ่งเพราะเกรงกลัวลิบุ๋น แต่เล่าอองขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายตุลาการยืนขึ้นคัดค้านว่า " ข้าไม่คิดว่าไทอยากลองกำลังกับแคว้นเรา ไม่เคยปรากฎมาก่อนว่า แคว้นไทมีกำลังพอจะทำเช่นนั้นได้ เมื่อเป็นดังนี้ภัยจากแคว้นไทจึงไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องกังวล เรื่องจึงอยู่ที่ว่าเราควรจะรุกรานแคว้นไทหรือไม่ ถึงแม้ข้าจะเป็นตุลาการ ซึ่งมีชีวิตประจำวันอยู่ด้วยเรื่องใครผิดใครถูก ใครรุกราน ใครถูกรุกราน ข้าจะไม่พูดถึงความผิดถูกของการที่จิ๋นจะยกทัพเข้าไปในแคว้นไท ข้าจะถามแต่เพียงว่าในการยกทัพไปรุกรานแคว้นไทนั้น ประโยชน์จะมีแก่เราสมกับการลงทุนของเราหรือไม่ หากผู้ใดเชื่อว่าเราจะได้มากกว่าเสีย ข้าคิดว่าผู้นั้นเชื่อในความปรารถนายิ่งกว่าเชื่อในความรู้ แคว้นไทสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันหลายประการ สมัยก่อนคนไทแตกแยกัน แคว้นไทแคว้นหนึ่งรอดูความฉิบหายของแคว้นไทอื่นๆ อย่างไม่สนใจ ต่อเมื่อภัยมาถึงตัวนั้นแหละจึงจะหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้ สมัยนั้นคนไทรักอิสระแต่ไม่พยายามรวมกัน เพื่อรักษาความอิสระของตนไว้ แต่คราวนี้แคว้นไต๋ แคว้นเม็ง ยอมให้กุมภวาแห่งแคว้นลือเป็นทูตมาแทนแคว้นของตน ดังนี้ย่อมแสดงว่าคนไทจะรวมกันสู้ คนไทไม่แตกแยกกันแล้ว บางทีการรวมกันนี้จะไม่ยั่งยืน แต่เราคาดได้ว่าในการรบคราวหน้านี้เขาจะรวมกัน เพื่อต้านทานทัพจิ๋น นี่เป็นประการหนึ่งที่จะทำให้เราชนะคนไทได้ไม่ง่าย และความเสียหายของฝ่ายเราจะมากกว่าแต่ก่อน "
" ในประการที่สอง แต่ก่อนคนไทรบด้วยอาวุธเท่านั้น จะมีวิชาในการสงครามก็หาไม่และเมื่อคนไทมีผู้มีปัญญาเช่นจูโกเหลียง เป็นคู่ต่อสู้ จูโกเหลียงจึงทำแก่คนไทเหมือนในวงหมากรุกที่ผู้ช่ำของทำแก่คนใหม่ แต่เวลานี้เราได้รู้แล้วว่้าแคว้นไทมีทั้งผู้มีปัญญาและผู้มีฝีมือ คนไทได้เรียนไปจากเราแล้ว และดูเขาจะเป็นนักเรียนที่ดี มิฉะนั้นทัพลิตงเจียคงไม่ต้องถอยออกจากเมืองลือ และคงจะไม่เสียทีแก่ทัพฝ่ายไท ซึ่งมีกำลังทหารน้อยกว่าฝ่ายเราหลายเท่า พวกเราขอให้คำนึงถึงข้อนี้ืื เมื่อแม่ทัพของคนไทมีปัญญา เมื่อทหารของคนไทเข้มแข็ง และดุร้ายตามนิสัยของคนฮวนทั่วไป ประกอบกับความไม่เสียดายชีวิตอันเป็นแบบอย่างทั่วไป ของคนที่มีชีวิตตรากตรำ ดังนี้แล้วการศึกษากับคนไทคราวหน้าจะไม่ง่ายเลย "
" ในประการที่สาม บางคนอาจแย้งว่าถึงแคว้นไทต่างๆ จะมารวมกันสู้ เราก็อาจจะทำลายคนไทด้วยกำลังอันเหนือกว่าได้ชัยชนะนั้นเราคงจะมี ข้าเป็นชาวจิ๋นจะดูหมิ่นทัพจิ๋นได้อย่างไร แต่เราชาวจิ๋นผู้เจริญแล้วมิได้ต้องการเพียงชัยชนะ เราต้องการชัยชนะที่เป็นประโยชน์ เราต้องการชัยชนะที่จะนำส่วยจากแคว้นไทมาบรรเทาดภาษีจากราษฎรของเรา "
" เมื่อความประสงค์ของเราเป็นดังนี้ ที่ประชุมคิดหรือว่าเราจะได้ประโยชน์สมตามความมุ่งหมาย กำลังคนของเรามีมากกว่าของฝ่ายไทหลายเท่า หรือหลายสิบเท่าก็จริงอยู่ แต่นอกจากทัพของเราต้องรบกับคนที่ถืออาวุธแล้ว เราจะต้องรบกับความกันดารและโรคภัยในป่าในห้วยและในหุบเขา ซึ่งทหารของเราไม่เคยชิน การเดินทัพจะยากขึ้นทุกวัน ชัยชนะจะแพงขึ้นทุกที และหากว่าในที่สุดเรายึดแค้วนไทไว้ได้ การยึดครองก็มักจะสิ้นสุด โดยเราต้องถอยกลับมาเช่นครั้งที่แล้ว ข้าจึงเกรงว่าเราจะมีชัยชนะที่ไม่คุ้มค่า "
" ในประการสุดท้าย ถึงแม้ข้าจะกล่าวว่าเราจะยึดแคว้นไทได้ แต่ความจริงนั้นการศึกย่อมจะเหนือกิจการอื่นๆ ซึ่งโชคจะมีส่วนอยู่เป็นอันมาก อนึ่งเล่าในการกระทำของมนุษย์สวรรค์ย่อมจะเข้ากับฝ่ายที่ถูก และลงโทษฝ่ายผิด เราอาจจะผิดหวังในการรบได้หลายครั้งก่อนที่จะยึดแคว้นไทได้ "
" ด้วยความคิดดังที่ข้ากล่าวมานี้ ข้าเห็นว่าเราไม่ควรสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น ประโยชน์แน่นอนที่เราจะได้จากการผูกมิตรกับไทนั้นคือการค้าระหว่างกันเยี่ยงเพื่อนบ้าน เช่นนี้แล้วเรายังจะได้แคว้นไทเป็นกำแพงมิให้ชาติอื่นมารบกวน หัวเมืองชายแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเราอีกด้วย "
เกียงสุยผู้ช่้วยของลิบุ๋นก็ลุกขึ้นกล่าวว่า " ถ้าขุนนางตุลาการจะเอาใจใส่เฉพาะการวิวาทระหว่างชาวบ้านกับชาวบ้าน และปล่อยให้การวิวาทระหว่างแคว้นต่อแคว้นเป็นเรื่องของพวกเราฝ่ายทหาร บางทีการงานของบ้านเมืองจะสับสนน้อยกว่านี้ แต่เมื่อฝ่ายตุลาการมาคัดค้านเรื่องการทหาร ข้าจะอธิบายให้ฟังว่าการยึดแคว้นไทจะเกิดประโยชน์แก่เราเพียงไร "
" ในเบื้องต้นขอให้เราเข้าใจไว้ก่อนว่า การรบหรืัอชัยชนะไม่ใช่จุดปลายทางของเรา เรารบให้ได้ชัยชนะและเรามีชัยชนะ เพื่อเข้ายึด นี่คืองานของทหาร "
" เหตุใดเราจึงต้องเข้ายึดแคว้นไท หากเราต้องการให้แคว้นจิ๋นเจริญขึ้น เราต้องให้แคว้นจิ๋นขยายกว้างขวางออกไปชาติใดคงที่ ชาตินั้นจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังแล้วก็จะล่มจมในที่สุด ทุกคนในที่นี้รู้อยู่ดังนี้ เมื่อความจริงเป็นดังนี้แล้ว เราจะไม่ขยายชาติเราให้กว้างขวางออกไปหรือ และทางใต้นั้นเป็นทางที่เราจะขยายไปได้ เพราะดินแดนทางนั้นยังมีอีกมาก แต่มีคนน้อยและบังเอิญคนไทอยู่้ในดินแดนทางนี้ คนไทจึงทนต่อการขยายตัวของชาติเรา "
" หากคนไทหรือคนชาติอื่นหรือคนจิ๋นบางคนจะเข้าใจว่าเรารุกราน คนเหล่านี้ก็ควรจะเข้าใจด้วยว่า การรุกรานเป็นธรรมดาที่ผู้เข้มแข็งจำต้องทำต่อผู้อ่อนแอ นี่เป็นกฎของชีวิตเป็นกฎซึ่งมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงต้องรับไว้ เรามิได้สร้างกฎนี้ขึ้นสำหรับตัวเราเลย เราเพียงทำไปตามที่สวรรค์ประสงค์ให้กระทำ และที่เล่าอองกล่าวว่าสวรรค์จะเข้ากับฝ่ายถูกและลงโทษฝ่ายผิดนั้น ที่เราได้เห็นอยู่ในชีวิต สวรรค์เข้ากับฝ่ายที่เข้มแข็งเสมอ "
" สำหรับเรื่องโชคซึ่งมีส่วนในกิจการทุกอย่างนั้น โชคมักจะเข้ากับฝ่ายที่แข็งแรงกว่า ยิ่งกว่าจะไปอยู่กับฝ่ายที่อ่อนแอ "
" บัดนี้มาถึงเรื่องประโยชน์อันเป็นสิ่งสำคัญที่เราพึงคำนึงในการจะไปยึดแคว้นไท เล่าอองกล่าวว่าประโยชน์จะมีมากกว่า หากเรากับแคว้นไทจะมีไมตรีต่อกัน คนไทกับคนจิ๋นจะได้ติดต่อค้าขายกันอย่างเพื่อนบ้าน และแคว้นไทจะเป็นเสมือนกำแพงกั้น มิให้ชาติอื่นมารบกวนชายแดนด้านตะว้ันตกเฉียงใต้ของเรา เล่าอองคิดผิดเสียแล้ว เราจะเอาแคว้นไทเป็นกำแพงกั้นชาติอื่นไม่ได้ ในเมื่อแคว้นไทยังอาจจะไปร่วมกับชาติอื่นมารุกรานชายแดนของเราได้ แต่เมื่อแคว้นไทอยู่ในอำนาจของเราแล้ว เวลานั้นแหละที่เราถือแคว้นไทเป็นกำแพงของเราได้ ส่้วนการที่จะหวังทำการค้ากับแคว้นไทนั้น เราทำการค้ากับแคว้นไทที่อยู่ในอำนาจ เราจะให้ประโยชน์แก่เรายิ่งขึ้นมิใช่หรือ "
" ประโยชน์อย่างอื่นจากการเข้ายึดแคว้นไทเป็นสมบัติของเรานั้น ย่อมจะมองเห็นได้ไม่ยากนัก "
" สำหรับความเสียหายของฝ่ายเรา หากเราต้องลงทุนมาก เราก็จะต้่องเอาประโยชน์จากแคว้นไทให้มากภายหลังที่เรายึดแคว้นไทไว้แล้ว และเราจะยึดไว้ได้นานตราบเท่าที่เราจะไม่ชะล่าใจเหมือนที่ลิตงเจียชะล่าใจมาแล้ว คนไทเรียนรู้การศึกไปจากเราจึงขับทัพลิตงเจียได้ แต่คนไทจะไม่อาจเรียนรู้ทุกอยางจากเราได้ "
" อนึ่ง ข้าขอย้อนกล่าวถึงถ้อยคำของเล่าอองที่ว่าแคว้นไทเป็นกำแพงกั้นมิให้ชาติอื่นมารบกวนชายแดนของเราได้ ความคิดเช่นนี้เป็นความขาดโดยแท้ เราเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติใดๆ ไฉนจะต้องการกำแพงกั้น กำแพงกลับจะทำให้เราขยายตัวได้ช้า เราจึงต้องยึดชา่ติไปไว้เพื่อเราจะได้ขยายอำนาจของเราต่่อไป นี่เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่เราควรจะต้องรีบยกทัพไปปราบไทเสียให้ได้โดยเร็ว "
อีกหลายคนกล่าวสนับสนุนเกียงสุย แต่ซินหยงโหรประจำวังลุกขึ้นกล่าวว่า " ข้าจะไม่กล่าวถึงผลได้ผลเสียจากการเอาความจริงต่างๆ มาคำนึง ขอให้ผู้รู้ความจริงเหล่านี้ พิจารณาไปตามที่เขาคิดว่าเขารู้เถิด แต่คงจะไม่มีใครรู้ความจริงทั้งของฝ่ายเราเองและฝ่ายไทได้ถูกต้องทุกอย่างไป ยิ่งกว่านั้นยังมีอีกหลายส่ิงที่ปัญญาอันจำกัดของมนุษย์ไปได้ถึง หากผู้ใดเห็นด้วยกับข้าเช่นนี้ ขอได้ฟังข้าต่อไป "
" เพราะเราไม่อาจจะรู้ผลข้างหน้าได้ เนื่องจากเราไม่รู้ความจริงในปัจจุบันได้่ครบถ้วน คำเตือนของโหรจึงมีประโยชน์สำหรับผู้จะทำการใหญ่ ข้าได้ตรวจดาวบนท้องฟ้าแล้ว เห็นว่าปีนี้ยังไม่ควรที่เราจะทำศึกกับแคว้นไท เมืองของเรากำลังอยู่ในเคราะห์ดาวกำลังเป็นศัตรู ข้าขอให้ยับยั้งการศึกไว้ก่อน โอกาสที่เหมาะยังมีอยู่ข้างหน้า "
เกียงสุยหัวเราะและกล่าวว่า " ชาติจิ๋นแผ่อำนาจกว้างใหญ่มาแล้วด้วยแสงของดาบและหอก มิใช่ด้วยแสงดาวบนท้องฟ้าสูจะให้ชาวไทและชาวจิ๋นหัวเราะเยาะเอาว่าเรากลัว คนไทจึงเอาดาวบนท้องฟ้ามาอ้างกระนั้นหรือ อนึ่งเล่าขณะนี้เราว่างศึกจากด้านอื่น นี่คือโอกาสอันดีที่สุดที่ดวงดาวให้แก่เราแล้ว บางทีสูจะคอยให้แคว้นไทแตกแยกกัน เพื่อเราจะชนะศึกได้ง่ายขึ้น ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่วิสัยของชาติทหาร เวลานี้ไทมารวมกันแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีของเราที่จะทำศึกได้ผลมากขึ้น ปัญญาของคนถูกจำกัดจริงแล้วดังที่สูกล่าว ดังนั้นด้วยปัญญาอันจำกัด สูอาจจะทำนายผิดได้และเมื่อคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ในขณะนี้แล้วข้าคิดว่าสูผิดแน่ ผู้สำเร็จราชการทหารควรจะได้นำทัพไปปราบปรามแคว้นไทเสียโดยเร็ว เพื่อเราจะได้คิดการแผ่อำนาจในด้านอื่นต่อไป "
" ขุนนางฝ่ายทหารทั้งปวงก็สนับสนุนคำของเกียงสุยอีก กษัตริย์จิ้นอ๋องมองไปทั่วห้องได้เห็นเพ็กกุยนั่งหลับตาอยู่ที่ปลายสุดของที่ประะชุม เพ็กกุยผู้นี้เมื่อต้นปีสอบเป็นขุนนางได้ตำแหน่งจอหงวน ได้ถูกสั่งเข้ามาช่วยในที่ประชุม กษัตริย์จิ้นอ๋องเห็นจอหงวนนั่งหลับตาอยู่ที่กล่าวไปว่า " สูมีหน้าที่มาเรียนจากผู้ใหญ่เหตุใดจึงนั่งหลับเสียเช่นนี้ สูจะก้าวหน้าในงานแผ่นดินได้อย่างไร "
" เพ็กกุยกล่าวว่า " ข้าฟังอยู่โดยตลอดและเห็นว่าเราไม่ควรไปยึดแคว้นไทแต่คัดค้านไม่ได้ เพราะเป็นผู้น้อยจึงได้แต่หลับตา "
กษัตริย์จิ้นอ๋องกล่าวว่า " สูพูดมาเถิดว่าเราไม่ควรยกทัพไปปราบแคว้นไทเพราะเหตุใด "
เ็พ็กกุยลุกขึ้นกล่าวต่อที่ประชุมว่า " ผู้ใดที่คิดว่าผู้เข้มแข็งจำต้องรุกรานนั้นไม่ถูกต้อง การรุกรานไม่ใช่สิ่งจำเป็นทั้งสำหรับคนและสัตว์ คนถ้าจะต้องรุกรานเพื่อประโยชน์ของเขา ในที่สุดเขาจะถูกทำลายไป เสือถ้าออกล่าเพื่อรุกรานผู้อื่นเสือนั้นถ้าไม่ตายเพราะบาดแผลเป็นพิษก็ต้องอยู่ในกรงในไม่ช้า ธรรมดาเสือจะล่าเพื่อความอยู่รอดของชีวิตเท่านั้น และผู้ใดที่คิดว่า หากเราต้องการให้บ้านเมืองเจริญขึ้นเราจำต้องขยายอาณาเขตให้กว้างออกไปนั้น ไม่ถูกต้องเช่นกัน หากความเจริญอยู่ในกฎนี้ ความเจริญนั้นจะแตกดับไปในไม่ช้า ความเจริญของบ้านเมืองจะวัดด้วยความยาวของอาณาเขตหาได้ไม่ "
" และความเจริญของบ้านเมืองจะวัดไม่ได้ด้วยทรัพย์ที่สะสมไว้ เงินทองและทาสจำนวนมากที่เรานำมาจากแคว้นฮวนต่างๆ ไม่เคยให้ความสุขแก่ราษฎร เวลานี้ทุกหนทุกแห่งกลับเดือดร้อนหนักขึ้น เพราะทาสมาแย่งงานตามไร่ตามนาที่ชาวบ้านเคยทำมาก่อน เราจึงเห็นชาวจิ๋นจำนวนมากเข้าลำบากอยู่ในเมืองหลวงเงินทองที่ทัพจิ๋นกวาดมาจากแคว้นฮวนก็เพียงแต่ ทำให้เกิดวังโอ่อ่าขึ้นในเมืองใหญ่อื่นๆ ความลำบากของชาวจิ๋น เวลานี้เหมือนกับในสมัยกษัตริย์จิ๋นซี คนสมัยนั้นเขียนรำพันไว้ว่าถึงแม้อำนาจของจิ๋นจะแผ่ไปทุกทิศ แต่ว่าระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินมีแต่ความเศร้าและความไม่พอใจ ข้าขอให้ขุนนางชั้นสูงของจิ๋นแก้ไขคยวามลำบาก และความเดือดร้อนของชาวจิ๋นเสียก่อนเถิด อย่าเพิ่งไปยุ่งกับคนไทเลยเพราะเขาไม่เป็นภัยแก่เรา "
แล้วเพ็กกุยก็นั่งลง
ลิบุ๋นหันไปทางเพ็กกุยและกล่าวว่า " ตลอดเวลาที่สูพูดข้าได้กลิ่นควันเทียนที่สูใช้เวลาท่องตำรา อันบ้านเมืองนั้นมีความยุ่งยากเกินกว่าที่เขียนเป็นตำราไว้มากนัก ตำราบอกหรือว่าเวลานี้จิ๋นขาดทุ่งสำหรับเลี้ยงม้า และจิ๋นขาดม้าจำนวนมากสำหรับกองทัพและกองทัพจำเป็นสำหรับรักษาอำนาจของจิ๋น อนึ่ง สูคงจะนับถือจูโกเหลียง และจูโกเหลียงนี้ยังต้องยกทัพไปยึดแคว้นไทซึ่งไม่เคยรุกรานจิ๋นเลย มาบัดนี้คนไททำผิดแก่จิ๋นแล้ว เราจะนิ่งอยู่หรือ "
" เหตุใดข้าจึงกล่าวว่าคนไททำผิดแก่จิ๋นเล่า สูจงรู้ว่าิดินแดนไทนั้นเป็นดินแดนเถื่อน พืชพันธุ์ไม้และสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีิวิต
ทั้วปวงในดินแดนนั้นจะเป็นของใครก็หาไม่ ใครยึดถือไว้ก็เป็นของผู้นั้น คนไทที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นไม่ใช่เจ้าของ บังเอิญเขาไปอยู่ที่นั้นก่อนเราเท่านั้น และบัดนี้คนไทบังอาจขับลิตงเจียออกมาจากดินแดนนั้น เราจะนิ่งเฉยอยู่หรือ "
แล้วลิบุ๋นกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า " สูจะไม่ถือคนไทเป็นคนเถื่อนหรือ เขาไม่มีตำราสำหรับเรียนเป็นขุนนางเหมือนที่สูมีเขาไม่มีกฎหมายเขียนไว้ให้ทุกคน ได้รู้ว่าทำอย่างไรจึงเป็นความผิด เขาไม่มีพิธีอันประณีตเหมือนที่กษัตริย์ของเราทำในทุกฤดูกาล เพื่อความสงบของบ้านเมือง และเมื่อจูโกเหลียงไปทำศึกกับคนไท คนไทนั้นหัวหน้าคนไทถูกจับและจูโกเหลียงปล่อยตัวไปครั้งแล้วครั้งอีก แต่เพราะน้ำใจเถื่อน หัวหน้าคนไทนั้นยังขืนกลับมาทำร้ายทัพจิ๋น และคราวนี้คำพูดแต่ละคำที่ทูตไททั้งสองกล่าวออกมาสำแดงชัดแล้วว่า คนไทยังโง่และยังเถื่อนอยู่เช่นเดิม เช่นนี้แล้วเราจะนับคนไทเป็นเผ่าเท่าเทียมกับเราได้อย่างไร เมื่อคนไทบังอาจขับทัพของเรา เราก็จำต้องไปสั่งสอนให้คนไทอยู่ในระเบียบที่ดีขึ้น "
เพ็กกุยมิได้ตอบประการใด ได้แต่พึมพำกับตนเองว่า " เมื่อคนเถื่อนลุกขึ้นสู้เพื่อป้องกันตนเอง เขาทำผิดเสียแล้วนี่คือความคิดของผู้เจริญ "
แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องก็ให้ขันทีนำกระบี่สำหรับแม่ทัพมาวางบนหนังกวาง แล้วมอบให้แก่ลิบุ๋น ให้มีอำนาจเกณฑ์คนเกณฑ์เสบียงและกระทำอื่นๆ ได้ทั้งปวงเพื่อนำแคว้นไทต่างๆ มาอยู่ใต้บัลลังก์ของจิ๋น
เมื่อกษัตริย์จิ้นอ๋องกลับเข้าข้างในแล้ว ลิบุ๋นจึงกล่าวแก่ซินหยงว่า " สูเชื่อว่าดวงดาวกำลังเป็นโทษแก่จิ๋น ข้าจะให้สูเป็นโหรไปกับกองทัพข้า เพื่อสูจะได้เชื่อใจว่ากำลังทัพของข้ายิ่งกว่าเชื่อตัวเลขของสู "
ซินหยงก็นิ่งคิดอยู่ในใจว่า " ข้าจะต้องหาทางให้ไม่ต้องไปกับกองทัพของลิบุ๋น "
แล้วลิบุ๋นกล่าวแก่ขุนนางทั้งปวงว่า " คนไทนั้นแม้จะมาอยู่ใต้บัลลังก์จิ๋นแล้วหลายครั้ง แต่ก็หารู้สึกในความร่มเย็ของบัลลังก์
จิ๋นไม่ และแข็งเมืองอยู่เสมอ คนไทพอใจอยู่อย่างอิสระเยี่ยงสัตว์ป่าจนเกินกว่าที่จะสั่งสอนได้ ในครั้งหลังนี้ลิตงเจียน้องข้าได้ความอัปยศจากไทยิ่งนักและเมื่อทูตไทมาที่นี่ทูตไท บังอาจกล่าวคำโอหังและกระทำหยาบช้าต่างๆ เราไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำลายแคว้นไทเสียให้สิ้น และข้าจะทำแผ่นดินไททั้งหมดให้เป็นทุ่งเลี้ยงม้าสำหรับทัพจิ๋น ทัพที่เราจะเกณฑ์ครั้งนี้จะเป็นทัพใหญ่ที่คนไทจะไม่มีทางต่อสู้ได้ ข้าจะเกณฑ์ทัพที่มีกำลับรบสี่สิบหมื่นและกำลังช่วยรบอีกต่างหากเพี่ยงแต่เสียงเราเดินทัพ คนไทจะต้องหลบเข้าป่าด้วยความกลัว และต่อไปจะได้ไม่มีใจกำเริบอีก "
แล้วลิบุ๋นตั้งเกียงสุยเป็นรองแม่ทัพ จัดการเกณฑ์คนและเสบียง และให้ลิบองผู้บุตรเป็นทัพหน้า
แล้วลิบุ๋นกล่าวแก่อุยกิมว่า " สูจงเดินทางไปบอกเจ้าเมืองเช็งสีให้ยกทัพมาขบวนแคว้นไททางด้านเหนือ เมื่อทัพผ่านล้ำแดนไทเข้าไปเมื่อใด เราจะให้ทองห้าพันแท่งเป็นค่าจ้าง การทำศึกของเราจะดูเป็นธรรมยิ่งขึ้นเมื่อมีชาติอื่นมาร่วมด้วย "
อุยกิมก็เดินทางไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเช็งสีตามคำของลิบุ๋น เจ้่าเมืองเช็งสีรับคำและเตรียมทัพ เพื่อช่วยทัพจิ๋นขนาบแคว้นไท

๗...

ครั้งถึงวันที่ลิบุ๋นจะเคลื่อนทัพ ชาวโลยางทั้งปวงออกมาเรียงรายอยู่ตลอดทางที่ทัพจิ๋นจะผ่านไป เมื่อได้เวลาและจะทำพิธีเคลื่อนทัพ ซินหยงผู้ที่จะทำพิธีได้ถูกหามนอนมาในเกี้ยวเข้ามาในปะรำ ซินหยงกล่าวแก่ลิบุ๋นว่า " ข้าล้มเจ็บด้วยไข้โดยกระทันหันและเป็นไข้หนัก ยืนทำพิธีไม่ได้ขอให้่คนอื่นทำแทนข้าเถิด และให้ไปในกองทัพแทนข้า ข้าเสียดายยิ่งนักที่พลาดโอกาสไม่ได้ไปในกองทัีพครั้งนี้ "
ลิบุ๋นจำต้องยอมและถามซินหยงว่า " เมื่อสูไม่ได้เห็นด้วยตาว่ากองทัพของข้าจะทำกับคนไทอย่างไรบ้างสูจะพูดได้หรือไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สูก็มีชื่ออยู่ว่าเป็นโหรใหญ่ "
ซินหยงตอบว่า " แน่นอนว่าในการยกทัพไปครั้งนี้สูจะทำการที่โด่งดังยิ่งกว่าครั้งจูโกเหลียง และสูจะได้บางอย่างจากคนไทซึ่งจิ๋นไม่เคยได้ "
ลิบุ๋นก็มีความยินดีในคำพูดของซินหยง แล้วลิบุ๋นให้เม็งสือเป็นโหรประจำทัพแทนซินหยง เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ลิบุ๋นก็เคลื่อนทัพไป
ซินหยงเมื่อกลับไปบ้านตน พอพ้นประตูบ้านก็ลุกจากเกี้ยวและเดินไปมาอย่างปกติ ซินวู้ผู้บุตรจึงรู้ว่าบิดาแสร้งป่วยตลอดมา จึงถามขึ้นว่า " เหตุใดสูจึงทำเช่นนี้ "
ซินหยงบอกว่า " หากข้าไปกับกองทัพบของลิบุ๋น ข้าจะไม่ได้กลับมาอีก ข้าจึงแกล้งทำป่วย "
ซินวู้ก็โกรธบิดาตนเป็นอันมากและกล่าวว่า " จิ๋นเคยพ่ายคนเถื่อนทางใต้หรือ สูเป็นบ้าไปเสียแล้ว "
ลิบุ๋นสั่งให้ทัีพเคลื่อนไป ขบวนยาวสุดสายตา ฝุ่นตลบจากเท้าม้าและเท้าคนขึ้นกลบฟ้า เสียงอันกึกก้องของกองทัพขับไล่ฝูงนกต่างๆ มิให้เข้าใกล้ทัพของลิบุ๋นได้ ลิบุ๋นกับเกียงสุยยืนม้าอยู่บนที่สูงดูทัพของตนผ่านหน้าไป และลิบุ๋นหันไปกล่าวแก่เกียงสุยว่า " เกียงสุย สูรู้หรือไม่ว่าขณะข้าตรวจขบวนทัพอยู่นี้ ข้าเกิดความกลัวขึ้นอย่างหนึ่ง "
เกียงสุย " กองทัพขนาดนี้พอจะขับไล่ข้าศึกได้ถึงมุมโลกเพียงแต่ทวนของทหารที่ชูอยู่ข้างหน้าก็อาจจะค้ำฟ้าได้ สูยังจะกลัวสิ่งใดหรือ "
ลิบุ๋น " ข้ากลัวว่าเมื่อเราเข้าถึงแดนไทแล้วคนไทจะหนีเราไปเหมือนหนู แล้วเราจะไม่มีงานให้ทัพของเรา " แล้วลิบุ๋นก็หัวเราะด้วยความพอใจ
ลิบุ๋นเดินทัพามาอย่างไม่รีบ เมื่อผ่านเมืองใดก็ให้ทหารหยุดพักตามสบายเหมือนว่าเป็นกองทัพที่ชนะศึกแล้ว แล้วลิบุ๋นเอาคนของเมืองที่ผ่านไปนั้นเข้าสมทบในกองทัพด้วย
เมื่อทัพของลิบุ๋นผ่านเมืองฟุกเจา มีชาวไร่สองคนหน้าตาคล้ายกันเงยหน้าขึ้นจากงานไร่ที่กำลังทำอยู่ และมองดูทัพของลิบุ๋นที่ผ่านไป คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า " พี่เหลียง กองทัพขนาดนี้ของลิบุ๋นอย่้าว่าแต่จะชนะข้าศึก แม้แต่จะปราบพื้นดินลุ่มๆ ดอนๆ ของแคว้นไทให้เป็นพื้นราบไปหมดก็จะทำได้ "
ชาวไร่ผู้พี่ตอบว่า " ทัพของลิบุ๋นนี้ถึงจะเป็นทัพใหญ่ แต่ต้องไปต่อสู้กับข้าศึกที่ใหญ่เท่ากัน ข้าศึกนั้นคือความกันดารของแคว้นไท การไม่รู้ท้องที่ของทัพจิ๋น ความประมาทของลิบุ๋น และปัญญาของกุมภวา ข้าไม่แน่ใจว่าลิบุ๋นจะชนะศึกได้ "

๘...

เมื่อถึงเมืองกังไส ลิบุ๋นให้ทหารตั้งค่ายหยุดพัก และวันหนึ่งลิบุ๋นให้ทหารเอกประลองฝีมือกัน เพราะใกล้จะข้ามชายแดนไปทำศึกแล้ว ชาวกังไสเป็นอันมากมาดูทหารจิ๋นประลองฝีมือระหว่างทหารจิ๋นปล้ำมวยกันอยู่นั้น ชาวกังไสผู้หนึ่งยืนท้าวเอวหัวร่อไม่ยอมหยุด ลิบุ๋นให้ทหารไปนำตัวชาวกังไสนั้นมาและถามว่า " สูเหตุใดจึงมาเยาะทหารจิ๋น "
ชาวกังไส " ข้าเห็นทหารจิ๋นปล้ำกันไม่ผิดทารก ข้าจึงกลั้นหัวเราะไม่ได้ "
ลิบุ๋น " ข้าจะให้สูปล้ำกับทหารของเรา หากแพ้สูจะถูกเหี่ยนสี่สิบที "
ชาวกังไส " จงเฆี่ยนข้าเพิ่มอีกสี่สิบทีสำหรับข้าลงโทษตัวเองด้วย "
แล้วลิบุ๋นให้ทหารของตนเข้าปล้ำกับชาวกังไสผู้นั้น รวมทหารที่เข้าประลองกับชาวกังไสและพ่ายไปแปดคน ลิบุ๋นก็เรียกชาวกังไสเข้ามา และกล่าวว่า " สูชื่อใด ข้าจะเลี้ยงไว้เป็นคนประจำม้าของข้า "
ชาวกังไสตอบว่า " ข้าชื่อเซ็กโป ที่ข้าลองกำลังก็ด้วยอยากจะเป็นทหารในกองทัพของสู "
ลิบุ๋นให้เซ็กโปเป็นคนประจำม้าของตน และเมื่อลิบุ๋นเคลื่อนทัพจากเมืองกังไส มุ่งไปทางช่องเขาจินไต เซ็กโปวิ่งตามม้าของลิบุ๋นไป ลิบุ๋นเหยาะม้าไปห้าร้อยเส้นก็ให้หยุดพักและถามเซ็กโปว่า " สูยังมีกำลังปล้ำกับทหารของข้าหรือไม่ "
เซ็กโปกล่าวว่า " สูจะให้ลองก็ได้ ข้ายังไม่เหนื่อย "
ลิบุ๋นเรียกทหารมาเจ็ดคน ให้เรียงตัวกันปล้ำเซ็กโป แต่แพ้เซ็กโปไปทุกคน ลิบุ๋นพอใจยิ่งนัก และกล่าวแกเซ็กโปว่า " สูไม่ต้องเป็นคนประจำม้าของข้าอีกต่อไป ข้าตั้งให้สูเป็นนายกองแล้ว "
แล้วลิบุ๋นให้ทหารนำม้าฝีเท้าดี พร้อมด้วยทวนและดาบมามอบแก่เซ็กโป เซ็กโปพิเคราะห์ม้าแล้วกล่าวแก่ทหารที่นำม้ามาว่า " เหตุใดสูนำม้าอมโรคมาให้ข้าผู้เป็นนายทหารของแม่ทัพ "
ทหารผู้นั้นตอบว่า " ข้าเลี้ยงม้ามายี่สิบปี รู้ว่าม้าตัวนี้แข็งแรงและฝีเท้าดี ข้าจึงคัดเลือกมาให้ สูจะรู้การม้าดีกว่าม้าหรือ "
เซ็กโปก็กำหมัดชกม้าที่แสกหน้า ม้าล้มลงขาดใจตายทหารจิ๋นทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงในกำลังของเซ็กโป และกล่าวว่า " เมื่อสักครู่นี้ข้าตั้งสูเป็นนายกอง บัดนี้ข้าให้สูเป็นทหารเอกประจำตัวสำหรับตัดศีรษะคนไทมาให้ข้า "
ตั้งแต่นั้นมาเซ็กโปก็ขี่ม้าตามลิบุ๋นไปอย่างทหารเอกประจำตัว
หกวันต่อมา ลิบุ๋นนำทัพมาถึงเมืองซุยเยน อันเป็นเมืองชายแดนระหว่างแคว้นไทกับแคว้นจิ๋น และขณะที่ลิบุ๋นยืนอยู่บนลูกเนินดูกองทัพของตนอยู่ด้วยความพอใจ เกียงสุยเข้ามาหาและแจ้งว่า " บัดนี้ทูตเมืองเช็งสีมายังค่ายของเรา และแจ้งว่าเจ้าเมืองเช็งสีนำทัพผ่านชายแดนไทเข้าไปแล้ว จึงส่งคนมารับทองห้าพันแ่ท่งตามที่ตกลงกันไว้ "
ลิบุ๋นหัวเราะและกล่าวแก่เกียงสุยว่า " ที่ข้าให้อุยกิมไปว่าจ้างเจ้าเมืองเช็งสีมาช่วยรบนั้นเป็นเพียงอุบายที่จะให้แคว้นเช็งสีผิดใจกับแคว้นไท และเมื่อเจ้าเมืองเช็งสียกทัพผ่านแดนไทเข้ามาแล้ว ข้าก็ไม่จำต้องจ่ายทองให้ สูจงไปบอกคนของเจ้าเมืองว่า ทองห้าพันแท่งที่ข้าจะแบ่งให้นั้นเวลานี้ยังอยู่ในแคว้นไท "
เกียงสุยจึงไปแจ้งแก่คนเช็งสีตามลิบุ๋นสั่ง คนเช็งสีเห็นว่าเจ้าเมืองของตนถูกลวงดังนั้น ก็ขับม้าออกจากค่ายทหารจิ๋นพร้อมกับสาปแช่งลิบุ๋นต่างๆ และเมื่อไปถึงเจ้าเมืองของตนก็แจ้งเรื่องให้ทราบ เจ้าเมืองเช็งสีเมื่อไม่มีทองจ้างทหารที่เกณฑ์มา ก็จำต้องยกทัพกลับไป และระหว่างทางถูกทหารฆ่าตาย เพราะผิดคำพูดต่อทหารที่จ้างมา
ส่วนลิบุ๋นนั้นเดินทัพมุ่งตรงไปทางช่องเขาจินไต

๙...

บุญปันได้ข่าวว่าทัพจิ๋นยกทัพมาทางช่องเขาจินไต จึงส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่แคว้นไทต่างๆ ให้ส่งทัพมาช่วย สีเมฆเจ้าเมืองเม็ง คำสินและสีเภาแห่งแคว้นข่านุ กุฉินแห่งแคว้นยูโรและลำพูนเจ้าเมืองเชียงแส ต่างระดมชาวเมืองและเดินทางมายังเมืองลือ
ส่วนขุนสินเมื่อได้ข่าวจากนักการของแคว้นลือว่า แคว้นจิ๋นยกทัพมาเช่นนั้นก็สั่งขุนสายผู้เป็นน้องให้เตรียมทัพ เพื่อยกไปรวมกับทัพไทจากลือ
อันว่าขุนสายนี้ ขุนสินยกขึ้นเป็นเจ้าเมืองเสมอด้วยกับตน แต่ขุนสายไม่พอใจพี่ชาย เพราะไม่ว่าขุนสายจะไปที่ใดก็ได้ยิน แต่ชาวเมืองยกย่องพี่ชายของตนเสมือนว่าชาวเมืองมิได้รู้จักตนเลย และตั้งแต่ขุนสายได้คำอ้ายมาเป็นที่ปรึกษา คำอ้ายยุยงให้ขุนสายทะนงตนว่ามีความสามารถไม่น้อยกว่าพี่ชาย เมื่อขุนสายได้รับคำสั่งจากพี่ชายให้เตรียมทัพไปช่วยแคว้นลือรบกับทัพจิ๋นเช่นนั้น ขุนสายจึงกล่าวแก่พี่ชายว่า " แคว้นลือนั้นมีการปกครองไม่เหมือนแคว้นเรา ราษฎรของลือเลือกราษฎรด้วยกันเป็นเจ้าเมือง แต่ในเมืองเราบุตรของเจ้าเมืองจะสืบตำแหน่งแทนผู้เป็นบิดาต่อเนื่องกันไป เมื่อการปกครองแตกต่างกันดังนี้ เราหาควรใกล้ชิดกับเมืองลือนักไม่เพราะจะทำให้ราษฎรของเรามีใจกระด้วงกระเดื่อง และจะกำเริบตามราษฎรเมืองลือไปด้วย อนึ่งเล่าทัพจิ๋นที่ยกมาครั้งนี้จะมากน้อยเพียงใดแก่เราข้าคิดว่าสูควรจะรออยู่ก่อน เมื่อเห็นว่าฝ่ายใดเหนือกว่าเราจึงเข้าช่วยฝ่ายนั้น "
ขุนสินกล่าวว่า " สูจะคอยให้โจรฆ่าเพื่อนบ้านของเราให้หมดเสียก่อนหรือจึงจะจับอาวุธขึ้นต่อสู้ หากเราจะไม่ช่วยไทลืออย่างคนไทเพื่อนบ้าน เราก็จะต้องช่วยเพื่อแคว้นของเราเอง เพราะว่าเมื่อทัพจิ๋นได้แคว้นลือแล้วเราจะรอดจากอำนาจทัพจิ๋นหรือ ส่วนที่สูเป็นห่วงเรา เรากับลือมีการปกครองไม่เหมือนกัน การปกครองแบบของแคว้นลือจะมาทำลายอำนาจของเรานั้น ตราบใดที่เราปกครองราษฎรเพื่อความผาสุกของราษฎร จะมีใครเล่ารังเกียจการปกครองของเรานอกจากคนที่ปรารถนาในอำนาจ และแม้ข้าจะมีอำนาจเด็ดขาดข้าก็ไม่คิดว่าการสืบตำแหน่งเจ้าเมืองตามลำดับญาติจะเป็นการสมควรบุตรของหมออาจรักษาไข้ไม่เป็นฉันใด บุตรของเจ้าเมืองก็อาจปกครองไม่เป็นฉันนั้น ข้าจึงไม่ห่วงว่าอำนาจการปกครองจะอยู่ที่ราษฎร หรืออยู่ที่เจ้าคำตันบุตรของข้า "
ขุนสายเกรงอำนาจของขุนสินอยู่ ก็ไปเตรียมทหารไว้ครั้นได้ฤกษ์ ขุนสินก็นำทัพออกจากเมืองไต๋ มีขุนสายเป็นปลัดทัพ คำอ้ายติดตามไปกับขุนสายด้วย และขุนสินให้ท้าวคำปูนพี่เขยรักษาเมือง
และขุนสายหวาดกลัวอยู่เสมอว่าจะพ่ายแพ้แก่ทัพจิ๋น
วันหนึ่งขณะที่ทัพเมืองไต๋ใกล้จะถึงชายแดน ขุนสินขี่ม้าไปข้างหน้า ขุนสายและคำอ้ายขี่ม้าตามไปห่างๆ ขณะนั้นทัพไต๋เดินผ่านทุ่งหญ้ากว้างและข้างหน้าขุนสายมีพุ่มไม้อยู่สองต้น พุ่มสูงบังพุ่มเตี้ย ขุนสายมองพุ่มไม้ทั้งสองแล้วก็ถอนใจ
คำอ้ายจึงถามว่า " สูลำบากใจเพราะเหตุใด "
ขุนสายกล่าวว่า " พุ่มไม้เล็กนั้นเตือนให้ข้านึกถึงความอาภัพของตนเอง สูจงดูเถิด ไม้พุ่มเล็กนั้นในกาลข้างหน้า อาจจะแผ่กิ่งก้านงามกว่าพุ่มใหญ่ได้ แต่เมื่อต้องถูกพุ่มใหญ่บังเสียแล้ว พุ่มเล็กจะใหญ่โตขึ้นได้อย่างไร "
คำอ้ายมิกล่าวประการใด เมื่อม้าของคนทั้งสองมาถึงพุ่มไม้ทั้งสอง คำอ้ายชักดาบออกฟันพุ่มใหญ่ล้มลงแล้วกล่าวว่า " เมื่อพุ่มใหญ่แย่งดินแย่งแดดจากพุ่มเล็กสูก็ตัดพุ่มใหญ่เสีย "
ตั้งแต่วันนั้นมาขุนสายก็คิดกำจัดขุนสินเหมือนคำอ้ายกำจัดพุ่มไม้ใหญ่นั้น
ระหว่างเดินทัพ คำรายนายกองม้าผู้หนึ่งเมาสุราแล้วฆ่าทหารของตนตายไปสองคน ทหารมาฟ้องต่อขุนสายแต่คำรายเป็นคนสนิทของขุนสาย ขุนสายจึงไม่เอาโทษ ทหารในกองม้าของคำรายจึงพากันไปฟ้องแก่ขุนสิน ขุนสินสอบสวนได้ความว่าคำรายเมาสุราแล้วฆ่าทหารตาย ขุนสินจึงเรียกขุนสายมา และถามว่า " เหตุใดสูไม่ลงโทษคำรายไปตามความผิด "
ขุนสายตอบว่า " คำรายเป็นทหารมีฝีมือ ที่ทำผิดไปนั้นก็ระหว่างเมาสุรา มิได้จงใจทำผิด อนึ่งเล่ากำฮาดพี่ชายของคำรายเป็นทหารที่มีฝีมือยิ่งขึ้นไปอีก ข้าจึงอภัยให้แก่คำราย "
ขุนสินกล่าวว่า " สูกระทำเช่นนี้ไม่สมควรหลายประการ ประการแรกคนมีฝีมือนั้นควรจะให้ฝีมือเพื่อคุ้มครองคนในปกครองของตน มิใช่เพื่อทำร้ายผู้ใด ประการที่สองทุกคนรู้ฤทธิ์ของสุราก่อนจะยกถ้วยขึ้นดื่ม ด้วยเหตุนี้จะอ้างเอาความเมามายกเว้นโทษนั้นไม่ได้ ประการที่สามถ้าเราลำเอียงให้แก่คนสนิทของเราก็เสมือนเราลำเอียงให้แก่ตัวเราเอง ผู้อยู่ไกลตาของผู้ปกครองก็เหมือนอยู่ห่างจากความคุ้มครองอันนับว่าเป็น
โชคร้ายของเขาอยู่แล้ว เราจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขาอย่างที่สุด ในประการสุดท้ายสูต้องรู้ว่าในยามศึก วินัยของทหารเป็นสิ่งสำคัญ ทหารจะต้องกลัววินัยยิ่งกว่ากลัวข้าศึกผู้ใดทำผิดในยามศึก ผู้นั้นจะต้องรับโทษหนักกว่าในยามปกติ "
แล้วขุนสินให้ทหารเอาคำรายไปประหาร
กำฮาดพี่ชายของคำรายก็ไม่พอใจขุนสินยิ่งนัก ขุนสายสังเกตเห็นกิริยาของกำฮาดเช่นนั้น เย็นวันหนึ่งจึงเรียกกำฮาดมากินอาหารด้วยพร้อมกับคำอ้าย แล้วขุนสายกล่าวว่า " ข้าเสียใจนักที่ช่วยน้องสูไม่ได้ ข้าไม่คิดว่าพี่ชายของข้าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ ข้ารู้ว่าสูเสียใจและอดสูต่อทหารทั้งปวง สูเป็นทหารรักษาชีวิตของขุนสินเสียเปล่า ขุนสินจะเห็นแก่สูบ้างก็หาไม่ ข้าจึงชวนมาสนทนากันเพื่อสูจะคลายความเสียใจบ้าง "
กำฮาดน้ำตารินและกล่าวว่า " ข้าอดสูใจยิ่งนักที่ขุนสินไม่เห็นแก่ข้าเลย เสมือนไม่ต้องการข้าไว้ในกองทัพ ข้าจะต้องลาขุนสินไปบ้านเดิมของข้า "
คำอ้ายกล่าวว่า "กำฮาดเอย ข้ารู้ว่าในบ้่านเดิมที่สูสองพี่น้องเคยอยู่นั้น อาชีพลำบากนัก แผ่นดินแห้งเหมือนหญิงที่ขาดน้ำนมเลี้ยงบุตร สูจะกลับไปหาความลำบากจะควรหรือ อนึ่งเล่าสูก็ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือยู่ "
กำฮาดกล่าวว่า " ข้าไม่อาจจะอยู่ดูหน้าคนที่ฆ่าน้องชายของข้าได้ ขุนสินไม่เห็นแก่ความภักดีของข้าเลย คนอื่นที่อยู่ไกลกลับดีกว่าข้าซึ่งอยู่ใกล้ "
ขุนสายจึงชวนกำฮาดได้เป็นพวก และให้บำเหน็จแก่กำฮาดเป็นอันมาก
แล้วทั้งสามคนก็คบคิดกันที่จะฆ่าขุนสิน
วันหนึ่งขณะที่กองทัพเดินทางอยู่ ในตอนใกล้เที่ยงดวงตะวันหายไป ท้องฟ้าและพื้นดินมืดลงเหมือนเป็นเวลากลางคืน และเกิดพายุอื้ออึง ทหารทั้งปวงมีความกลัว บางคนวิ่งไปมาบางคนก็คุกเข่ากราบไหว้เทพยดาให้คุ้มครองตน ทหารที่อยู่ใกล้ขุนสินพากันแตกตื่น ทิ้งให้ขุนสินยืนอยู่โดยลำพัง
ครั้นดวงตะวันส่องแสงดังเดิม และพายุสงบลง ทหารทั้่งปวงไม่เห็นขุนสินและพากันค้้นหา แต่มิได้พบ ต่างพากันเสียใจที่ละทิ้งเจ้าเมืองของตน บางคนก็ร้องไห้เดินค้นหาในที่ต่างๆ
ขุนสายกับคำอ้ายจึงเรียกประชุมทหา่รทั้งปวงแล้วคำอ้ายกล่าวว่า " พวกเรามีความผิดกันทุกคนที่ทิ้งขุนสินไว้โดยลำพัง แต่เทพยดาจะทิ้งขุนสินเหมือนพวกเราก็หาไม่ ขณะที่ชุลมุนกันอยู่นั้นถึงแม้จะมีเสียงพายุอื้ออึง แต่ข้าและทหารหลายคนได้ยินเสียมาจากเบื้องบนว่า " ขุนสินลงมาอยู่กับสูนานพอสมควรแล้ว บัดนี้เราจะนำเขากลับไป " ข้าเชื่อว่าที่ขุนสินหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นด้วยขุนสินเป็นที่รักของเทพยดา และคงจะกลับไปยังแดนอันสมควรแก่คนดีเช่นขุนสิน พวกเราจงสร้างที่ระลึกให้เขาเถิด "
ทหารบางคนถึงแม้จะสงสัยว่้าขุนสินตายด้วยอันตราย แต่ก็ไม่อาจจะหาความจริงได้
แล้วขุนสายให้สร้างเจดีย์สูงขึ้นในทุ่งนานั้น และเอาสิ่งของส่วนตัวของขุนสินฝังไว้ใต้เจดีย์นั้น คนที่สงสัยขุนสายอยู่บ้าง เมื่อเห็นขุนสายยกย่องพี่ชายก็คลายสงสัย
แล้วคำอ้ายกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " กองทัพไม่ควรจะขาดหัวหน้าแม้เพียงวันเดียว บัดนี้ขุนสินจากเราไปแล้ว เราจะต้องเลือกแม่ทัพใหม่ิ "
ทหารก็เลือกขุนสายเป็นแม่ทัพ แล้วขุนสายกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " การไปทำศึกครั้งนี้ข้ามีความเป็นห่วงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องหลังนั้นเจ้าคำตันบุตรขุนสินยังเยาว์อยู่ เมื่อหมดขุนสินแล้วภายในเืมืองไต๋อาจจะวุ่นวายด้วยการชิงอำนาจกัน ส่วนเบื้องหน้านั้น ตั้งแต่ท้องฟ้ามือไปในเวลากลางวัน และดวงตะวันไม่ส่องแสงแล้ว ข้าคิดว่าเบื้องบนมาเตือนให้เรานึกถึงภัย ทัพจิ๋นมาครั้งนี้ประหนึ่งยกทะเลหลวงมาท่วมแผ่นดินไท ยากที่แคว้นไทจะต้านทานได้ ข้าเห็นว่าเราควรจะรักษาตัวเองไว้ อย่านำตนไปสู่ภัยข้าจะยกทัพกลับ ผู้ใดจะเห็นประการใด "
นายกองทั้งปวงไม่กล้าคัดค้าน ขุนสายจึงให้ยกทัพกลับยังเมืองไต๋ และตั้งเจ้าคำตันบุตรขุนสินเป็นเจ้าเมืองแต่เจ้าคำตัน อายุเพิ่งได้สิบสี่ขวบ พนักงานทั้งปวงจึงให้ขุนสายว่าการแทนเจ้าคำตันไปก่อน
แล้วขุนสายตั้งคำอ้ายเป็นที่ปรึกษา และบำเหน็จรางวัลแก่คำอ้ายเป็นอันมาก

๑๐...

ทางแคว้นลือ เมื่อบุญปันได้ข่าวว่าขุนสินตาย และขุนสายยกทัพกลับยังเมืองไต๋ บุญปันจึงเรียกประชุมเจ้าเมืองแคว้นต่างๆ และนายกองทั้งปวง และบุญปันกล่าวว่า " บัดนี้แคว้นไต๋ปลีกตัวไปแล้ว ไม่ยกกำลังมาช่วย พวกเราจะคิดประการใด สำหรับข้านั้นรักอิสระยิ่งกว่าที่จะยอมเป็นทาสอีก อนึ่งการสู้รบกับจิ๋นครั้งนี้ถึงแม้ทัพจิ๋นจะมีกำลังมากกว่าเรา แต่ที่ใดมีน้ำใจที่จะสู้่ ที่นั่นย่อมจะมีกำลัง อีกประการหนึ่งเล่า ทัพของลิบุ๋นไม่ชำนาญภมิประเทศเท่าเรา ดังนั้นหากข้าจะกล่าวแทนชาวลือทั้งปวง ข้าจะเลือกเอาการสู้และสู้ต่อไป ข้าจะไม่ยอมให้ใครมามัดมือมัดเท้าข้าอีกแล้ว "
เจ้าเมืองและนายกองทั้งปวงก็พร้อมใจกันที่จะสู้กับทัพจิ๋น แล้วบุญปันกล่าวต่อไปว่า " เมื่อทัพของหลายเมืองมารวมกันเช่นนี้ ก็ควรจะตั้งหัวหน้าให้มีอำนาจเด็ดขาดเหนือทัพทั้งปวงที่มารวมกัน "
ที่ประชุมก็พร้อมใจกันตั้งกุมภวาเป็นแม่ทัพใหญ่
กุมภวาเมื่อจัดภายในทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็บอกธงผาว่า " สูกับจันเสนจงนำทหารห้าพันไปคอยโจมตีข้าศึกเมื่อข้าศึกเผลอตัว หรือเมื่อข้าศึกส่งกองย่อยออกหาเสบียงและเชื้อไฟให้ม้าหรือให้คน และจงบอกแก่ชาวบ้านให้่อพยพหลบทหารจิ๋นไป และอย่าเหลือสิ่งใดไว้ให้เป็นกำลังแต่ข้าศึกได้ "
ธงผากับจันเสนก็นำทหารห้าพันรีบล่วงหน้าไปทางเขาจินไต ส่วนกุมภวานำทัพใหญ่ตามไป และทัพของฝ่ายไทนั้นมีกำลังสามหมื่นคน
ธงผากับจันเสนมาได้หนึ่งวัน จันเสนก็กล่าวแก่ธงผาว่า " ข้าได้ข่าวว่าทัพของลิบุ๋นที่ยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถึงกับกล่าวกันว่าเมื่อทัพผ่านลำน้ำลู ตอนที่สูนำลิตงเจียไปส่งให้เตียวเหลียงชาวป่าสองคนยืนดูทัพของลิบุ๋น เพราะไม่เคยเห็นผู้คนรวมกันมาเพียงนั้น ลิบุ๋นเรียกชาวป่าสองคนนั้นไปถามว่า เหตุใดมาดูทัพจิ๋น ชาวป่าตอบว่าอยากนับจำนวน ลิบุ๋นก็ถามว่านับแล้วได้จำนวนเท่าใด ชาวป่าของเราตอบว่านับไม่ถูก ลิบุ๋นก็สั่งให้ทหารจิ๋นทั้งหมดลงไปดื่มน้ำในแม่น้ำลู ลำน้ำนั้นก็เหือดแห้งไปทันที ข่าวเช่นนี้ทำให้ข้าอยากจะได้เห็นทัพจิ๋นเสียโดยเร็ว สูจงให้ข้าล่วงหน้าไปก่อน และเมื่อได้เห็นแล้วจะรีบมาแจ้งแก่สู "
ธงผาก็ยอม จันเสนจึงควบม้าไปกับพันอิน อีกหกวันต่อมาในตอนเช้าจันเสนได้ยินเสียงไกลมาจากข้างหน้าเหมือนแผ่นดินจะถล่ม จันเสนก็รู้ว่าเป็นเสบียงของทัพจิ๋น แล้วจันเสนกับพันอินขึ้นไปบนเชิงเขาริมทางเพื่อดูทัพจิ๋น
ในไม่ช้าทัพใหญ่ก็ผ่านมาเป็นทางยาวเหมือนสายน้ำแม่โขง ทั้งสองดูอยู่นาน ขบวนทัพก็ยังไม่สิ้นสุด
จันเสนจึงกล่าวแก่พันอินว่า " ข้าเบื่อดูเสียแล้ว กลับกันเถิด "
แต่ตอนนั้นขบวนรถเทียมม้าของลิบุ๋นผ่านมา พันอินจึงกล่าวว่า " ขอให้ข้าดูของประหลาดนี้เสียก่อน " แล้วทั้งสองคนก็ดูขบวนของจิ๋นต่อไป
เมื่อขบวนรถผ่านไปแล้วทั้งสองบคนจะขึ้นมากลับ ทันใดนั้นทหารจิ๋นหมู่หนึ่งกรูเข้ามาล้อมไว้ จันเสนกับพันอินชักดาบต่อสู้ แต่ที่นั่นเป็นที่ลาดเขา คนไททั้งสองในไม่ช้าก็ถูกจับ
ทหารจิ๋นนำจันเสนกับพันอินไปยังเทียหยก แล้วเทียหยกนำไปยังลิบุ๋นและแจ้งว่า " ฮวนสองคนนี้มาสอดแนมทัพของเรา "
ลิบุ๋นหันไปกล่าวแก่เซ็กโปซึ่งยืออยู่เบื้องหลังว่้า " ข้าเคยเห็นสูเอากำปั้นชกม้าตาย บัดนี้ข้าจะมอบฮวนสองคนนี้ให้สูลองกำลัง "
เซ็กโปเดินมาที่จันเสนและพันอิน และเมื่อมองคนทั้งสองถี่ถ้วนแล้ว เซ็กโปกล่าวขึ้นว่า " ฮวนสองคนนี้มาดูกำลังของฝ่ายจิ๋นถ้าจะฆ่าเสียทั้งสอง ก็จะไม่มีใครไปแจ้งแก่ทัพไทให้รู้ถึงกำลังของทัพจิ๋นและของข้า ตัวนายข้าจะได้ฆ่าเสียแล้วปล่อยให้คนติดตามได้กลับไปบอกเล่าแก่ทัพไท "
จันเสนขยับปากจะพูด แต่พันอินตบจันเสนโดยแรงและกล่าวว่า " สูเป็นเพียงบ่าวของข้าอย่าบังอาจพูดก่อนนาย " และพันอินร่างสูงใหญ่ ส่วนจันเสนนั้นสูงไม่ถึงไหล่ของเซ็กโป
เซ็กโปจึงกล่าวว่า " บัดนี้เราได้รู้ว่าใครเป็นนาย " แล้วเซ็กโปเอาสันมือตีลงบนคอของพันอิน พันอินจึงล้มฟาดกับพื้นขาดใจตาย
จันเสนเห็นเช่นนั้นก็น้ำตาไหล เซ็กโปจึงตวาดเอาว่า " ลูกหมาฮวนกลัวตายถึงกับร้องไห้เชียวหรือ ข้าจะปล่อยสูไป จงรีบไปแจ้งกองทัพของสูให้ยอมแพ้เสียโดยเร็ว "
จันเสนก็ตวาดเซ็กโปว่า " เอาดาบมาให้ข้า แล้วมาสู้กัน "
เซ็กโปยกสันมือจะตีจันเสน แต่ลิบุ๋นร้องห้ามไว้ และกล่าวแก่ัจันเสนว่า " ข้าจะปล่อยสูไป จงไปเตือนพวกสูว่าอย่าได้คิดสู้กับจิ๋น สูเห็นแล้วว่าเซ็กโปทหารของข้ามีกำลังเพียงใด และทัพของข้าใหญ่เพียงใด แต่ถ้าสูใช้ปากแสดงโอหังกับข้าอย่างที่ใช้กับเซ็กโป ข้าจะให้ดาบดับความโอหังของสูเสีย "
จันเสนมิได้โต้ตอบด้วยคำพูด แต่เมื่อเดินจะพ้นประตูจันเสนก็ผายลมได้ยินไปทั่ว แล้วขึ้นม้าออกไป
เมื่อจันเสนมาถึงทัพห้าพันของตน ก็เล่าเหตุการณ์ที่ตนได้พบมาให้ธงผาฟัง เมื่อเล่าถึงพันอินซึ่งยอมตายแทนตนจันเสนก็ร้องไห้
" ให้ข้าไปดูทัพจิ๋นบ้าง " ธงผากล่าวแก่จันเสน " สูจงนำคนห้าพันของเราเดินต่อไป ข้าจะรออยู่ข้างหน้า "
แล้วธงผาขับม้าไปตามลำพัง อีกสองวันก็พบกองทัพลิบุ๋น ธงผากำบังตัวอยู่ในป่า และสังเกตทัพของลิบุ๋นเรื่อยไป ก็ได้เห็นว่าตอนกลางของทัพลิบุ๋นนั้นเป็นกองเสบียงและมีหญิงติดตามมาในกองทัพเป็นอันมาก สำหรับทหารนั้นมีประมาณสี่สิบหมื่น แล้วธงผาก็กล่าวแก่ตนเองว่า " ข้าไ้ด้มาเห็นแล้วก็ควรจะเอาศีรษะทหารจิ๋นเป็นของขวัญเสียก่อนจะกลับไป "
แล้วธงผาติดตามทัพของลิบุ๋นต่อไป ขณะนั้นอากาศร้อน ธงผามิได้ใ่ส่เสื้อแต่ใช้ผ้าโพกหัว เมื่อมาถึงทุ่งกว้างแห่งหนึ่ง ธงผาขึ้นไปยืนม้าดูทัพของลิบุ๋นอยู่บนเนิน ลิบุ๋นเห็นดังนั้นจึงกล่าวแก่เทียหยกว่า " คนที่ยืนม้าเฉยอยู่บนลูกเนินนั้นคงเป็นทหารไทที่มาสอดแนมอีก สูจงไปจับตัวมาเซ่นธงของเราเสีย ต่อไปคนไทจะได้ไม่บังอาจนั่งม้าดูทัพเราอีก "
เทียหยกก็ขับม้าออกไป ครั้นใกล้ก็จำได้ว่าเป็นคนที่ตนเคยพ่ายมาก่อนในการประลองฝีมือที่โลยาง เทียหยกมีความกลัวจึงชักม้ากลับมาแจ้งแก่ลิบุ๋นว่า " ฮวนที่มายืนม้าอยู่นั้นคือ ธงผาที่ไปโลยางกับกุมภวา "
เซ็กโปได้ฟังก็กล่าวแก่ลิบุ๋นว่า " ธงผานี้ข้าได้ยินทหารในกองทัพของเรากล่าวถึงอยู่เสมอว่าเป็นคนมีฝีมือของแคว้นไท ข้ารำคาญมานานแล้วที่ได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ เมื่อพบตัวจริงวันนี้ก็ดีแล้วข้าจะจับตัวมาให้ได้ หากไม่ยอมให้จับก็จะเอาศีรษะมา "
แล้วเซ็กโปพุ่งทวนไปจากที่ยืนม้าอยู่นั้น ทวนไปปักอยู่ข้างม้าของธงผา ธงผาก็กล่าวแก่ตนเองว่า " จิ๋นคนนี้มีกำลังผิดคนทั้งปวง ข้าจะต้องฆ่าเสีย " แล้วธงผาชูดาบขึ้นเป็นการท้า
เซ็กโปขับม้าตรงมายังธงผา ทั้งสองคนสู้กันครู่ใหญ่แล้วธงผาดึงม้าถอยออกไป และถามคู่ต่อสู้ว่า " สูเป็นนักสู้ที่มีฝีมือเมื่อข้าไปโลยาง เหตุใดเราไม่พบกัน "
เซ็กโปตอบว่า " ธงผา ข้าไม่ใช่คนโลยาง ข้าเป็นชาวกังไสชื่อเซ็กโป ไม่มีคนจิ๋นสู้ข้าได้ จงยอมให้ข้าจับเสียโดยดี "
ธงผากล่าวว่า " คนกังไสกับคนไทไม่ใช่ข้าศึกกัน เหตุใดจะมารบกับพวกเรา จงกลับไปเสีย "
เซ็กโป " ธงผา สูจงให้ข้าจับโดยดี หาไม่สูจะต้องตาย ข้ามาในทัพจิ๋นเพื่อให้คนทั้งปวงได้เห็นฝีมือ ชื่อของข้าจะได้มีคนกล่าวถึงทั่วไป "
" ถ้าเช่นนั้น ข้าจะต้องฆ่าสู " ธงผากล่าว
แล้วทั้งสองคนเข้าต่อไปสู้กันอีก คราวนี้เซ็กโปรุกธงผาหนักขึ้นจนม้าของธงผาถอยไปหลายวา และเหมือนจะล้มลงทหารจิ๋นทั้งกองทัพที่ดูแต่ไกล เห็นดังนั้นก็โห่ร้องให้แก่เซ็กโปเสียงดังประหนึ่งฟ้าถล่ม นกสองคู่ตกจากอากาศมาตายอยู่เบื้องหน้าม้าของธงผา
เซ็กโปก็ร้องบอกธงผาว่า " เพียงเสียงของทัพจิ๋นยังทำให้นกตาย คนไทยังขืนสู้ทัพจิ๋นหรือ "
ธงผาก็ฟาดฟันเซ็กโปหนักยิ่งขึ้น พร้อมกับกล่าวว่า " ทัพจิ๋นยกมามาก ข้าพอใจนัก คนรุกรานจะได้ตายมากขึ้น "
แล้วทั้งสองคนต่อสู้กันต่อไป เซ็กโปรู้สึกว่าธงผามีกำลังยิ่งนัก จึงกล่าวว่า " สูจงยอมให้ข้าจับโดยดี แล้วข้าจะให้ลิบุ๋นตั้งเป็นทหารเอก ข้าเองก็หาใช่ชาวจิ๋นไม่ ลิบุ๋นยังตั้งให้เป็นทหารเอกประจำตัว "
ธงผาตวาดไปว่า " สูมีฝีมือเสียเปล่า แม้แต่ม้าที่สูขี่ยังดีกว่า เกิดเป็นคนแล้วไฉนยอมเป็นทาสเล่า "
เซ็กโปก็เข้าฟาดฟันธงผาหนักยิ่งขึ้น ธงผาคิดในใจว่า " ชาวกังไสคนนี้มีกำลังเข้มแข็งยิ่งนัก น่าเสียดายฝีมือ แต่ข้าจะปล่อยไว้ไม่ได้ื "
แล้วธงผาก็ฟาดฟันเซ็กโปแรงขึ้นจนม้าของเซ็กโปต้องถอยหลังไป
ลิบุ๋นเห็นเซ็กโปไม่อาจจะเอาชนะธงผาได้ จึงสั่งให้ขบวนทัพโอบไปทางหลังเนิน เพื่อล้อมธงผาไว้ ธงผาเห็นดังนั้นก็ชักม้าหนีอ้อมลูกเนินไป เซ็กโปขับม้าไล่ตาม พอพ้นทัพจิ๋นไปได้สี่สิบเส้น ธงผากลับม้ามาต่อสู้กับเซ็กโปต่อไปอีก แล้วธงผามีอาการอ่อนกำลังลง เซ็กโปก็ฟาดฟันธงผาหนักขึ้นพร้อมกับร้องสำทับว่า " สูจะยอมแพ้หรือจะยอมตาย "
ธงผามีอาการอ่อนกำลังลงไปอีก และชักม้าหนีต่อไปเซ็กโปขับม้าตามพร้อมกับชูดาบเตรียมจะสังหารคู่ต่อสู้แต่แล้วธงผาก็ชักม้ากลับ และพุ่งม้าเต็มฝีเท้าตรงมายังเซ็กโปอีก พร้อมกับชูดาบสูงทั้งคนและม้าปะทะกันโดยแรงคนขี่ตกจากหลังม้าทั้งคู่ ส่วนม้านั้นไปยืนนิ่งอยู่เหมือนจะรอว่านายของตัวใดจะรอดชีวิตมาขับขี่ตนต่อไปได้ บนพื้นดินนั้นทั้งสองคนก็ฟาดฟันกันต่อไป ฝ่ายหนึ่งมีเสื้อเกราะ อีกฝ่ายหนึ่งตัวเปล่า
ในที่สุดเซ็กโปก็ถูกแทงที่ไหล่ แต่ว่าบาดแผลกลับทำให้ เซ็กโปฟาดฟันธงผาหนักยิ่งขึ้น ขณะนี้ทัพจิ๋นกำลังใกล้เข้ามาอีก ธงผาเห็นทัพจิ๋นจะเข้าห้อมล้อมตน เขาก็ลงดาบหนักยิ่งขึ้น แล้วในที่สุดเซ็กโปก็ล้มลงด้วยแรงดาบของธงผา
บัดนี้ธงผายืนอยู่เหนือร่างของคู่ต่อสู้ และจะฟาดดาบลงไปเป็นดาบสุดท้าย แต่ทันใดนั้นเซ็กโปร้องขึ้นว่า " คนเก่งเหตุไฉนจะฆ่าคนเก่งด้วยกัน "
ธงผ้ารั้งดาบไว้ขณะหนึ่ง แต่ว่าขณะนั้นทัพจิ๋นใกล้เข้ามาแล้ว ธงผาจึงกล่าวแก่เซ็กโปว่า " สูอาจจะมาศึกเพื่อชื่อเสียง แต่เราคนไททำศึกเพื่อความเป็นไท ข้าจะปล่อยสูไปไม่้ได้ เพราะสูมากับพวกที่รุกรานเรา แต่ข้าจะไม่ตัดศีรษะสูดังที่ตั้งใจไว้ "
เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว ธงผาก็แทงเซ็กโปถึงแก่ความตาย ขณะนั้นทัพของจิ๋นเข้ามาใกล้มากแล้วและระดมยิงมา ธงผาจึงควบม้าหนีไป ส่วนทหารจิ๋นก็นำศพของเซ็กโปไปยังลิบุ๋น
ตั้งแต่นั้นมาลิบุ๋นก็กลัวธงผายิ่งนัก เมื่อผู้ใดเอ่ยชื่อของธงผา ลิบุ๋นจะเหงื่อออกและตากลอกไปมา แล้วลิบุ๋นห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยชื่อธงผาในกองทัพเป็นอันขาด

๑๑...


บุ๋นเดินทัพต่อไปก็ถูกโจรของธงผาและจันเสนลอบโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืน และทหารของจิ๋นที่ออกไปหาหญ้าให้ม้าและหาฟืนไม่รู้พื้นที่ จึงถูกทหารไทยิงตายเสียเป็นอันมาก บางพวกถูกไล่ฆ่าฟันตายไม่มีเหลือกลับไปยังทัพใหญ่ อนึ่งเวลานั้นเป็นฤดูร้อน ทัพของจิ๋นหาน้ำได้ไม่พอทหารต้่องอดน้ำได้รับความลำบากยิ่งนัก และเมื่อกองทัพผ่านหมู่บ้านใดลิบุ๋นก็เห็นหมู่บ้านนั้น ๆ ถูก
เผาหมดสิ้น จะได้เห็นคนไทสักคนก็หาไม่ และเมื่อลิบุ๋นนำทัพผ่านหุบเขาแห่งใด ก็ถูกกองธงผากราดธนูมาจากข้างบน ครั้นทหารจิ๋นตดตามขึ้นไป ฝ่ายไทก็เข้าโจมตีแล้วถอย เพราะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ทหารจิ๋นที่ติดตามขึ้นไปถูกธนูและหอกสิ้นชีวิตเป็นอันมาก เพราะเสียเปรียบที่อยู่ข้างล่าง และไม่ชำนาญป่าเหมือนฝ่ายไทลิบุ๋นต้องเดินทัพด้วยความระวังยิ่งขึ้น ครั้นมาถึงเขาสามดาว ลิบุ๋นเห็นทัพไทตั้งขวางอยู่ข้างหน้า จึงให้ทหารไปสอดแนมทหารกลับมาแจ้งว่าเป็นทัพใหญ่ของไท มีกำลังประมาณสองหมื่น ลิบุ๋นก็หัวเราะ และกล่าวแก่ทหารของตนว่า " ถ้าฝ่ายไทไม่รบอย่างปีศาจอีกเราก็จะทำลายทัพคนป่าได้ในครั้งนี้ " แล้วลิบุ๋นให้ทหารเตรียมตัวเพื่อเข้าโจมตีทัพไทในวันรุ่งขึ้น
แต่พอดวงตะวันขึ้นสู่ฟ้า ทัพไทก็หายไปเสียแล้ว ลิบุ๋นจึงให้เกียงสุยนำทัพม้าสองหมื่นรีบตามทัพของกุมภวาไป
กุมภวาเมื่อรู้ว่าทัพม้าของจิ๋นติดตามมาก็นำทหารหนีขึ้นไปบนไหล่เขา ทัพม้าของเกียงสุยติดตามขึ้นไป กุมภวาเห็นดังนั้นก็ให้ทหารออกสู้รบกับฝ่ายจิ๋น ทหารม้าของเกียงสุยทำการไม่สะดวกเพราะเป็นที่ป่า จะรุกไล่หรือจะถอยอย่้างอยู่ในที่กว้างมิได้ ม้ากลับเป็นเครื่องกีดขวางในการรบ ทหารของเกียงสุยถูกฆ่าฟันสิ้นชีวิตไปเป็นอันมาก เกียงสุยจึงนำทหารถอยกลับ
ฝ่ายกุมภวาถอยทัพมาถึงช่องเขาที่เรียกว่าช่องกวางคู่สองข้างเป็นหน้าผาชันและที่ปากช่อง ม้าวิ่งไม่ได้ เพราะเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีก้อนหินใหญ่น้อยกีดขวางอยู่ ที่นี่ลิบุ๋นจะเอาทหารจำนวนอันเหนือกว่ามาใช้มิได้ กุมภวาจึงให้สีเภานำทหารห้าพันคนไปสมทบกับกองของธงผา และให้โจมตีทัพลิบุ๋นเมื่อเห็นสัญญาณไฟบนไหล่เขา และกุมภวากล่าวแก่สีเมฆและกุฉินว่า " พรุ่งนี้ลิบุ๋นจะมาถึงช่องเขานี้ข้าจะนำคนของเรายันไว้ ลิบุ๋นถือว่าทหารเหนือฝ่ายเรากว่าสิบเท่าคงจะตีฝ่าช่องเขานี้ไป ถ้าสูเห็นทัพจิ๋นไม่รักษาขบวนเมื่อใด จงระดมยิงจากไหล่เขาทั้งสองข้าง "
สีเมฆกับกุฉินก็นำทหารคนละสองพันห้าร้อยไปซุ่มอยู่บนไหล่เขา
ลิบุ๋นเมื่อเดินทัพเข้ามาในหุบเขา ก็เกรงว่าจะมีทหารไทซุ่มอยู่ จึงให้ทหารระวังตัวไว้แต่เมื่อเดินทัพมาหนึ่งวันมิได้เห็นทหารไทเลย ลิบุ๋นก็หัวเราะและกล่าวว่า " คนฮวนรบอย่างโจร " แต่พอถึงปากเขา ทัพของกุมภวาก็ออกมาขวางไว้ ลิบุ๋นสั่งทหารเข้าโจมตีฝ่ายไท แต่ที่นั่นเป็นช่องแคบและเกะกะด้วยหินก้อนใหญ่น้อย ทัพไทยึดพื้นที่ไว้ก่อนจึงต้านทัพจิ๋นไว้ได้ และฆ่าทหารจิ๋นตายเป็นอันมาก แต่ทหารจิ๋นหนุนเนื่องเข้าไปไม่ขาดเพื่อจะข้ามช่องเขาไปให้ได้ แต่ถูกฝ่ายไทฆ่าเกลื่อนกลาด ส่วนสีเมฆกับกุฉินเห็นกองทหารม้าของลิบุ๋นเฉยอยู่ เพราะมิอาจจะผ่านทางช่องเขาไปได้ สีเมฆกับกุฉินก็ให้ทหารของตนระดมยิ่งไปที่กองม้านั้น ม้าล้มตายเป็นอันมาก ที่บาดเจ็บก็แตกตื่นวิ่งหนีไป ภายในทัพของลิบุ๋นก็วุ่นวายเหยียบกันตายเกลื่อนกลาด และถอยร่นไปด้านหลัง ขบวนทัพด้านหลังจึงอลเวงไปด้วย กุมภวาก็ให้ทหารจุดไฟขึ้น สีเภาจันเสนกับธงผาเมื่อเห็นสัญญาณไฟก็นำทหารเข้าโจมตีด้านหลังของลิบุ๋น และทำลายทหารจิ๋นต่อไป
ลิบองเห็นฝ่ายตนแตกตื่น ทหารด้านซ้ายหลบมาด้านขวาและด้านขวาหลบไปด้านซ้าย ทีพหน้าหนีไปด้านหลังและด้านหลังหนีไปทางด้านหน้า ลิบองจึงขับม้าไปแจ้งแก่ลิบุ๋นว่า " ทัพของเราไม่เป็นขบวนแล้ว ต่างวิ่งไปวิ่งมาคนละทาง ทางปากเขาถอยไปหลังทัพ ทางหลังทัพหนีไปทางหน้า สุดจะบังคับได้ สูจงสั่งให้มารวมกันที่ธงแม่ทัพใหญ่ เพื่อตั้งรับศึกไว้ไม่ให้เสียขบวน "
ลิบุ๋นจึงให้ทหารขับม้าไปแจ้งแก่ทัพหน้า และทัพหลังให้มารวมกันที่ธงแม่ทัพใหญ่ แล้วทหารจิ๋นก็เรียงรายกันเป็นวงคอยป้องกันการโจมตีของฝ่ายไท และทหารจิ๋นนั่งเอาเข่ายันที่พื้นดิน และเอาโล่ผนึกกันไว้ ลูกธนูของฝ่ายไทที่ยิงลงมาจากไหล่เขาก็ทำอันตรายแก่ทหารจิ๋นไม่ได้ ฝ่ายไทจึงหยุดยิง แล้วทั้งสองฝ่ายเงียบกันอยู่
ลิบุ๋นเห็นฝ่ายไปเงียบอยู่นาน จึงกล่าวแก่ทหารของตนว่า " นอกจากธนูที่หมดพิษแล้ว คนไทมีอะไรจะระดมมาที่เราอีกหรือสมัยจูโกเหลียง ทหารจิ๋นกลับไปพูดกันว่าคนไทมีเวทมนต์ส่งสัตว์มาทำร้ายทางอากาศได้ ทหารจูโกเหลียงกล่าวเกินจริงเสียแล้ว "
ขาดคำพูดของลิบุ๋น ก็มีเข่งและข้องเป็นจำนวนมาก โยนมาจากไหล่เขาเข้าไปในขบวนทัพของจิ๋น และงูจำนวนมากทั้งใหญ่และเล็กออกมาจากในนั้น ทหารจิ๋นอลเวงอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อทหารจิ๋นอลเวงมากขึ้น งูก็ผงกหัวกัดทหารจิ๋นมากขึ้น ทหารจิ๋นถูกงูกัดชั่วครู่หนึ่งก็ตาย ทำให้พวกที่ไม่ถูกกัดพากันหลบงู ขบวนทัพของจิ๋นแตกตื่นอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายไทก็ยิงธนูมาจากเชิงเขาอีกทหารจิ๋นล้มตายอีกเป็นจำนวนมาก เพราะงูกัดบ้าง เหยียบกันเองบ้าง ถูกธนูของทหารไทบ้าง และที่ถูกทหารไทไล่ฆ่าฟันก็อีกจำนวนมาก
ครั้นกุมภวาเห็นว่าทหารของฝ่ายตนเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ก็ให้ทหารของตนหยุดโจมตี และถอยไปตั้งมั่นที่ช่องเขา เมื่อกุมภวาให้ทหารสำรวจความเสียหาย ปรากฎว่าฝ่ายไทเสียชีวิตไปทั้งสิ้นยี่สิบคน
ฝ่ายลิบุ๋นเมื่อทัพไทถอนไปแล้วก็ให้ทหารของตนขุดคูป้องกันมิให้ทหารไทลอบเข้าโจมตีอีกได้ และลิบุ๋นให้ทหารยกหินใหญ่มากองเป็นกำแพงไว้ และเมื่อตรวจดูความเสียหาย ปรากฎว่าทหารจิ๋นสิ้นชีวิตไปสามหมื่นเศษ ลิบุ๋นนำทัพม้ามาทั้งหมดสี่หมื่น ได้เสียไปคราวนี้สองหมื่น

๑๒...

รุ่งขึ้นลิบุ๋นให้ทหารเดินหน้าต่อไปอีกและแบ่งกำลังไว้ป้องกันแนวหลังและภัยจากไหล่เขาอย่างแข็งแรง กุมภวาจึงให้บุญปัน ลำพูน สีเมฆ และคำสินนำทหารผลัดกันเข้าขวางทัพจิ๋นไว้ที่ช่องเขา
บุตรลิบุ๋น ลิบองขับทหารเข้าไปหมายจะผ่านช่องเขาไปให้ได้ ทหารจิ๋นนอนตายเกลื่อนกลาด แต่ไม่สามารถบุกผ่านทัพไทไปได้ลิบุ๋นโกรธยิ่งนัก ร้องบอกทหารว่า " ผู้ใดถอยข้าจะตัดศีรษะเสีย " ทหารจิ่นก็โถมเข้าไปทางช่องเขานั้นอีก ศพทหารจิ๋นกองอยู่แน่นช่องเขานั้น โลหิตไหลดุจธารน้ำ แต่ไม่มีทหารจิ๋นคนใดผ่านแนวของทัพไทไปได้ ครั้นตกเย็นลิบุ๋นเห็นเหลือกำลังจะตีฝ่าไปได้ก็ถอยทัพออกมาตามเดิม เมื่อตรวจดูความเสียหายแล้ว ปรากฎว่าลิบุ๋นเสียทหารไปอีกสองหมื่น ลิบองจึงกล่าวแก่บิดาตนว่า " ถ้าเราจะขืนผ่านช่องเขานี้ไปให้ได้ ข้าเห็นว่ามีแต่จะเสียทหารโดยไม่เกิดประโยชน์ ทหารของเราก็จะไม่พอใจ ขอให้บิดาถอยทัพไปหาทางเดินทางอื่นเถิด เราคงจะไปเหยียบเมืองลือได้เร็ววันกว่าที่จะผ่านไปทางช่องเขานี้ "
ลิบุ๋นกล่าวว่า " คนนำทางของเรารู้จักแต่ทางนี้ทางเดียว เพราะเป็นทางที่คนไทใช้เดินสินค้าติดต่อถึงกัน หารเราจะเดินทัพไปทางอื่น ก็จะต้องอ้อมไปทางด้านเหนือหรือด้านใต้ ซึ่งคนนำทางของเราไม่เคยไป เราลองโจมตีอีกครั้ง หากเหลือกำลังจึงค่อยคิดแก้ไขต่อไป "
แล้วลิบุ๋นให้ทหารบุกเข้าทางปากช่องเขาต่อไป แต่มิสามารถผ่านไปได้ ทหารจิ๋นสิ้นชีวิตไปอีกเป็นอันมาก ครั้นจะให้ถอยทัีพลิบุ๋นก็อายแก่ทหารทั้งปวง จึงให้ตั้งมั่นเฉยอยู่ และบัดนี้อากาศที่ทหารจิ๋นหหารจิ๋นหายใจเข้าไปเริ่มมีกลิ่น เนื่องจากศพทหารจำนวนที่เหลือจะนับได้ ได็ถููกนำฝังไม่เรียบร้อย
และเมื่อกุมภวาเห็นลิบุ๋นหยุดส่งทหารเข้าโจมตีอยู่ถึงสามวันก็เชื่อว่าลิบุ๋นจะเปลี่ยนทางเดินทัพ กุมภวาจึงเรียกธงผาและสีเภามาบอกว่า " ลิบุ๋นคงไม่กล้าส่งทหารเข้ามาตายในช่องเขานี้อีกแล้ว คงคิดจะเดินทัพไปยังเมืองลือ โดยอ้อมเทือกเขาไป ถ้าเราลวงให้ลิบุ๋นเดินทัพไปทางด้านเหนือได้ ทัพของลิบุ๋นจะไปพบความกันดารน้ำ และไข้ป่าและตามทางเราจะโจมตีตัดกำลังได้อีกมาก ธงผาจงนำทหารไปดักไว้ทางด้านเหนือ สีเภาเป็นผู้ช่วย เวลากลางคือจงก่อไฟไว้ให้มาก เพื่อให้ลิบุ๋นเข้าใจว่าเป็นทัพใหญ่ของเรา และเมื่อลิบุ๋นนำทัพติดตามก็จงถอยเรื่อยไป และสูจงนำหนังวัวแห้งเย็บเป็นถุง บรรจุน้ำบรรทุกหลังม้าไปให้มาก เมื่อให้ผ่านทางกันดารไปได้ตลอด ส่วนข้าจะติดตามไป "
ธงผาถามกุมภวาว่า " เหตุใดสูจึงแน่ใจว่าลิบุ๋นจะติดตาม ทัพข้าไปเมื่อรู้ว่าเราอยู่ข้างหน้า ลิบุ๋นจะไม่คิดอ้อมเทือกเขาไปทางใต้บ้างหรือ "
กุมภวาตอบว่า " ลิบุ๋นเป็นคนที่ทิฐิ ที่เขายังตั้งมั่นอยู่ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจผ่านช่องเขานี้ไปได้ก็เำพราะว่าถ้าถอยไปจะอายแก่ทหารของตน แต่ถ้ารู้ว่ามีกองทัพไทอยู่ทางด้านเหนือ ลิบุ๋นจะถือเป็นโอกาสถอยทัพไป โดยอ้างว่าเพื่อไปขับไล่ทัพด้านนั้น อนึ่งถึงแม้ลิบุ๋นเชื่อว่าจะไม่มีทัพไปทำลายได้ ด้วยเหตุสองประการนี้ ข้าจึงเชื่อว่าเมื่อสูนำทัพไปล่อไว้ ลิบุ๋นจะติดตามไป "
ธงผากับสีเภาก็นำทัพอ้อมไปล่อลิบุ๋นอยู่ทางเทือกเขาด้านเหนือ และเตรียมน้ำบรรจุหนังวัวใส่หลังม้าไปด้วยเป็นอันมาก
และเมื่อลิบุ๋นตั้งค่ายเฉยอยู่หกวัน ทหารตระเวนมารายงานว่าทางปลายเขาด้านเหนือมีทัพไทตั้งอยู่ เวลากลางคืนได้เห็นกองไฟนั้นเป็นอันมากจากทัพนั้น แสดงว่าเป็นทัพใหญ่ ลิบุ๋นได้ทราบดังนั้นจึงกล่าวแก่นายกองทั้งปวงว่า " เรามาอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ก็เหมือนมาอยู่ในรู ทัพไทซึ่งคอยอยู่ปากเขาย่อมได้เปรียบ บัดนี้ทัพไทอยู่ในที่โล่งทางท้ายเขาด้านเหนือ เป็นโอกาสของเราแล้วที่จะติดตามไปทำลายเสีย "
แล้วลิบุ๋นให้เคลื่อนทัพตามทัพของธงผาไป ธงผาก็ถอยหนี และพอตกกลางคืนธงผาก่อไฟให้ลิบุ๋นติดตามได้ถูกและธงผากำชับคนของตนทุกคนให้กินรากไม้ที่เตรียมมาสำหรับป้องกันไข้
ทัพจิ๋นไม่รู้พื้นที่และไม่ชำนาญการเดินป่า และถูกโจมตีตลอดทางทั้งในป่าและตามช่องเขา โดยทหารจิ๋นไม่รู้ว่าอันตรายมาจากที่ใด และจะมาเมื่อใด ทหารจิ๋นล้มตายลงเรื่อยๆ และเมื่อลิบุ๋นตามทัพของธงผามาได้เจ็ดวัน ลิบองผู้บุตรมาแจ้งว่า " ทหารของเราอดน้ำกันมาก น้ำที่หาได้ตามทางไม่พอให้ทหารดื่ม และทหารจำนวนมากเป็นไข้อย่างแรง " ลิบุ๋นก็กล่าวว่า " เมื่อทัพไทหนีเราไปทางนี้ได้ก็แสดงว่าทางข้างหน้าจะมีน้ำพอใช้ เพราะคนไทรู้จักพื้นที่ดี ความขาดแคลนเกิดขึ้นชั่วคราว จงให้ทหารอดทนเดินทางต่อไปเถิด ส่วนความไข้นั้นในกองทัพของเราก็มีหมอรักษาอยู่มากคน และไข้เช่นนี้เมื่อชินเข้าก็จะหายไปเอง "
แต่เมื่อทัพจิ๋นเดินทางต่อไปน้ำยิ่งหายากขึ้น ทหารที่เป็นไข้เพิ่มขึ้นทุกวัน และทหารจิ๋นต้องกินน้ำสกปรกที่มีโคลนตม น้ำบางแห่งทหารจิ๋นดื่มเข้าไปก็เกิดพิษในร่างกายมีอาการคลุ้มคลั่ง ไล่ทำร้ายเพื่อนของตนเอง แล้วในที่สุดก็ล้มตาย น้ำบางแห่งเมื่อดื่มเข้าไปทหารจิ่นก็หมดกำลังล้มลงที่นั่นเอง และตัวแข็งลิ้นแข็งไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก แต่กระนั้นก็ตามเมื่อทหารจิ๋นเห็นน้ำ ณ ที่ใดก็วิ่งไปแย่งกันดื่ม ถึงฆ่าฟันกันตายก็มาก นอกจากทหารแล้วบรรดาหญิงและครอบครัวของทหารจิ๋นที่มากับกองทัพ และพ่อค้าที่ติดตามมาเพื่อชื้อเชลยศึกไปขายได้สิ้นชีวิตเป็นอันมากในระหว่างทางนี้ อนึ่งม้าก็ตายเสียอีกเกือบครึ่งหนึ่ง
กุมภวารู้ว่าลิบุ๋นติดตามทัพของธงผาไป ก็ยกทัพตามไปห่างๆ ทัพไทติดตามทัพจิ๋นไปยี่สิบวัน และได้เห็นซากศพของจิ๋นเกลื่อนกลาดไปตลอดทาง
และในวันที่ยี่สิบเอ็ด กุมภวาเห็นเทือกเขาอยู่ข้างหน้าก็รู้ว่าทัพลิบุ๋นจะถึงริมแม่น้ำเงินแล้ว กุมภวาจึงให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่ธงผาให้ขวางทัพของลิบุ๋นไว้ที่ริมแม่น้ำ เมื่อใดลิบุ๋นเข้าโจมตีกุมภวาจะได้นำทหารลงจากเขาช่วยตีขนาบทัพของลิบุ๋น
แล้วกุมภวาเร่งทัพไปดักอยู่ทางเชิงทางเขาอีกด้านหนึ่ง ม้าเร็วก็ไปแจ้งแก่ธงผาตามที่กุมภวาสั่ง เมื่อธงผาทราบเช่นนั้นแล้วก็ให้ทหารหยุดพักที่ริมฝั่งน้ำเงิน ฝ่ายจิ๋นเมื่อผ่านทุ่งนาก็เห็นเทือกเขาขวางอยู่ข้างหน้า ลิบุ๋นก็ให้ทหารเดินข้ามเขาไปและเมื่อถึงยอดเขา ทหารจิ๋นเห็นลำน้ำอยู่ข้างหน้าก็ดีใจยิ่งนัก และร้องบอกกันไปทั้งกองทัพ และพากันลงจากเขานั้นเพื่อจะมายังลำน้ำเงิน แต่ได้เห็นทัพไปตั้งขวางอยู่ ทหารจิ๋นมีความแค้นอยู่แล้วที่ถูกลวงให้ผ่านที่กันดา่รมาตลอดทาง เมื่อเห็นกองทัพไทขวางหน้าอยู่เช่นนั้น ยังไม่ทันที่นายทัพจะสั่งประการใด ทหารจิ๋นก็ชูกอาวุธโห่ร้องเข้าโจมตีทหารไท เพื่อตนเองไปให้ถึงริมน้ำให้ได้ แต่ถึงทหารจิ๋นจะโจมตีหนักเพียงใดก็ไม่อาจจะขับไล่ทัพไทไปได้ และกุมภวาซึ่งตามมาเห็นดังนั้นก็นำทหารเข้าโจมตีด้านหลังของทหารจิ๋น ทั้งม้าและคนของฝ่ายจิ๋นถูกฆ่าฟันเสียชีวิตไปเป็นอันมาก แต่ทัพจิ๋นมีจำนวนมากกว่าที่ทัพไทจะทำลายได้ กุมภวาเห็นเหลือกำลังจึงให้ทหารถอยข้ามน้ำไป ลิบุ๋นก็ให้ทหารตั้งค่้ายพักที่ริมน้ำนั้น
วันรุ่งขึ้นลิบองกล่าวแก่ลิบุ๋นว่า " ถ้าเรายอมให้ทัพไทหนีเราตลอดไปเช่นนี้ เราจะไม่อาจทำลายทัพไทได้ กุมภวาจะใช้พื้นที่ทำลายทัพเราได้ตลอดไป ขอให้บิดายกทัพอ้อมไปทางใต้สกัดทัพไทไว้ เพราะทัพไทคงจะหนีลงไปยังเมืองลือ ส่วนข้าจะขอทหารไว้สิบหมื่น เพื่อไล่ตามทัพไทไป ด้วยวิธีนี้ทัพไทคงจะหนีเราไม่พ้น "
ลิบุ๋นเห็นด้วยและแบ่งทหารให้ลิบองสิบหมื่น ส่วนลิบุ๋นเองนำทัพที่เหลืออีกสิบห้าหมื่นเลียบริมน้ำไปทางใต้
ลิบองก็ให้ทหารเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเพื่อขับไล่ทัพไทต่อไป และทหารจิ๋นมีความเกรงกลัวกองธนูของฝ่ายไทเป็นอันมาก จึงใส่เกราะไว้เสมอ และมีโล่ประจำตัวทุกคน

๑๓...

คนสอดแนมของฝ่ายไทเห็นทัพจิ๋นแยกกันก็มาแจ้งแก่กุมภวา ภุมภวาจึงออกไปตรวจพื้นที่ เห็นทางใต้ลงไปร้อยห้าสิบเส้น ภูเขาชิดกับริมน้ำและที่ริมน้ำเป็นทางชันขึ้นไป กุมภวากลับมาให้ทหารเตรียมสำหรับรบและให้เคลื่อนไปทางใต้ ลิบองมองจากฝั่งตรงข้ามเห็นทัพไทจัดขบวนเหมือนจะออกรบ ก็ให้ทหารของตนเตรียมตัวไว้ แต่เมื่อทัพไทเดินเลี้ยวกลับไปตามทางโค้ง ทัพไทก็ดูประหนึ่งว่าเดินห่างไปจากทัพจิ๋น ลิบุ๋นเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าทัพไทจะหนีต่อไปอีก จึงร้องบอกทหารของตนว่า " ฮวนหนีอีกแล้ว ฮวนหนีอีกแล้ว "
แล้วลิบองก็เร่งให้ทหารข้ามน้ำติดตามทัพของกุมภวาไป
เมื่อกุมภวานำทหารมาถึงทางลาดเป็นเนินที่ริมน้ำก็ให้ทหารขึ้นไปบนทางลาดนั้นช้าๆ เพื่อคอยทัพจิ๋น ลิบองเห็นทัพไทกำลังจะข้ามพ้นทางลาดนั้น ลิบองก็เร่งทหารให้ติดตามขึ้นไป ทันใดนั้นกุมภวาสั่งให้ทัพของตนหันหลังกลับเรียงแถวเป็นหน้ากระดานชิดกันและเข้าโจมตีฝ่ายทัพจิ๋น ทัพไทได้เปรียบที่อยู่สูงกว่า และทหารจิ๋นนั้นสวมเกราะเคลื่อนไหวได้ช้า และเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งตามทัพไทอยู่แล้ว จึงเสียเปรียบฝ่ายไท เมื่อถอยไปก็ล้มลง และถูกฝ่ายไทใช้หอกแทงตายเป็นอันมาก ที่อยู่ข้างหลังก็ถอยลงไปอีกเพราะฝ่ายไทได้กำลังจากการโถมมาจากข้างบน ในไม่ช้าทัพจิ๋นก็หันหลังหนี ลิบองจะสกัดทหารของตนไว้ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อฟัง ในที่สุดทหารจิ๋นถอยหนีไปอยู่เบื้องหลังลิบองทั้งหมด ลิบองเหลือทหารประจำตัวอยู่ยี่สิบคน ทุกคนต่อสู้กับทหารไทจนตายหมด เหลือแต่ลิบองต่อสู้อยู่คนเดียว กุฉินซึ่งไล่ติดตามทหารจิ๋นมาเห็นลิบองสู้เข้มแข็งเช่นนั้นก็ร้องบอกทหารที่รุมลิบองอยู่ว่า " ทหารจิ๋นมีอยู่ข้างหน้ามาก สูจงติดตามไป ส่วนแม่ทัพคนนี้เหลือไว้ให้ข้า "
แล้วกุฉินก็เข้ารบกับลิบอง ทั้งสองต่อสู้กันอยู่นาน ในที่สุดลิบองถูกฟันล้มลง กุฉินเข้าเหยียบอกลิบองไว้ แล้วเงื้อดาบขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า " สูจะขอชีวิตไว้หรือจะยอมถูกฆ่า "
ลิบองกล่าวเสียงดังว่า " ชาวจิ๋นหรือจะของชีวิตจากหมาฮวน "
กุฉินก็ฟาดดาบลงไปตัดคอลิบองขาด แล้วให้ทหารนำศีรษะไปให้กุมภวา ส่วนกุฉินก็ไล่ฟันทหารจิ๋นต่อไป คืนนั้นเดือนสว่างเหมือนกลางวัน ฝ่ายไทไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นไปตลอดคืน จึงหมดทหารจิ๋นที่จะให้ฆ่าอีกต่อไป และพากันกลับมารวมกัน ณ ที่เดิม
กุมภวาให้ทหารรื่นเริงกันเพื่อฉลองชัย แล้วให้เดินทัพไปทางใต้ อีกสองวันทัพกุมภวาก็พบทัพลิบุ๋นที่ทุ่งลาดขวัญ
ลิบุ๋นเมื่อได้เห็นทัพไทก็สั่งให้ทหารของตนระวังค่ายไว้ และลิบุ๋นกล่าวแก่เกียงสุยว่า " ถึงคนไทจะท้ารบอย่างไรจงอย่านำทหารออกไป ต่อเมื่อทัพของลิบองมาถึงแล้วจึงค่อยออกตี "
กุมภวาให้ทหารท้าอยู่สองวัน ทัพจิ๋นก็คงเฉยอยู่ กุมภวาจึงออกไปหน้าค่ายฝ่ายจิ๋น และให้เอาศีรษะลิบองเสียบปลายทวนชูขึ้น ทหารจิ๋นจำได้ว่าเป็นศีรษะของบุตรแม่ทัพ ก็พากันส่งเสียงอื้ออึง ขณะนั้นลิบุ๋นนั่งนึกถึงโชคชะตาของตนอยู่ในที่พัก เมื่อได้ยินเสียงอื้ออึงก็ออกมายังหอ และเห็นศีรษะบุตรของตนบนปลายทวนของฝ่ายไท ลิบุ๋นน้ำตาอาบหน้าและเมื่อเห็นกุมภวายืนอยู่ข้างทหารที่ชูศีรษะบุตรของตน ลิบุ๋นก็ก้มหน้านิ่งอยู่ กุมภวาเอาแส้ชี้มายังลิบุ๋นและร้องบอกไปว่า " เราอุตส่าห์บากหน้าไปโลยางหวังจะได้ไมตรีจากสู แต่สูจะให้เราได้ก็แต่ความเป็นทาส บัดนี้สูมากวาดต้อนทาสหรือ เหตุใดไม่ออกมาเล่า "
แล้วกุมภวาก็เดินไปมาอยู่ที่นั่น และมองมายังลิบุ๋นตลอดเวลา ลิบุ๋นได้แต่ก้มหน้าและกล่าวซ้ำอยู่ว่า " คนไท คนไท "
เมื่อจิ๋นไม่ออกมาแล้ว กุมภวาก็กลับเข้าค่้าย ส่วนลิบุ๋นนั้นกำชับเกียงสุยให้ตรวจค่ายให้แข็งแรง และตัวลิบุ๋นเองไม่ยอมออกมามองค่ายของไทอีก
เกียงสุยระวังค่ายอยู่หกวันไม่เห็นลิบุ๋นออกมาจากที่พัก จึงเข้าไปหาืื และกล่าวว่า " เสบียงของเรากำลังขาด หากเราจะตั้งมั่นอยู่ต่อไป ทหารจะต้องแย่งกันกิน อนึ่งทัพไทจะมีกำลังหนุนเพิ่มเติมมา ทหารของเรายังมากกว่าฝ่ายไท และขวัญก็ดีขึ้นแล้ว ขอให้ข้ายกทหารออกรบ ข้าจะเอาชนะให้จงได้ "
ลิบุ๋นก็อนุญาตและให้ทหารแ่ก่เกียงสุยไปแปดหมื่น กุมภวาเมื่อเห็นทัพจิ๋นออกมา ก็นำทัพออกและให้ธงผา กุฉิน ลำพูน จัันเสน และนายกองอื่นๆ กระจายกันคุมทัพเป็นหน้ากระดาน และให้ทหารตีกลองเสียงก้องไปทั่วทุ่ง และทหารเหล่านี้ฝึกตีกลองมาชำนาญทุกคน เสียงกลองกระหึ่มดุจแผ่นดินกำลังถล่มเคล้ากับเสียงดุจฟ้าผ่าทหารจิ๋นก็เสียขวัญไปสิ้น และตั้งแต่ทัพของลิบองถูกทำลายทั้งทัพ ทหารจิ๋นก็กลัวทัพไทประหนึ่งว่า ทัพไทนั้นเป็นทัพปีศาจ เมื่อมาได้ยินเสียงกลองดังอย่างน่ากลัว ซึ่งทหารจิ๋นฟังแล้วรู้สึกเป็นเสียงมาบอกล่วงหน้าถึงความตาย ความหวาดกลัวก็เพิ่มขึ้นและลืมคิดไปว่าฝ่ายตนมีจำนวนเหนือกว่า ทหารที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่คิดว่าตนจะพ้นความตายไปได้ และเมื่อธงผาเข้ามาใกล้คนถือธงจำได้และร้องว่า " ธงผามาแล้ว " และหันหลังวิ่งหนี ทหารแถวหน้าก็พลอยวิ่งตามธงไปด้วย ทหารแถวหลังเมื่อเห็นคนถือธงวิ่งกลับก็เข้าใจว่ามีคำสั่งให้่ถอย ต่างก็หันหลังกลับกันสิ้น ทหารไทไล่ติดตามไปและฆ่าฟันทหารจิ๋นไปจนถึงประตูค่าย เกียงสุยถูกทหารของตนเหยียบตายที่หน้าค่ายนั้นเอง แล้วทหารไทตามทหารจิ๋นเข้าไปในค่าย ลิบุ๋นเมื่อรู้ว่าทัพไทเข้าค่ายได้ก็เอาเสื้อทหารเลวใส่ และนำทหารขึ้นม้าออกไปทางหลังค่าย และให้ทหารนำถุงทองที่ลิบุ๋นโกงเจ้าเมืองเช็งสีไว้ผูกติดหลังม้าไปด้วย
ฝ่ายทัพไปติดตามไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นไป ในวันนั้นทุ่งลาดขวัญเต็มไปด้วยศพทหารเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน
ลิบุ๋นจะหนีกลับโลยางได้หรือไม่ เชิญติดตามตอนต่อไป

๑๔...

ฝ่ายลิบุ๋นเมื่อหนีมาจนเวลาค่ำ ก็หยุดพักเพื่อกินอาหารทหารบางคนแสร้งไปเก็บฟืนแล้วหลบหนีไปพร้อมกับทอง บางคนขี่ม้าขับออกไปซึ่งหน้า ลิบุ๋นได้แต่เอ่ยซ้ำอยู่ว่า " คนไท คนไท "
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ลิบุ๋นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจึงรีบขึ้นม้าหนีต่อไป พร้อมด้วยทหารอีกสามสิบคน แต่เมื่อขับม้าไปได้ครึ่งคืนทหารที่ติดตามก็เหลือเพียงห้าคน ฝ่ายไทที่ติดตามมานั้นคือกุฉินกับธงผา เมื่อกุฉินกับธงผามาถึงกองไฟที่ทหารจิ๋นก่อหุงต้มอาหาร ก็รู้ว่าทหารจิ๋นอยู่ในบริเวณนั้น จึงติดตามไปและจับทหารจิ๋นได้คนหนึ่งที่หลบลิบุ๋นมาพร้อมกับทองสามถุง จิ๋นผู้นั้นร้องขอชีวิตตนไว้และกล่าวว่า " ให้ข้าได้กลับไปเห็นหน้าลูกเมียข้าเถิด ข้าจะมอบทองสามถุงนี้ให้ "
ธงผากล่าวว่า " ข้าจะปล่อยสูไปพร้อมกับทอง แต่จงบอกข้ามาว่าได้เห็นลิบุ๋นที่ใด "
ทหารจิ๋นผู้นั้นตอบว่า " ข้าเพิ่งหลบลิบุ๋นมาได้ไม่นานพร้อมกับทองนี้ สูรีบตามไปทางเหนือจะพบลิบุ๋น "
ธงผากับกุฉินก็ขับม้าไปทางเหนือ
ลิบุ๋นหนีมาจนรุ่งเช้า ทหารที่ติดตามมาก็เหลือเพียงเล่ากวง ทหารประจำตัวคนเดียวซึ่งไม่มีถุงทอง ส่วนทหารที่รับมอบถุงทองไว้จากลิบุ๋นได้หลบหนีไปสิ้น
ลิบุ่นกับเล่ากวงขับม้าผ่านทุ่งกว้างมา ขณะนั้นลมพัดจัดมาจากเบื้องหลัง หอบทรายคลุ้งขึ้นไปข้างบน และเสียงลมยิ่งดังขึ้น เล่ากวงร้องบอกลิบุ๋นว่า " ข้าได้ยินเสียงตามหลังมา ข้ากลัวนัก จงเร่งม้าโดยเร็วเถิด " ลิบุ๋นถามว่า " เป็นเสียงม้าติดตามเรามาหรือ " เล่ากวงตอบว่า " ไม่ใช่เสียงม้า แต่เป็นเสียงคนโหยหวนมาข้างหลัง " ลิบุ๋นถามว่า " เสียงนั้นพูดว่าอย่างไร " เล่ากวงตอบว่า " ข้าได้ยินเสียงร้องมาว่า เอาทองห้าพันแท่งของข้ามา เอาทองห้าพันแท่งของข้ามา ร้องซ้ำอยู่เช่นนี้ สูไม่ได้ยินหรือ ข้าได้ยินอีกแล้ว " ลิบุ๋นได้ฟังเล่ากวงกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าปีศาจเจ้าเมืองเช็งสีติตตามมาทวงเอาทองจากตน และคราวนี้ลิบุ๋นได้ยินเสียงคร่ำครวญนั้นตามหลังมาด้วย ลิบุ๋นก็กลัวยิ่งนักและเร่งม้าให้เร็วขึ้นเพื่อหนีเสียงนั้น ในไม่ช้าลิบุ๋นถึงลำน้ำกว้างแห่งหนึ่ง พอดีเรือหาปลาผ่านมาสองลำ ลำหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งแจว อีกลำหนึ่งมีชายแจว ลิบุ๋นก็เรียกเรือสองลำนั้นมาที่ตน
หญิงเจ้าของเรือเห็นเสื้อของเล่ากวงงาม ส่วนของลิบุ๋นเป็นเสื้อหยาบ หญิงนั้นก็ให้เล่ากวงถอดเสื้อให้แล้วนางนำเล่ากวงและม้าข้ามน้ำไป
ส่วนชายเจ้าของเรือถามลิบุ๋นว่า " สูมีอะไรให้ข้า "
ลิบุ๋นตอบว่า " ที่ข้าจะให้สูนั้น ถึงสูหาปลาไปตลอดชีวิตก็จะเก็บเบี้ยไปซื้อมาไม่ได้ "
แล้วลิบุ๋นควักตราหยกสำหรับตำแหน่งผู้ว่าการทหารแห่งแคว้นจิ๋นยื่นให้ชายหาปลา
ชายหาปลามองดูตราหยกแล้วหัวเราะ และกล่าวว่า " สูว่าหินก้อนนี้มีค่า ปลาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งสำหรับลูกข้าจะยังดีกว่าหินก้อนนี้ " แล้วชายหาปลานั้นก็ไม่นำเรือเทียบฝั่ง ลิบุ๋นจะอ้อนวอนอย่างไร ชายนั้นก็เฉยอยู่
ลิบุ๋นนึกขึ้นได้ว่าโกลนม้าของตนทำด้วยทอง จึงกล่าวแก่ชายเจ้าของเรือว่า " สูไม่รู้จักค่าของหยก แต่ทุกคนพอใจทอง ไม่ว่าไทหรือจิ๋น โกลนม้าของข้าทำด้วยทอง ข้าจะให้เป็นค่าจ้าง จงส่งข้าข้ามฟากโดยเร็วเถิด " แล้วลิบุ๋นก็ชี้ไปที่โกลนม้าของตน
คนไทเจ้าของเรือตะโกนเอาแก่ลิบุ๋นว่า " สูคิดว่าคนหาปลาโง่นักหรือ มีใครบ้างจะบ้าเอาทองไปทำเป็นโกลนม้า "
แล้วชายนั้นก็ถอยเรือไป พอดีกุฉินกับธงผามาถึง เมื่อลิบุ๋นเห็นผู้ืที่ฆ่าเซ็กโป ลิบุ๋นก็หมดแรง ดาบที่ถืออยู่ร่วงจากมือ แล้วลิบุ๋นก็ถูกน้ำไปยังทัพไท เล่ากวงเห็นนายของตนถูกจับไปเช่นนั้นก็ร้องไห้และในที่สุดก็เดินทางหลบหนีไปโดยลำพัง

๑๕...

ลิบุ๋นถูกนำไปที่กุมภวา คนทั้งสองได้เผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่งและบัดนี้ลิบุ๋นตั้งสติคืนได้แล้ว
กุมภวาถามขึ้นว่า " ข้าควรจะทำอย่างไรแก่สู "
" จงทำต่อข้าอย่างข้าเป็นแม่ทัพ " ลิบุ๋นตอบ " ไม่ว่าเมื่ออยู่หรืเมื่อตาย "
" การเป็นหัวหน้าคนเพื่อฆ่าคนอื่นทำให้เราเหนือคนอื่นหรือ " กุมภวาถามลิบุ๋น แล้วกุมภวาหันไปกล่าวแก่สีเภาว่า " จงเอาคนผู้นี้ไปจัดการด้วยความเป็นธรรมเถิด "
สีเภานำลิบุ๋นไปยังที่ประชุมของคนไท ณ มุมหนึ่งของที่ประชุมนั้นมีเชลยชาวจิ๋นกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ แล้วสีเภากล่าวแก่ลิบุ๋นว่า " คนไทเหล่านี้จะไต่สวนความผิดของสู ส่วนเชลยจิ๋นเหล่านั้นจะถูกปล่อยตัวให้กลับไปแคว้นจิ๋น เพื่อไปบอกชาวจิ๋นว่าเมื่อเราใช้กำลัง เราใช้ด้วยความเป็นธรรมแม้แต่กับศัตรูของเรา "
ลิบุ๋นกล่าวว่า " ทำไมสูไม่ประหารข้าเสียโดยเร็วเล่า ข้าเป็นแม่ทัพและเป็นผู้ว่าการทหารของจิ๋น สูจะให้คนธรรมดาเหล่านี้มาตัดสินข้านั้นสมควรหรือ "
สีเภากล่าวว่า " ลิบุ๋นเอ๋ย จนตายสูจะหลงอยู่กับของประดับภายนอก คนธรรมดาเหล่านี้จะตัดสินสูเพราะว่าสูพาคนมาทำลายชีวิตอันสงบของเขา เขาต้องทิ้งพลั่วทิ้งคันไถ แล้วหันมาจับดาบและแหลนหลาวเพื่อคุ้มกันตัวของเขาเองและคนที่เขารัก และเพื่อนจำนวนมากของเขาต้องตายไป แทนที่จะได้อยู่กับครอบครัว สูทำผิดต่อเขามาก เช่นนี้แล้วไม่สมควรหรือที่เขาจะ่ตัดสินการกระทำของสู แต่สูกลับเห็นว่า เราประจานสูในตำแหน่งแม่ทัพ "
การไต่สวนลิบุ๋นก็เริ่มขึ้น คนไทหลายคนถามลิบุ๋นว่า " เราทำผิดอย่างใดหรือ สูจึงยกกำลังมาหมายจะทำลายเรา " ลิบุ๋นไม่ตอบ ในที่สุดคนไทในที่นั้นก็ตัดสินให้ประหารลิบุ๋น แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะประหารด้วยวิธีใด บางคนให้ทรมานลิบุ๋นให้สาหัสเหมือนที่จิ๋นเคยทรมานหัวหน้าคนไทในสมัยก่อนๆ แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ว่าจะทรมานด้วยวิธีใด ทันใดนั้นคนครัวคนหนึ่งชื่อสมปอยลุกขึ้นกล่าวว่า " คนคนนี้อยากได้ที่ดินของเรามาก เราอย่าให้เขาผิดหวังเลย เราพอจะให้ดินแก่เขาคนละก้อนสองก้อนได้ "
คนไทอื่นๆ ก็โห่ร้องเห็นด้วย แต่เชลยของจิ๋นคนหนึ่งอุทานว่า " ซินหยงเอย สูเป็นโหรโดยแท้ แม่ทัพของเรากำลังจะได้บางอย่างจากคนไทแล้วที่ไม่จิ๋นคนอื่นเคยได้ "
แล้วลิบุ๋นก็ถูกนำไปมัดไว้ที่กลางลาน คนไททั้งปวงก็ช่วยกันโยนก้อนดินไปจนในที่สุดร่างของลิบุ๋นก็จมอยู่ภายใต้กองดิน


๑๖...

กองทัพไทยังคงตั้งอยู่ที่ทุ่งลาดขวัญ และอีกหลายวันต่อมา บุญปันเข้าเข้าไปถามกุมภวาว่า "บัดนี้ทัพจิ๋นพ่ายไปแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป"
กุมภวาตอบว่า "ข้าจะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ข้าจึงเฉยอยู่ เราอาจจะเลิกกองทัพให้ทุกคนกลับไปบ้าน หรือเราอาจจะบุกเข้าไปในดินแดนจิ๋น แต่จะทำอย่างใดนั้นเราจะต้องพร้อมใจกันและข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ข้าจึงเฉยอยู่"
บุญปันก็เอาคำของกุมภวาไปแจ้งต่อคนไทอื่นๆ
ค่ำวันนั้นมีนักบวชห่มผ้าสีไพรมาหากุมภวา กุมภวาออกไปพบก็เห็นเป็นสีบุญ พี่น้องถามทุกข์สุขกันแล้ว กุมภวาจึงถามสีบุญว่า "สูเดินทางจากป่าลายมานี่ประสงค์อะไรหรือ"
สีบุญตอบว่า "ข้าจะมาตั้งวัดที่หมู่บ้านชาวฮ่อ"
กุมภวากล่าวว่า "ชาวฮ่อนั้นแม้จะแยกมาจากจิ๋นแล้ว แต่ก็ยังเป็นเชื้อสายของจิ๋นอยู่ เขาจะยินดีฟังคำแนะนำจากคนไทหรือ"
สีบุญตอบว่า "ข้าจะทำงานกับใครนั้น ไม่แตกต่างสำหรับข้า คนไม่ว่าเป็นจิ๋นหรือเผ่าไทหรือเผ่าใดไม่ต่างไปจากกิ่งไม้จากต้นเดียวกันและไม่ต่างจากลำธารที่ไปสู่แม่น้ำเดียวกัน"
พี่น้องทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง สีบุญก็อำลามาก่อนแยกกัน สีบุญกล่าวแก่กุมภวาว่า "บัดนี้งานของสูในการต่อต้านทัพจิ๋นได้เสร็จแล้ว แต่สูยังไม่ปล่อยให้ทุกคนกลับไปบ้านเดิมของเขา เราพวกนักบวชเชื่อว่าเวรไม่ระงับด้วยการจองเวร"
รุ่งขึ้น บุญปันพร้อมด้วยนายกองทั้งปวงมายังกุมภวาและบุญปันกล่าวว่า "พวกเราได้พูดกับคนในกองทัพแล้ว ต่างก็ต้องการให้สูนำเขาเข้าไปยังแคว้นจิ๋น"
กุมภวาตอบว่า "ที่เราจะโจมตี่จิ๋นนั้นเราทำได้ แต่ว่าจำนวนคนของเราน้อย เราจะไม่อาจยึดพื้นที่ส่วนใดของจิ๋นไว้ได้ แต่เมื่อสูมีน้ำใจอย่างเดียวเช่นนี้ จงให้เหตุผลอันสมควรแก่ข้าก่อนที่ข้าจะยอมตาม"
บุญปันกล่าวว่า "การศึกกับทัพของลิบุ๋นนั้นสิ้นสุดไปแล้ว แต่การศึกกับทัพจิ๋นยังมีอยู่ ลิบุ๋นเป็นเพียงคนหนึ่งในหมู่ขุนทัพในโลยางที่คิดรุกรานเราอยู่เสมอ เมื่อเป็นดังนี้เราจะวางอาวุํธและเก็บเครื่องสนามของเรากลับบ้านยังไม่ได้ หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเราไปนั่งรอให้ขุนทัพของจิ๋นมารุกรานของเราอีกตามเวลาที่จะสะดวกแก่เขา ถึงเราจะไม่มีคนพอสำหรับยึดแผ่นดินจิ๋น แต่ว่าเราพอจะสั่งสอนจิ๋นได้บ้าง ต่อไปจิ๋นจะได้คิดให้ดีก่อนที่จะมาเบียดเบียนเราอีก"
นายกองทั้งปวงก็เร่งเร้าให้กุมภวานำทัพเข้าไปในดินแดนจิ๋น กุมภวายินยอม แล้วในไม่ช้าทัพไทก็มุ่งไปยังเขาจินไต

๑๗...

เมื่อทัพของลิบุ๋นถูกทำลายไปแล้ว ข่าวรู้ไปถึงเมืองเช็งสี และพ่อค้าเช็งสีผู้หนึ่งชื่อทิมอ นำสินค้าบรรทุกลาไปขายยังโลยาง ขณะเจรจาซื้อขายกันอยู่ชาวโลยางถามทิมอว่า "สูอยู่ใกล้แคว้นไท ได้ข่าวหรือไม่ว่าลิบุ๋นยึดเมืองในแคว้นไทได้กี่เมืองแล้ว"
ทิมอ ได้ฟังก็ประหลาดใจ แล้วกล่าวว่า "ชาวโลยางไม่รู้หรือว่้าทัพของลิบุ๋นถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว"
ชาวโลยางได้ฟังก็โกรธ ต่างพากันยื้อแย่งสินค้าของทิมอไปสิ้น ทิมอนำความไปร้องต่อกรมการ และกล่าวว่า "ข้าพูดแก่ชาวเมืองว่าทัพของลิบุ๋นถูกทำลายสิ้น ข้าพูดตามที่รู้มา แต่ชาวเมืองเอาเป็นเหตุชิงสินค้าของข้าจนหมดสิ้น ขอให้่ชำระความให้ข้า"
กรมการเมืองได้ฟังก็พูดกันว่า "คนคนนี้เป็นบ้าไปเสียแล้ว" แล้วจับทิมอขังไว้ เมื่อครบสิบห้าวันก็ปล่อยตัว และกล่าวแ่ก่ทิมอว่า "เมื่อสูเข้ามาค้าขายในบ้านเมืองของเรา จงอย่าได้ดูหมิ่นพวกเราที่เป็นเจ้าของบ้าน"
ทิมอก็ออกจากโลยางไป ตลอดทางที่ผ่านตัวเมืองหลวง ทิมอไม่พูดกับผู้ใดเลย แต่เมื่อพ้นประตูเมืองไปได้หนึ่งเส้น ทิมอวิ่งกลับมาถ่มน้ำลายที่กำแพงเมืองครั้งแล้วครั้งอีก และกล่าวแก่กำแพงว่า "ข้าจะไปบอกลูกหลานของข้าไม่ให้เอาความจริงมาพูดกับชาวโลยางต่อไป" แล้วทิมอก็กลับไปเช็งสี


จบภาค ๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ก็ลองติดตามดูนะครับเหตุการณ์ ของเรื่องราว ภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)ตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยปัจจุบันมากที่สุด ย้อนรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต คล้ายกับว่า ยามศึกเรารบ ยามสงบเราทะเลาะกัน อ่านแบบตัวอักษรต่ออักษร แล้วท่านจะได้ข้อคิดอย่างไร ก็พิจารณาเอาเองเถิด อิสระชน แห่งยุคประชาธิปไตย ยุคความคิดที่เป็นประโยชต่อมนุษยชาติที่ไร้ขอบเขต