วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนไท ทิ้ง แผ่นดิน (ภาค ๒ ไทวิวาทกันเอง)

ภาค ๒
ไทวิวาทกันเอง
๑...
แคว้นเม็งขณะนั้นขุนจาดปกครองอยู่ ขุนจาดผู้นี้เป็นบุตรขุนเพ่ง เมื่อจูโกเหลียงยกทัพมาตีแคว้นไท เจ้าเมืองแคว้นอื่น รวมกันต่อสู้ แต่ขุนจาดอ่อนน้อมต่อจูโกเหลียงโดยดีและหันมากดขี่ต่อประชาชนในปกครองของตน ราษฎรเกลียดขุนจาดยิ่งนัก เมื่อขุนจาดรู้ว่าราษฎรเกลียดแทนที่ขุนจาดจะค้นหาความบกพร่องของตนในการปกครอง ขุนจาดกลับหันไปกดขี่ประชาชนยิ่งขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อความสงบ ภาษีที่ขุนจาดรีดราษฎร ขุนจาดก็นำไปจ้างทหารไว้รักษาความมั่นคงให้แก่ตัวเอง เมื่อไม่พอใจผู้ใดขุนจาดก็ฝังผู้นั้นทั้งเป็นเพื่อให้ราษำรยำเกรงการปกครองของตน ครั้งหนึ่งขุนจาดกับทหารใกล้ชิดกินอาหารร่วมกัน ทหารใกล้ชิดตายหมดเพราะยาเบื่อในอาหารนั้นขุนจาดไม่ตาย กล่าวกันว่าขุนจาดหัดกินยาเบื่อจึงรอดตายมาได้ ขุนจาดสงสัยว่านางจันสีผู้เป็นภรรยาหลวงของตน สมคบกับจันสรพี่ชายของนางทำการครั้งนี้ ขุนจาดจึงจับจันสรและนางจันสีและญาติอื่น ๆ ของจันสรฆ่าเสียสิ้น ส่วนคนในวังทั้งหมดขุนจาดให้ทหารเอาหนังสัตว์คลุมร่างไว้แล้วนำไปทิ้งในป่า และขุนจาดปล่อยสุนัขล่าเนื้อออกไล่กัดคนเหล่านั้จนตายสิ้น ตั้งแต่นั้นมาขุนจาดเกรงว่าผู้ใกล้ชิดจะทำร้ายจนได้อีก ก็มีความระวัง ที่หน้าห้องนอนขุนจาดผูกสุนัขล่าเนื้อไว้คู่หนึ่งเป็นยามเฝ้า และขุนจาดวางดาบไว้ที่หัวเตียงเสมอ ขุนจาดมีบุตรจากนางจันสีคนหนึ่งชื่อเจ้าพล เมื่อขุนจาดฆ่านางันสีนั้น เจ้าพลยังเล็กอยู่ขุนจาดจึงไม่ฆ่า แต่ก็ยังมิให้การเอาใจใส่เหมือนบุตร ส่วนนางเอื้องคำภรรยาอีกคนหนึ่งของขุนจาดมีบุตรชื่อเจ้าพลาย มีนิสัยห้าวหาญคล้ายบิดา ขุนจาดจึงรักและตั้งใจจะให้ครองเมืองแทนต่อไป
เมื่อบุญปันมีหนังสือให้ขุนจาดยกทัพไปช่วยรบลิตงเจีย ขุนจาดปฏิเสธเพราะไม่พอใจที่การปกครองแคว้นลือให้ราษฎรมีอำนาจเกินไปอันจะทำให้ราษฎรในแคว้นเม็งของตนตามอย่างได้และอีกประการหนึ่งขุนจาดพอใจอาศัยจิ๋นเป็นที่พึ่ง คราวนี้เมื่อพนักงานมาแจ้งว่าอุยกิมทูตจิ๋นมาหา ขุนจาดก็มีความยินดีออกไปต้อนรับ อุยกิมกล่าวแก่ขุนจาดว่า " กษัตริย์จิ้นอ๋องนึกถึงไมตรีของสูอยู่ที่มิได้ทำตนเป็นศัตรูของจิ๋น พระองค์จึงให้ข้านำของกำนัลมาให้สู " แล้วอุยกิมมอบทองสามร้อยแท่ง สิงโตทองคำหนึ่งคู่และสุราเก่าร้อยปีให้แก่ขุนจาด ขุนจาดเมื่อรับของกำนัลแล้ว จึงถามอุยกิมว่า " คนเราเมื่อให้ของกำนัลผู้ใดมักจะประสงค์บางอย่างตอบแทน คราวนี้จิ๋นต้องการสิ่งใดตอบแทน " อุยกิมกล่าวว่า " คราวนี้จิ๋นไม่ประสงค์สิ่งใดตอบแทน เราเห็นว่าสูยังนับถือจิ๋นอยู่ เราจึงนำทองมาให้สูเพื่อเอาไว้ใช้ ป้องกันแคว้นเม็งจากการรุกรานของบุญปัน และเพื่อสูจะได้ขยายอำนาจแคว้นเม็งในหมู่ไทด้วยกัน เพราะแคว้นใดไม่ขยายตัว แคว้นนั้นจะสลายตัวไปอยู่ใต้อำนาจแคว้นอื่น "
ขุนจาดกล่าวว่า " เหตุใดจิ๋นจึงมาสนใจว่าแคว้นไทแคว้นใด จะขยายหรือว่าแคว้นใดจะสลายตัว " อุยกิมกล่าวว่า " เราต้องการให้มิตรที่ติดกับชายแดนของเรา เช่น แคว้นเม็งมีอำนาจขึ้น เพื่อว่าศัตรูของเราเช่นแคว้นลือจะได้หมดอำนาจลง แล้วเราจะได้ไม่ต้องเปลืองทหารมาคอยป้องกันชายแดน เพราะเหตุนี้เราจึงพอใจจะเห็นแคว้นสูมีอำนาจ และกษัตริย์ของเราจะได้แต่งตั้งสูเป็นเจ้าปกครองนครฝ่ายใต้แทนพระองค์ต่อไป หากแคว้นลือยังมีอำนาจอยู่ เราจะเสียเงินทองเสียทหารปราบปราบ เหตุนี้เราจึงเอาทองมาให้ทั้งเพื่อประโยชน์ของเราเอง เพื่อประโยชน์ของสู และเพื่อคนไทโดยทั่วไปที่จะไม่ต้องเห็นทหารจิ๋นเข้ามาถล่มแผ่นดินของไทอีก ข้าพูดตามตรงดังนี้เช่นเดียวกับที่สูถามข้ามาโดยไม่อ้อมค้อม สูจะคิดดูเถิดและจงคิดถึงความลำบากในการเดินทางของข้าด้วย "
ขุนจาดจึงนำเครื่องมณีมาให้อุยกิมตามสมควรเพื่อตอบแทนความลำบากของอุยกิม เมื่อทูตจิ๋นไปแล้วขุนจาดกล่าวแก่คำอ้ายที่ปรึกษาว่า " ถ้าจิ๋นไม่เข้มแข็งจริงก็คงไม่กล้าพูดตามตรง ที่จิ๋นให้ทองแก่เราจำนวนมากเช่นนี้นอกจากเราจะเอาไว้จ้างทหารแล้ว เราควรจะใช้ทำประโยชน์ประการใด เพื่อประโยชน์ของคนไทด้วยกัน " คำอ้ายผู้นี้ได้รับทองจากอุยกิมไว้ร้อยตำลึง คำอ้ายจึงกล่าวว่า " บุญปันชนะศึกจิ๋นแล้วคงจะมีใจกำเริบ และจะขยายอำนาจไปในแคว้นต่างๆ เรากับแคว้นลือมีแคว้นยูโรคั่นอยู่ เราควรจะยึดยูโรไว้ในอำนาจเสียก่อน " ขุนจาดถามว่า " สูจะให้ข้ายกทัพไปยึดยูโรหรือ " คำอ้ายว่า " ข้ามีอุบายอยู่สองประการที่จะนำแคว้นยูโรมาให้สูโดยไม่ต้องยกทัพเข้าไป จงลองอุบายแรกก่อน ท้าวเกิดเจ้าเมืองมีบุตรคนเดียวและเป็นบุตรหญิง ชื่อนางยมโดยดังที่สูรู้อยู่แล้ว หากสูได้นางเป็นภรรยาก็เสมือนสูได้แคว้นยูโร จงเขียนหนังสือไปสู่ขอนางเถิด หากอุบายนี้ไม่สำเร็จ ข้ายังมีอุบายอีกต่อไป เพราะเรามีทองพอที่จะใช้ทำงานได้ " ขุนจาดเห็นด้วย จึงเขียนหนังสือถึงท้าวเกิดเป็นความว่า " ข้าขุนจาดเจ้าเมืองเม็งขออวยพรมายังท้าวเกิดเจ้าเมืองยูโร ด้วยว่ายูโรกับเม็งนั้นอยู่ใกล้กันเสมือนนิ้วมือ จึงควรที่สองเมืองนี้จะใกล้ชิดกันด้วยน้ำใจเสียด้วย เมื่อนางจันสีตายแล้วข้าเหลือภรรยาแค่คนเดียว คือนางเอื้องคำ ข้าปรารถนาจะให้ครอบครัวของข้ากว้างขวางยิ่งขึ้น จึงใคร่จะขอนางยมโดมมาเป็นภรรยา ถ้าสูเห็นแก่ไมตรีระหว่างเมืองเราทั้งสองสูคงจะไม่ขัด ข้าจะให้คำอ้ายนำขบวนมารับนาง มาทำการวิวาห์ที่เมืองเม็งในสิบห้าวันข้างหน้า " แล้วขุนจาดให้ทหารถือหนังสือไปยังแคว้นยูโร


๒...
เมื่อทัพจิ๋นแตกไปแล้ว กุมภวาก็นำทัพกลับเมืองลือ และเมื่อบุญปันหายเป็นปกติแล้ว บุญปันกล่าวแก่กุมภวาว่า " สูทำศึกชนะจิ๋น จงถืออาญาทัพต่อไปเถิด และการภายนอกทั้งปวงของเรานั้นมีความสำคัญที่สุดแก่ชีวิตของแคว้นเรา ขอให้สูจัดการแทนข้า ส่วนข้าจะดูแลการภายในให้ราษฎรเป็นสุขสืบไป " กุมภวาก็รับจะช่วยเพื่อนตน แล้วเขากล่าวว่า " เกี่ยวกับการภายนอกของเมืองเรานั้นอันตรายที่ร้ายแรงจะมีจากจิ๋น จิ๋นถือว่าตนมีกำลัง และแคว้นไทเป็นแคว้นเล็กและยังแบ่งแยกกันปกครองอีก มิได้รวมกัน จิ๋นเสมือนกระแสน้ำที่พัดพาสิ่งเล็กต่างๆ ให้พ่ายแก่กำลังของตน แต่ถ้าสิ่งเล็กน้อยนั้นได้ยึดกันไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง สิ่งเล็กชิ้นอื่นๆ ก็จะเข้ามารวมด้วย แต่ละส่วนจะช่วยเสริมกำลังให้แก่กัน และจะรวมเป็นก้อนใหญ่ต้านทานมิให้ถูกกระแสน้ำพัดไปได้ แคว้นไทเราก็เช่นเดียวกัน แม้เราจะขับไล่ทัพของลิตงเจียไปได้ แต่จิ๋นจะดูหมิ่นกำลังของไทเราเรื่อยไป เพราะเราขาดการพร้อมใจกัน บัดนี้ไทเชียงแสกับไทลือได้รวมกันแล้วเสมือนสิ่งเล็กเริ่มเกาะกันต้านทานกระแสน้ำ เราจะต้องให้แคว้นไทอื่นๆ มารวมกับเราอีก จะด้วยการพิทักษ์ภัยให้แคว้นนั้นๆ หรือด้วยการมีน้ำใจอย่างเดียวกันของแคว้นนั้นก็ตาม และสำหรับเมืองใดที่ผู้ปกครองกดขี่ราษฎร เช่น เมืองเม็ง เราจะต้องหาโอกาสช่วยชาวเมืองให้พ้นจากการกดขี่ เพื่อว่าคนไทจะมีจิตใจร่วมกันในการต่อสู้เพื่อความเป็นไท หากว่าในการปกครองระหว่างคนไทกันเองยังมีการแบ่งแยกและกดขี่กัน น้ำใจที่จะต่อต้านอำนาจมิชอบจากภายนอกจะมีได้อย่างไร ข้ามีความคิดเช่นนี้ สูจะเห็นสมควรประการใด "
บุญปันกล่าวว่า " สูจงดำเนินการไปตามความคิดนั้นเถิด เพื่อไทจะมีกำลังสู้จิ๋นได้ สำหรับขุนจาดเจ้าเมืองเม็งนั้น ข้าไม่พอใจอยู่ เพราะกดคนในปกครองให้เป็นทาส " จากนั้นมาบุญปันก็เอาใจใส่อยู่กับการให้ราษฎรพอใจการทำงานของฝ่ายปกครอง คนไทที่ถูกลิตงเจียส่งไปทำเหมือง บุญปันก็ปล่อยหมดสิ้นและเอาทหารจิ๋นที่จับได้ไปทำแทน เชลยจิ๋นที่เหลือก็คุมขังไว้ และบุญปันมีหนังสือไปยังกษัตริย์จิ้นอ๋องเป็นความว่า ฝ่ายไทจะคืนเชลยจิ๋นให้ หากว่าฝ่ายจิ๋นนำคนไทที่ถูกกวาดต้อนไปขายในเมืองจิ๋นมาคืนให้แก่แคว้นลือ ครอบครัวของทหารจิ๋นที่ถูกจับเมื่อทราบดังนั้น ก็พยายามไถ่คนไทและนำมามอบแก่ฝ่ายบ้านเมืองของจิ๋น แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องให้ส่งคนไทเหล่านั้นมาให้บุญปัน บุญปันก็คืนเชลยจิ๋นให้แก่ฝ่ายจิ๋นไป คนไทที่ถูกกวาดต้อนไปแดนจิ๋นทุกคนไม่คิดว่าตนจะกลับมามีอิสระในแดนไทได้อีก และบัดนี้เขาได้กลับมาอยู่ในหมู่เพื่อนและญาติที่เป็นไทด้วยกัน
ต่อมาลำพูนแต่งงานกับนางบุญฉวี แล้วได้รับเลือกให้เป็นเจ้าเมืองเชียงแส และชาวเชียงแสพอใจในการปกครองของลำพูน เย็นวันหนึ่งกุุมภวาไปยังกุฉินและกล่าวว่า " บัดนี้ลำพูน สหายของสูมีภรรยาไปแล้ว เมื่อใดสูจะมีบ้าง " กุฉินตอบว่า " ข้ายังไม่สนใจหญิงใดเลย และยังไม่มีหญิงใดสนใจข้า " กุมภวากล่าวว่า " นางยมโดย บุตรสาวท้าวเกิดเจ้าเมืองยูโรเป็นหญิงที่น่ารักอยู่ สูจะไม่สนใจหรือ " กุฉินหัวเราะและกล่าวว่า " กุมมภวา เจ้าเมืองยูโรไฉน จะยอมยกลูกสาวให้คนขัดสนทุกอย่างเช่นข้า " กุมภวากล่าวว่า " ข้าจะส่งสูเป็นทูตไปประสานไมตรีกับแคว้นยูโร แล้วสูอาจจะไม่ได้กลับมา แต่จะอยู่ต่อไปในเมืองยูโรนั้นอย่างบุตรเขยของท้าวเกิด " กุฉินถามว่า " เหตุใดจึงจะเป็นดังนั้น " กุมภวากล่าวว่า " คนสอดแนมแจ้งมาว่า ขุนจาดเจ้าเมืองเม็งประสงค์จะได้แคว้นยูโรไว้ใต้อำนาจ จึงส่งคนไปสู่ขอนางยมโดย แต่หญิงเช่นนางยมโดยคงไม่สมัครใจ เพราะขุนจาดมีภรรยาแล้วและมีใครเล่าที่จะไม่รู้ว่าขุดจาดเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป แต่ท้าวเกิดเกรงอำนาจของขุนจาดอยู่จึงคงไม่อาจขัดได้ แคว้นลือจะต้องขัดขวางไว้ เพราะว่าขุนจาดได้ทองจากเมืองจิ๋นไว้เพื่อจ้างทหารสำหรับทำลายแคว้นไทด้วยกัน และสำหรับกดขี่คนในปกครองแคว้นลืออยากจะเป็นไมตรีกับแคว้นไททั่วไป แต่คนเช่นขุนจาดเราไม่อาจเป็นไมตรีด้วยได้ ข้าจึงอยากให้สูเป็นทูตไปเจริญไมตรีกับแคว้นยูโร เพื่อยับยั้งการแผ่อำนาจของขุนจาด และหากสูกับนางยมโดยพอใจกันก็จงอยู่ที่แคว้นยูโรนั้นเถิด เพื่อเป็นกำลังช่วยพวกไทด้วยกันเมื่อมีศัตรูภายนอก "
กุฉินกล่าวว่า " เมื่อสูจะให้ข้าไปทำงานครั้งนี้ ข้าจะพยายาม " แล้วกุฉินก็เดินทางไปยังแคว้นยูโร ที่แคว้นยูโร ท้าวเกิดเมื่อทราบว่าแคว้นลือส่งทูตมา ก็ออกต้อนรับ กุฉินกล่าวแก่ท้าวเกิดว่า " ข้าชื่อ กุฉิน บัดนี้ดินแดนต่างๆ ของไทเป็นอิสระแล้ว แคว้นลือจึงส่งข้ามาประสานไมตรีกับแคว้นยูโร เพื่อว่าเมื่อมีภัยมาคุกคามแคว้นไทอีก แคว้นอื่นจะได้ช่วยเหลือ " ท้าวเกิดเมื่อรู้ว่าทูตนั้นคือ กุฉินก็พอใจ และกล่าวว่า " สูหรือที่หลบธนูของลิตงเจียได้ในจำนวนร้อยคน " กุฉินกล่าวว่า " เพียงหลบธนูได้นั้นจะถือว่าข้ามีฝีมือหาได้ไม่ บางทีคนยิงอาจจะยิงพลาดก็เป็นได้ " ท้าวเกิดได้ฟังกุฉินพูดเช่นนั้น ก็พอใจยิ่งขึ้นและกล่าวว่า " แต่สูเป็นคนจับลิตงเจียได้ "
กุฉินกล่าวว่า " ที่ข้าจับลิตงเจียได้นั้น เพราะว่าเทพยดาลงโทษลิตงเจีย เมื่อลิตงเจียเงื้อดาบจะฟันกุมภวา บังเอิญกะโหลกศีรษะของคนที่ตายไปในทุ่งลาดขวัญเมื่อยี่สิบปีก่อนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ม้าของลิตงเจียตกใจ ข้าฟันบังเหียนม้าลิตงเจียขาดและจับลิตงเจียได้ ในเมืองลือนั้นคนมีฝืมือยังมีอีกมาก ข้าจะมีฝีมือเหนือผู้อื่นก็หาไม่ อนึ่งเล่า ที่เมืองลือเรานับถือคนมีน้ำใจยิ่งกว่าคนมีฝีมือและมีกำลัง เพราะว่ากำลังและฝีมือนั้น ในหมู่สัตว์มีได้ยิ่งกว่าคน แคว้นลือส่งข้าเป็นทูตมาประสานไมตรีกับยูโรด้วยปรารถนาจะให้สองแคว้นนี้มีน้ำใจดีต่อกัน มิให้เบียดเบียนกันด้วยกำลัง " ท้าวเกิดต้อนรับกุฉินเป็นอันดี และในเย็นวันนั้นท้าวเกิดกินอาหารร่วมกับทูตของแคว้นไทลือ ระหว่างการเลี้ยงกุฉินกล่าวว่า " ข้าได้ข่าวว่าแคว้นยูโรกำลังผูกมิตรกับแคว้นเม็งอยู่และนางยมโดยจะไปเป็นภรรยาของขุนจาด ข้ายินดีนักหากว่าเป็นตามที่ได้ยินมา เพราะว่านางจะได้นำไมตรีของแคว้นลือไปยังแคว้นเม็งด้วย ของให้ข้าได้พบกับนางบ้างเถิด เพื่อว่าในภายหลังเมื่อนางไปอยู่ที่เมืองเม็งแล้ว นางจะมีไมตรีแก่ชาวลือบ้าง "
ท้าวเกิดให้บ่าวไปเชิญนางยมโดยออกมา กุฉินมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วอุทานขึ้นว่า " ข้าได้มาและได้เห็นนางแล้ว ขอให้ข้าได้สวมกำไลมรกตแก่นางเถิด กำไลนี้เมืองลือนำมาเป็นกำนัลแก่นาง " แล้วกุฉินจับมือนางยมโดยมาสวมกำไลให้ นางยมโดยถูกจับมือก็คิดอยู่ในใจว่า " ชายผู้นี้ทำการห้าวหาญนัก มาเป็นทูตเจรจาความเมือง หรือมุ่งหมายเกินการนั้น " และเมื่อนางพิเคราะห์กุฉินแล้วก็พอใจอยู่ เมื่อกุฉินบรรจงสวมกำไลให้นางยมโดยเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวว่า " เป็นบุญของขุนจาดนัก ที่จะได้นางแห่งยูโรเป็นคู่ " ท้าวเกิดกับนางยมโดยก็ถอนใจและก้มหน้าอยู่ กุฉินจึงกล่าวว่า " พ่อลูกก้มหน้าเสมือนมีความทุกข์อยู่ในใจ " ท้าวเกิดกล่าวว่า " เราไม่สบายใจในวิธีผูกไมตรีของขุนจาดคนๆ นี้ต้องการเป็นายเหนือแคว้นยูโรด้วยการแต่งงาน และนางยมโดยมิได้มีใจต่อขุนจาด แต่ยูโรเป็นแคว้นเล็ก ข้าเองก็ชราแล้วส่วนแคว้นเม็งมีกำลังมาก อีกเจ็ดวันทูตของเม็งจะมารับนางไปข้ามิรู้จะบอกปัดได้อย่างไร เพราะเกรงอำนาจของแคว้นเม็ง เราพ่อลูกจึงถอนใจและเป็นทุกข์อยู่ "
กุฉินกล่าวว่า " หากนางยมโดยไม่พอใจจะไปอยู่กับขุนจาดสูก็มิควรจะขืนใจ ที่สูเกรงว่าทัพแคว้นเม็งจะยกมารุกรานนั้นอย่าได้วิตก ข้าจะช่วย " นางยมโดยจึงกล่าววว่า " สูคนเดียวจะช่วยยูโรได้อย่างไร " กุฉิน " แคว้นลือส่งข้ามาเป็นทูตผูกไมตรีกับยูโร ก็เพื่อแคว้นทั้งสองจะช่วยกันในยามทุกข์ บัดนี้ยูโรทุกข์แล้ว แคว้นลือจะอยู่เฉยได้หรือ " นางยมโดยพอใจกุฉินอยู่แล้ว ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจและกล่าวว่า " ขุนจาดเป็นคนโหดร้ายข้าหาพอใจไม่ หากสูจะช่วยให้ข้าพ้นอำนาจโหดของแคว้นเม็งได้ ข้าจะมิลืมสู " แล้วนางยมโดยรินสุราให้แก่กุฉิน กุฉินสัมผัสมือนางอีก นางก็รู้ว่ากุฉินมายังแคว้นยูโรมิใช่เพื่อความเมืองเท่านั้น แต่เพื่อหาภรรยาด้วย นางก็พอใจแล้วนางกล่าวว่า " อีกเจ็ดวันทูตของแคว้นเม็งจะมาถึง ขอให้สูพักอยู่ที่นี่ก่อนเพื่อช่วยเจรจากับทูตเม็ง " จากนั้นกุฉินกับนางยมโดยพบปะกันเสมอ กุฉินอยู่ในแคว้นยูโรได้เจ็ดวัน คำอ้ายทูตจากเม็งก็มาถึงท้าวเกิดชวนกุฉินออกต้อนรับคำอ้ายที่โรงประชุม คำอ้ายก็บอกว่า " บัดนี้ขุนจาดให้ข้านำขบวนมารับนางยมโดยไปวิวาห์เพื่อแคว้นเราทั้งสองจะเป็นไมตรีกันต่อไป "
ท้าวเกิดตอบว่า " ข้าพอใจที่แคว้นเม็งมีไมตรีต่อข้า แต่นางยมโดยไม่พอใจที่จะยอมตนเป็นสื่อไมตรีระหว่างแคว้นเราทั้งสอง แคว้นเม็งกับยูโรจะมีไมตรีต่อกันโดยไม่ต้องอาศัยการแต่งงานมิได้หรือ ข้าไม่อาจบังคับนางได้ " คำอ้ายกระแทกด้ามหอกลงกับพื้นและกล่าวว่า " ขุนจาดถ่อมตนมารับบุตรของสูเป็นภรรยานับว่าขุนจาดมีเมตตาอยู่แคว้นยูโรนี้เล็กนักข้าพุ่งหอกไปก็จะพ้นชายแดน สูบังคับบุตรไม่ได้ต้องการจะให้เราให้กำลังหรือ " กุฉินซึ่งยืนอยู่ข้างท้าวเกิดเอ่ยขึ้นว่า " คนไทถูกกดขี่มามากแล้วด้วยอำนาจของต่างด้าว เหตุใดเราจะมาบังคับกันเองเล่า " คำอ้ายกล่าวว่า " ผู้มีกำลังมากย่อมจะต้องใช้กำลังเมื่อถูกขัดขวาง เราทำไปตามกฎของโลก จะมีสิ่งใดน่าตำหนิหรือ " กุฉินกล่าวว่า " การใช้กำลังต่อกันนั้น เป็นวิสัยของสัตว์ทั่วไป มนุษย์จะควรเอามาเป็นเยี่ยงอย่างหรือ แคว้นยูโรเล็กอยู่แล้ว จะเป็นภัยแก่แคว้นเม็งก็หาไม่ เหตุใดสูจึงจะใช้กำลังแก่ยูโรที่สูว่าจะพุ่งหอกพ้นชายแดนนั้น ให้ข้าลองกำลังหอกของชาวเม็งดูก่อน " แล้วกุฉินหยิบหอกของคำอ้ายมาและพุ่งหอกนั้นไปที่สนามข้างหน้า หอกของคำอ้ายจมมิดไปหมดด้าม แล้วกุฉินกล่าวแก่คำอ้ายว่า " ขุนจาดมาหาไมตรีด้วยดาบ ข้าไม่นิยมวิธีเช่นนี้ ข้าคือกุฉินมาจากแคว้นลือ เราจะช่วยยูโรในยามทุกข์ หากขุนจาดมาด้วยดาบเราจะพบขุนจาดด้วยดาบกับหอก หากขุนจาดมาด้วยดาบเราจะพบขุนจาดด้วยไมตรีและความนับถือ สูจงไปเก็บหอกของเมืองเม็งกลับไปเถิด "
คำอ้ายก็ตัวสั่นและออกมาค้นหาหอกของตนที่สนาม เพื่อจะกลับไปแต่ก็ไม่พบ ชาวเม็งที่มาด้วยช่วยกันค้นแต่ก็ไม่พบคณะทูตเม็งมีความอายก็รีบเดินทางกลับ ต่อมากุฉินก็สู่ขอนางยมโดย ท้าวเกิดจึงกล่าวแก่กุฉินว่า " ข้าเข้าใจว่านางยมโดยพอใจสูอยู่ ข้ายินดียกให้ แต่ขอให้สูอยู่ที่แคว้นยูโรนี้เถิด เพื่อดูแลทุกข์สุขของราษฎรแทนข้าเพราะข้าชราแล้ว " กุฉินกล่าวว่า " ข้ารักนางยมโดยอยู่ ที่สูจะให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่ขัดข้องประการใด " นางยมโดยก็วิวาห์กับกุฉิน แล้วกุฉินมีหนังสือแจ้งไปยังกุมภวาว่า " บัดนี้ข้าวิวาห์กับนางยมโดยแล้ว และจะอยู่ยังแคว้นยูโรต่อไป หากมีอันตรายมาจากแคว้นเม็ง เมื่อเหลือกำลังของยูโรเอง ข้าจะแจ้งมา "
๓...
เมื่อคำอ้ายถึงเมืองเม็งแล้วก็เข้าไปหาขุนจาด ขุนจาดกำลังคอยที่จะได้นางยมโดยอยู่ก็ถามคำอ้ายว่า " นางยมโดยอยู่ที่ไหน " คำอ้ายกล่าวว่า " นางยมโดยมิได้มาด้วย " แล้วคำอ้ายก็เล่าเรื่องให้ขุนจาดฟัง ขุนจาดโกรธยิ่งนักและกล่าวว่า " ผู้ใดตีแคว้นยูโรให้ข้าได้ ข้าจะให้ครองยูโรแทนท้าวเกิด" หลายคนอาสา แต่เจ้าพลบุตรคนใหญ่ของขุนจาดที่เกิดด้วยนางจันสีกล่าวขึ้นว่า " ภายในบ้านเมืองของเราเวลานี้มีเสียงตำหนิการปกครองของเราอยู่มาก หากเราจะไปรบกับแคว้นอื่นก็ควรจะรักษาน้ำใจชาวเมืองให้ดีไว้ก่อน " ขุนจาดได้ฟังเช่นนั้น ความโกรธที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นจนหน้าเขียวและตวาดว่า " ลูกนางทรยศ สูคิดว่าข้ากดขี่ราษฎร หรือราษฏรนั้นจะไม่พอใจการปกครองอยู่ตลอดเวลาและเป็นเหมือนหนังกระบือแห้ง ถ้าปล่อยไว้จะเรียบไม่ได้ จะเรียบได้ต่อเมื่อถูกกดไว้ด้วยกำลัง หากสูตำหนิข้าอีกครั้ง ปากของสูจะถูกปิดตลอดไป " เจ้าพลตกใจจนเหงื่อท่วมตัวและจำต้องนิ่ง
เมื่อความโกรธของขุนจาดสงบลงแล้ว คำอ้ายก็กล่าวขึ้นว่า " พ่อเมืองลืมคำพูดของข้าเสียแล้ว ข้าเคยกล่าวไว้ว่า เมื่ออุบายอันแรกไม่สำเร็จ ข้ายังมีอุบายประการที่สองอยู่อีก โดยใช้ทองจากจิ๋นทำงานให้ " ขุนจาดถามว่า " สูมีอุบายอย่างไร " คำอ้ายกล่าวว่า " แคว้นข่านุปีนี้ทำนาไม่ได้ ชาวเมืองอยู่ว่าง และคำสินเจ้าเมืองเก็บอาการไม่ได้ สูจงส่งทองไปจ้างให้คำสินเกณฑ์คนไปรบแคว้นยูโร เมื่อคู่ศึกอ่อนกำลังลง เราจะได้ยึดเสียทั้งสองแคว้น " ขุดจาดเห็นด้วย และให้คำอ้ายนำทองคำที่จิ๋นส่งมาให้สาบสิบแท่งไปยังเมืองข่านุ คำสินกำลังยากจนอยู่เพราะเก็บอากรไม่ได้ เมื่อได้ทองคำสามสิบแท่งก็พอใจ และรับรองกับคำอ้ายว่าจะหาเหตุบุกรุกเข้าในแคว้นยูโรให้ได้ แล้วคำสินให้ของตนไปจ้างชาวข่านุที่อยู่ติดกับชายแดนให้ลอบเข้าไปปล้นบ้านเรือนของยูโร กุฉินรู้ข่าวว่าชายแดนถูกปล้น จึงนำคนไปไล่ฆ่าฟันชาวข่านุตายไปหลายคน คำสินทราบดังนั้นก็ประกาศแก่ชาวข่านุทั้งปวงว่า " กุฉินนำชาวยูโรมาบุกรุกแคว้นของเรา และฆ่าฟันชาวข่านุตายเป็นอันมาก จงจับอาวุธขึ้นแก้แค้นเถิด "
แล้วคำสินเกณฑ์คนสามพันเตรียมยกเข้าไปในแคว้นยูโร นางสร้อยสนผู้เป็นน้องเห็นพี่ชายจะไปศึก จึงกล่าวว่า " ขอให้ข้าตามไปด้วย " คำสินหัวเราะและกล่าวว่า " ข้าเห็นสูกำลังทอผ้ายกใหม่อยู่ เรามาแข่งกันเถิดว่า สูจะทอผ้าเสร็จก่อนหรือว่าข้าจะชนะศึกก่อน " แล้วคำสินก็เดินทัพมุ่งตรงไปยังเมืองยูโร ฝ่ายกุฉินเมื่อทราบข่าวศึกก็เกณฑ์ชาวยูโรโดยด่วน เมื่อได้คนพันห้าร้อยก็รีบยกไปยันทัพของคำสินไว้ กุฉินเห็นคำสินยืนอยู่หน้าทัพจึงร้องถามไปว่า " ยูโรกับข่านุเคยอยู่กันมาอย่างเพื่อนบ้านที่ดี เหตุใดสูจึงนำทัพมารุกรานกัน " คำสินมิรู้จะตอบประการใดจึงกล่าวว่า " ข้าได้ยินว่าสูมีฝีมือจึงอยากจะมาดูให้เห็นเท็จจริง เราทั้งสองมาต่อสู้กันตัวต่อตัวเถิด " แล้วคำสินชักดาบออกตรงเข้ารบกับกุฉิน ทั้งสองคนต่อสู้กันได้พักใหญ่ มิได้เพลี่ยงพล้ำกัน คำสินจึงถอยออกมาและโบกมือให้ทหารของตนเข้ารบกับชาวยูโร ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่นาน กุฉินเห็นว่าฝ่ายตนมีจำนวนน้อยกว่า เกรงจะเสียทีจึงถอยทัพกลับเข้าค่าย
รุ่งขึ้นคำสินนำทหารออกท้ารบอีก กุฉินก็นำทหารออกจากค่าย เมื่อทัพทั้งสองเข้าใกล้กัน กุฉินร้องบอกคำสินว่า " เมื่อวานเรารบกันด้วยดาบ วันนี้สูจะไม่ลองกับข้าด้วยทวนบ้างหรือ " คำสิน บอกว่า " ข้ามาคนมากกว่า สูจึงอยากจะสู้กับข้าตัวต่อตัว สูลวงข้าไม่ได้ แต่ข้าจะรับคำท้า " คำสินก็ให้ทหารนำทวนมาให้ตน แล้วทั้งสองเข้ารับกันครู่หนึ่งกุฉินผละออกมา และกล่าวแก่คำสินว่า " สูได้เห็นแล้วว่า เราสองคนฝีมือทัดเทียมกัน เราจะรบกันไปทำไม่ " คำสินไม่ตอบประการใด แต่กลับตรงเข้าฟาดฟันกุฉินต่อไป ทั้งสองคนต่อสู้กันต่อไปอีก และหยุดพักไปบ้างเป็นคราว ๆ ทหารทั้งสองฝ่ายโห่ร้องให้แก่แม่ทัพของตน อีกพักใหญ่กุฉินปักทวนลงกับพื้นดิน คำสินเห็นเช่นนั้นก็ถอยออกมา กุฉินจึงกล่าวว่า " ทหารของเราต่างได้ดูเราสู้กันนานแล้วคงจะเบื่อ พรุ่งนี้เรามาสู้กันด้วยดาบสองมือเถิด บางทีข้าจะได้ศีรษะของสูไปทำถ้วยสุราเพื่อคิดถึงฝีมือของสู "
คำสินหัวเราะและกล่าวว่า " ข้ารู้ว่าสูต้องการหน่วงศึกไว้ แต่ข้าจะยอมตาม ถ้าสูไม่ออกมาพรุ่งนี้ ข้าจะโจมตีค่ายของสู " แล้วทัพทั้งสองก็กลับเข้าค่าย เมื่อถึงค่ายแล้วทหารชาวยูโรทั้งปวงร้องแก่กุฉินว่า " สูไม่ควรจะเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเกินไป พรุ่งนี้ให้พวกเราได้รบกับชาวข่านุบ้าง " กุฉินกล่าวว่า " ทหารข่านุมากกว่าฝ่ายเรา และเป็นทหารมีฝีมือ คำสินกล้าตัดสินการศึกโดยมาสู้กับข้าตัวต่อตัว เพราะเขาละอายอยู่ในใจที่มารุกรานเรา เขาให้โอกาสเราเช่นนี้แล้วข้าควรจะหนีเขาหรือ " เมื่อคำสินเข้าค่ายแล้วทหารก็เข้ามาหา และกล่าวว่า " พรุ่งนี้สูอย่าได้รบกับกุฉินตัวต่อตัวเลย ฝ่ายเรามีจำนวนมากกว่า วันแรกเราก็เกือบจะตีทัพยูโรแตกไปแล้ว พรุ่งนี้จงให้พวกข้าสู้กับพวกยูโรเถิด " คำสินกล่าวว่า " ข้ารับคำกับกุฉินแล้วว่าพรุ่งนี้จะสู้กันด้วยดาบสองมือ ข้าจะไม่ยอมเสียคำพูด พรุ่งนี้ให้ข้าได้ลองฝีมือกับกุฉินอีกครั้ง แล้วค่อยคิดการกันต่อไป "
ครั้นรุ่งขึ้น คำสินนำทหารสามร้อยคนออกมานอกค่ายเห็นกุฉินถือดาบคอยอยู่แล้ว ทั้งสองเข้าต่อสู้กันครู่หนึ่ง กุฉินตีดาบของคำสินเล่มหนึ่งตกจากมือ คำสินเห็นตนจะเสียทีจึงถอยออกมา กุฉินมิได้ติดตาม แล้วทั้งสองฝ่ายก็นำทหารกลับเข้าค่าย เมื่อคำสินเข้าไปในค่ายได้เห็นน้องสาวของตนออกมาต้อนรับ คำสินจึงกล่าวว่า " ที่นี้ไม่เหมาะแก่หญิง สูกลับไปเสียเถิด " นางสร้อยสนกล่าวว่า " ผ้ายกใหม่ของข้าเสร็จแล้ว แต่การศึกของสูยังไม่เสร็จ ข้าจึงมาเยี่ยมและจะกลับต่อเมื่อเราชนะศึกแล้ว " คำสินหัวเราะและกล่าวว่า " กุฉินแม่ทัพยูโรผู้นี้มีฝีมือยิ่งนัก ข้าจึงได้ช้าไป ข้าสู้กับกุฉินมาสามวันแล้วยังเอาชนะไม่ได้ พรุ่งนี้ทหารของเราจะออกประจัญบาน เพราะฝ่ายเรามีจำนวนมากกว่า ศึกคงเสร็จในไม่ช้า สูจงกลับไปทอผ้ายกใหม่เถิด " นางสร้อยสนกล่าวว่า " ก่อนข้าจะกลับ ข้าขอดูตัวกุฉินเสียก่อน " คำสินกล่าวว่า " กุฉินเป็นลูกเขยท้าวเกิด พรุ่งนี้สูจงไปดูเอาเถิดว่ามีฝีมือเพียงใด "
รุ่งขึ้นนางสร้อยสนขี่ม้าออกไปกับพี่ชาย เมื่อทัพของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน นางสร้อยสนถามคำสินว่า " คนไหนคือกุฉิน ที่สูว่ามีฝีมือนัก " คำสินชี้ดาบของเขาไปยังกุฉินที่ยืนอยู่หน้าทัพยูโร นางสร้อยสนก็ขี่ม้าตระเวณไปรอบทัพของพี่ชาย ทหารข่านุเห็นนางขับม้าน่าดูและนางมีความงามยิ่งนัก ทหารก็โห่ร้องด้วยความพอใจแล้วนางสร้อยสนประกาศขึ้นว่า " ข้าเป็นน้องสาวของคำสิน ไม่มีหญิงใดทอผ้าได้เร็วเท่าข้า ผู้ใดต้องการจะได้ข้าไว้ทอผ้า จงเอาศีรษะกุฉินมาให้ข้า " ทหารข่านุก็โห่ร้องและตรงไปยังกุฉิน ฝ่ายยูโรต้านทานเต็มที่แต่ไม่อาจสู้กำลังของฝ่ายข่านุได้ และกุฉินจะไปทางใดทหารข่านุก็ตามไปทางนั้น กุฉินเห็นเหลือกำลัง จึงถอยทหารกลับเข้าค่าย รุ่งขึ้นกุฉินนำทหารออกรบอีก แต่ไม่อาจต้านทานฝ่ายข่านุได้ เป็นดังนี้อยู่สามวันกุฉินจึงปิดประตูค่ายไว้ ฝ่ายคำสินกับนางสร้อยสนนั้นทหารออกท้าทุกวัน แต่กุฉินไม่นำคนของตนออกมา


๔...
อีกสี่วันต่อมาเวลาค่ำ ทหารนำชายผู้หนึ่งมายังกุฉิน กุฉินเห็นเป็นสีเภาก็ดีใจและถามว่า " กุมภวาส่งสูมาช่วยข้าหรือ "สีเภาถามว่า " เหตุใดสูไม่นำทหารออกรบ " กุฉินตอบว่า " นางสร้อยสนน้องของคำสินประกาศว่า ถ้าใครตัดศีรษะข้าได้นางจะยอมเป็นภรรยาผู้นั้น ทหารข่านุทุกคนก็โห่ร้องว่า "กุฉิน กุฉิน " และรุมกันจะเอาศีรษะข้าให้ได้ ข้ามีคนน้อยกว่า ต้านไม่ไหว จึงไม่ออกรบ " สีเภากล่าวว่า " กุมภวาส่งข้ามาพร้อมด้วยทหารห้าร้อย พรุ่งนี้สูจงออกรบเถิดและประกาศว่าถ้าใครตัดศีรษะคำสินได้ จะยกนางสร้อยสนให้เป็นภรรยา " แล้วสีเภาก็กลับไปยังคนของตน
รุ่งขึ้น กุฉินเห็นคำสินกับนางสร้อยสนนำทหารออกมาอีก กุฉินก็นำทหารออกไป เมื่อทัพทั้งสองเข้าใกล้กันกุฉินชี้ดาบไปทางนางสร้อยสนแล้วร้องประกาศว่า " นางข่านุผู้เก่งกล้านัก ผู้ใดตัดศีรษะคำสินมาได้ ผู้นั้นจะได้นางเป็นภรรยา " ทหารยูโรได้ฟังดังนั้นก็โห่ร้องเข้าประจัญบานกับทหารข่านุ ฝ่ายข่านุรู้สึกว่าคราวนี้ทหารยูโรฟาดฟันมาหนักกว่าแต่ก่อน ทันใดนั้นสีเภาก็ยกทหารออกมาจากหลังเขา เข้าขนาบทัพของคำสิน คำสินเห็นจะสู้มิได้ก็ขับม้าหนี ทหารข่านุที่หนีไม่ทันก็วางอาวุธยอมให้จับโดยดี ส่วนนางสร้อยสนนั้นควบม้าหนีไป สีเภาขับม้าตามและรวบตัวไว้ได้ และนำกลับมามอบให้กุฉิน กุฉินก็ต้อนรับนางเป็นอันดี แล้วรุ่งขึ้น กุฉินกล่าวแก่นางสร้อยสนว่า " เมื่อวานชาวข่านุถูกจับเป็นเชลยสามร้อยคน ขอให้สูนำกลับไป เพราะข่านุกลับยูโรไม่มีสาเหตุที่จะต้องมาวิวาทกัน "
แล้วกุฉินนำเชลยทั้งหมดมามอบให้นางสร้อยสน นางสร้อยสนก็พาชาวข่านุนั้นกลับค่ายฝ่านตน เย็นวันนั้นคำสินกับนางสร้อยสนมายังค่ายของยูโร และคำสินกล่าวกับกุฉินว่า " ดาบของสูนั้นข้าพอจะสู้ได้ แต่ข้าจะยอมแพ้ ที่ข้ายกทัพมายูโรครั้งนี้ เพราะขุนจาดเอาทองจ้างข้า ชาวข่านุกำลังว่างเพราะทำนาไม่ได้ ข้าจึงทำตามคำของขุนจาด บัดนี้ข้าเห็นแล้วว่า เราเป็นมิตรกันจะดีกว่าเป็นศัตรูกัน ข้าจะถอนคนของข้ากลับไป ขอสูอย่าได้ถือโกรธในสิ่งที่แล้วมา " กุฉินกล่าวว่า " ข้ามิได้ถือโกรธจึงได้คือคนให้ และหากว่าแคว้นข่านุต้องอดอยาก แคว้นลือจะส่งเสบียงมาให้ เป็นการช่วยกันอย่างเพื่อนบ้าน และถ้าจิ๋นยกทัพมารุกรานแผ่นดินไทอีกขอให้เราช่วยกัน " คำสินก็รับคำและกล่าวอำลากุฉินและสีเภา สีเภาจึงกล่าวแก่คำสินว่า " เมื่อวานนี้ข้าจับเชลยหญิงได้และข้าพอใจนาง สูจะคืนให้ข้าได้ไหม " คำสินหันมาทางนางสร้อยสน เห็นนางยิ้มอยู่ คำสินจึงกล่าวแก่สีเภาว่า " เชลยคนนี้ทอผ้าได้เร็วไม่มีใครสู้ และมีปัญญาไวพอสมควร ทำให้กุฉินลำบากอยู่หลายวัน ถ้าสูยังไม่มีภรรยาก็จงรับไว้เถิด เป็นธรรมดาผู้แพ้ต้องตามใจผู้ชนะ"
กุฉินนำทหารกลับแคว้นยูโร แล้วให้รางวัลทหารตามสมควร และสีเภานำนางสร้อยสนกลับมายังแคว้นลือ พร้อมกับทหารของตน เมื่อกุมภวาได้ทราบว่าสีเภากลับมาแล้ว จึงออกไปรับพร้อมกับธงผาและจันเสน สีเภาจึงกล่าวแก่กุมภวาว่า " ขุนจาด เจ้าเมืองเม็ง กลายเป็นเครื่องมือของจิ๋นมาทำลายไทด้วยกัน เหตุใดสูจึงเฉยอยู่ไม่ยกทัพไปยึดเมืองเม็งเสียเล่า " กุมภวากล่าวว่า " เครื่องมือนั้นไม่ร้ายเหมือนผู้ถือเครื่องมือ และถึงแม้ขุนจาดจะโหดร้าย แต่เมืองเม็งมิใช่ของขุนจาดแต่ผู้เดียว เราจะไปยึดเมืองเม็งมาจากชาวเม็งนั้นไม่ควร " จันเสนจึงกล่าวว่า " ถ้าไม่ควรยึดเมืองเม็งก็ควรจะเปลี่ยนเจ้าเมืองเม็งเสีย ให้ทหารข้าห้าพัน ข้าจะไปจับขุนจาดให้ได้ " กุมภวากล่าวว่า " เรื่องนี้ข้าคิดอยู่แต่ยังขัดด้วยขุนสินเจ้าเมืองไต๋ หากเราจะยกทัพเข้าไปในแคว้นเม็ง ขุนสินจะเข้าใจว่าเรากระทำเพื่อขยายอำนาจของเรา ขุนสินจะเข้าช่วยแคว้นเม็ง "
จันเสนกล่าวว่า " เราไม่กลัวแคว้นไต๋ แต่เมื่อจิ๋นยกทัพมาอีก เราจะสู้ทัพจิ๋นมิได้เมื่อเรามีศัตรูอยู่รอบข้าง สูจงรู้เถิดว่าจิ๋นจะต้องยกทัพใหญ่มารบเราอีก และจะเป็นทัพใหญ่กว่าทัพของจูโกเหลียง ขอให้เรารวมคนไทด้วยน้ำใจเถิด อย่าได้รวมด้วยกำลัง " แล้วกุมภวาให้สีเภานำคนเสบียงไปให้คำสิน คำสินก็นำออกแจกชาวบ้าน และคำสินกล่าวแก่สีเภาว่า " สูกับนางสร้อยสนจงอยู่เสียที่ข่านุนี้เถิด เผื่อว่าเมื่อขุนจาดรุกรานแคว้นข่านุหรือแคว้นยูโร สูจะช่วยได้ทัน ส่วนคนของสูนั้น ข้าจะจัดที่ทำอาชีพให้ " สีเภาก็แจ้งไปยังกุมภวา แล้วสีเภากับนางสร้อยสนก็อยู่ในเมืองข่านุต่อไป
๕...
เมื่อขุนจาดทราบว่า คำสินกลับเป็นมิตรกับแคว้นยูโรและแคว้นลือ และคำสินได้สีเภาเป็นน้องเขย ขุนจาดจึงถามคำอ้ายว่า " อุบายของสูนั้นกลับทำให้ข่านุและยูโรใกล้ชิดกับลือยิ่งขึ้น ข้าเสียทองสามสิบแท่งไปโดยไร้ผล สูจะแก้ไขอย่างไร " คำอ้ายกล่าวว่า " เมื่ออุบายไม่ได้ผล ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหักเอาด้วยกำลัง คำสินผิดข้อตกลงกับเรา เราต้องยกทัพไปสอนเสียบ้าง แต่สูยังมิควรยกทัพไปเอง ข้าได้ทราบมาว่าสีเมฆแห่งแขวงภูสันตองมีใจออกห่างจากสู ผู้นี้ทำตัวให้คนนิยม เพราะมีความมักใหญ่ สูควรจะให้มีเมฆเป็นแม่ทัพไปเพื่อจะรู้ว่า ผู้นี้ไม่ใช่คนของข้า " คำอ้ายกล่าวว่า " สีเมฆเข้ามาในเมืองเมื่อวานนี้แล้ว ข้าจะไปตามมาพรุ่งนี้ " เย็นวันนั้นคำอ้ายไปยังที่พักของสีเมฆและถามว่า " สูมาคราวนี้มีกิจอันใดหรือ " สีเมฆกล่าวว่า " ข้าไม่มีกิจอันใดเป็นพิเศษ แต่เวลานี้ราษฎรทั่วไปไม่พอใจฝ่ายปกครอง เพราะถูกเก็บภาษีก็มากอยู่แล้ว แต่ความเดือดร้อนของราษฎรนั้นฝ่ายปกครองไม่สนใจจะบำบัดให้ข้าจึงเข้ามาในเมือง เพื่อแจ้งให้ขุนจาดรู้ว่าราษฎรไม่พอใจอยู่ ควรจะแก้ไขการปกครองให้เรียบร้อย " คำอ้ายจึงกล่าวว่า " ขุนจาดดุร้ายอยู่ตามธรรมดาสูรู้อยู่แล้ว แล้วมิหนำซ้ำเวลานี้ยังมีอำนาจมากขึ้น เพราะได้ทองจากเมืองจิ๋นมาจ้างทหาร ดังนั้นความดื้อจึงมากขึ้นตามวิสัยของผู้มีอำนาจ ถึงแม้ความจริงจะเป็นดังที่สูว่า แต่ถ้าสูพูดแก่ขุนจาดตามความจริง สูมิกลัวอันตรายหรือ "
สีเมฆกล่าวว่า " ถ้าจะมีอันตรายเพราะพูดความจริง ข้าไม่กลัว ขุนจาดควรจะปกครองอย่างผู้เป็นหัวหน้าคน แต่ขุนจาดกลับพอใจเป็นเครื่องมือของจิ๋น และมากดขี่คนไทด้วยกันสูมีปัญญาอยู่ เจ้าเมืองเช่นนี้เหตุใดสูไม่ตักเตือนเสียบ้าง " คำอ้ายกล่าวว่า " ขุนจาดเป็นอย่างไรข้าก็เห็นอยู่ และใช่ว่าข้าจะไม่รู้ความผิดความถูกก็หาไม่ แต่ขุนจาดนั้นประหารคนเสียได้โดยง่าย เพียงแต่สงสัยผู้ใด ขุนจาดถือว่าผู้นั้นมีความผิดเสียแล้ว ข้าเองเมื่อกลับออกจากวังครั้งใด จะต้องคลำศีรษะทุกครั้งว่ายังอยู่บนบ่าหรือไม่ การอยู่ใกล้เสือย่อมมีอันตราย เช่นนี้จึงต้องรักษาตัวให้รอดไว้ ขุนจาดประสงค์อย่างใดข้ามิอาจขัด เพราะกลัวภัย ส่วนสูนั้นอยู่ที่แขวงและมีราษฎรแห่งภูสันตองเป็นกำลังอยู่ก็อาจขัดขุนจาดได้ " สีเมฆจึงถามคำอ้ายว่า " สูมาหาข้าครั้งนี้คงมีกิจบางอย่าง หรือขุนจาดใช้ให้มาฟังว่าข้าจะขบถหรือไม่ ที่ข้าพูดไปแล้วนั้นมิใช่เรื่องที่ข้าจะปิดบัง พรุ่งนี้ข้าจะพูดกับขุนจาดเช่นเดียวกับที่พูดกับสูวันนี้ คนใดยังเตือนเจ้าเมืองของตนอยู่ คนนั้นจะยังไม่ขบถ " คำอ้ายกล่าวว่า " ขุนจาดมีกิจที่จะพูดกับสูพรุ่งนี้ ขอให้สูเข้าไปในวังเถิด "
แล้วคำอ้ายลาสีเมฆและมาแจ้งแก่ขุนจาดว่า " สีเมฆนี้ข้าสังเกตว่าไม่มีใจภักดีต่อสู พรุ่งนี้จงฟังเอาเถิด " ครั้นรุ่งขึ้นสีเมฆเข้าไปในวัง ขณะนั้นขุนจาดกับพนักงานผู้ใหญ่ทั้งปวงกำลังอยู่พร้อมหน้ากัน ขุนจาดเชิญให้สีเมฆนั่งในที่สมควร และนำสุราเก่าสองไหที่ได้จากจิ๋นออกมาและกล่าวว่า " สุรานี้มีอายุร้อยปี ข้าได้มาจากจิ๋นสองไห ข้าจะแบ่งให้สูเอาไปที่แขวงภูสันตองไหหนึ่ง " สีเมฆกล่าวว่า " คนไทเราอยู่กันอย่างหนึ่ง ไม่นิยมในอาหารและะสุราที่หายากเพราะจะทำให้ยุ่งยากแก่ความเป็นอยู่ เมื่อหมดสุราเก่าร้อยปีนี้แล้ว ข้าก็จะต้องหันไปดื่มสุราธรรมดาของเราอีกต่อไป ข้าจึงไม่ประสงค์จะดื่มสุราของจิ๋น เจ้าเมืองจงเก็บไว้เถิด "
ขุนจาดไม่พอใจที่สีเมฆปฏิเสธเช่นนั้น แต่เกรงใจสีเมฆอยู่จึงฝืนยิ้มซ่อนความโกรธไว้และกล่าวว่า " บัดนี้แคว้นข่านุจะเป็นกลางก็หาไม่ รับทหารของแคว้นลือไว้ในเขตแดน คำสินเจ้าเมืองข่านุกระทำดังนี้เสมือนคำสินมอบแคว้นข่านุเป็นค่ายและเป็นคลังเสบียงของแคว้นลือ เพื่อจะได้รุกรานเราต่อไปข้างหน้า เหตุนี้ข้าประสงค์ให้สูเอาชาวภูตองไปยึดแคว้นข่านุไว้ในปกครองของเราเสียเพื่อข่านุจะไม่เป็นภัยต่อเรา และเมื่อยึดแคว้นข่านุได้แล้วก็จงเข้ายึดแคว้นยูโรต่อไป " สีเมฆกล่าวว่า " เจ้าเมืองจะให้ข้าทำสิ่งใดนั้นข้ามิรังเกียจ แต่ที่เราจะเอาแคว้นข่านุ และแคว้นยูโรมาไว้ในอำนาจนั้นสมควรแล้วหรือ ในเมื่อการเช่นนี้จะให้เราเป็นศัตรูกับลือและแคว้นไทอื่นๆ อนึ่งเล่าสาเหตุที่จะให้เรายึดแคว้นทั้งสองโดยเราไม่ถูกตำหนิได้ก็ต่อเมื่อชาวเมืองไม่พอใจการปกครองของผู้ปกครองเวลานี้ และขอให้เราช่วยเหลือ แต่ข้าไม่ได้ยินว่าชาวเมืองทั้งสองเมืองต้องการเช่นนั้น มีแต่ชาวเม็งเท่านั้นที่กำลังออกห่างจากฝ่ายปกครองของเขา และกำลังหันหลังให้แก่ฝ่ายปกครอง ข้าเห็นว่าเราควรจัดภายในบ้านของเราให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะไปยุ่งกับบ้านอื่นที่คนอื่นปกครองอยู่ "
ขุนจาดโกรธยิ่งนัก แต่ความเกรงใจสีเมฆมีมากมิกล้าจะรุนแรงสีเมฆได้ ขุนจาดจึงลุกไปเสียจากที่ประชุมโดยพลัน สีเมฆก็ถอนใจ และกล่าวแก่พนักงานทั้งปวงว่า " เมื่อเจ้าเมืองไม่ฟังความเดือดร้อนของชาวบ้านแล้ว บ้านเมืองจะเป็นสุขได้อย่างไร " แล้วสีเมฆลุกออกมาข้างนอก เมื่อออกมาถึงประตูเจ้าพลเข้า กล่าวแก่สีเมฆว่า " ข้าเคยเตือนพ่อข้าครั้งหนึ่งแล้วเรื่องความไม่พอใจของราษฎร แต่พ่อข้ากลับคาดโทษไว้ว่า ถ้าพูดอีกครั้งหนึ่ง ข้าจะต้องตาย สูกล้ากล่าวเช่นนั้นไม่กลัวภัยแก่ตัวหรือ "" สีเมฆกล่าวว่า " เจ้าพลเอย เวลานี้ราษฎรกำลังเดือดร้อน ควรหรือที่ข้าจะนิ่งอยู่ ข้าเองเป็นผู้ปกครองราษฎรคนหนึ่ง ถ้าข้าไม่ทำหน้าที่จำเป็นของข้าแล้ว ใครเล่าจะทำ "
แล้วสีเมฆก็กลับยังที่พักของตน เย็นนั้นขุนจาดเรียกเจ้าพลไปพบและกล่าวว่า " วันนี้ข้าถือโกรธเจ้าเมืองภูสันตองมากเกินไป สูจงไปบอกเขาว่า ข้าขออภัยที่ข้าทำกิริยาไม่สมควร คืนนี้ข้าขอเชิญเขามากินอาหารในวังนี้ และจะได้ปรึกษางานของบ้านเมืองกันว่าควรทำประการใด "
เจ้าพลพอใจที่บิดาของตนกล่าวเช่นนั้น จึงรีบไปบอกสีเมฆตามคำของบิดาตน สีเมฆกล่าวว่า " ข้าเป็นเสมือนบ่าวของเจ้าเมืองเม็ง ข้าจะถือโกรธบิดาสูนั้นมิได้ เมื่อเจ้าเมืองสนใจทำงานเพื่อราษฎร ราษฎรก็จะนับถือและตามเจ้าเมืองนั้น ข้าอยากเห็นบิดาของสูเป็นเจ้าเมืองที่ชาวบ้านนับถือ สูจงกลับไป บอกเขาเถิดว่าตกค่ำข้าจะไปในวังและจะได้ปรึกษากัน " เจ้าพล ก็นำความมาแจ้งขุนจาด และเมื่อเจ้าพลออกไปแล้ว ขุนจาดบอกแก่เจ้าพลายว่า " ที่ข้าเรียกสีเมฆเข้ามาในวังคืนนี้ ด้วยเห็นว่าสีเมฆไม่ใช่คนของเราแล้ว หากให้กลับไปภูสันตองจะเป็นภัยแก่เรา เพราะว่าภูสันตองเป็นทำเลมั่นคง หากสีเมฆยกธงขบถขึ้นที่นั่น เราจะทำลายได้ยาก ข้าจะกำจัดสีเมฆเสียในคืนนี้ สูจงเตรียมทหารถืออาวุธไว้ให้พร้อม เมื่อข้ากันอาหารแล้ว และเข้ามาในห้องนี้ สูจงฆ่าสีเมฆเสีย " เจ้าพลายก็เตรียมคนสนิทของตนสิบห้าคนไปซุ่มไว้อีกด้านหนึ่งของห้องอาหาร
๖...
ครั้นตกค่ำสีเมฆเข้ามาในวัง ขุนจาดเชิญให้นั่งและกล่าวว่า " ข้าขออภัยที่วันนี้เอาแต่ใจตนเอง ไม่ฟังความจากสูให้ตลอด ข้าจึงเชิญสูมาเพื่อปรึกษากันว่าเราควรจะทำประการใด เมืองเม็งจึงจะเป็นสุข และราษฎรจะนับถือฝ่ายปกครอง " แล้วขุนจาดก็ให้คนยกอาหารมากิน
ฝ่ายเจ้าพลในค่ำวันนั้นนึกขึ้นได้ว่า บิดาของตนอาจจะอาศัยความสนิทของคนไปลวงสีเมฆเข้ามาฆ่าเสียในวัง เจ้าพล จึงเข้าไปในวังเห็นเจ้าพลายกับทหารสิบห้าคนถืออาวุธนั่งเงียบ อยู่ในห้องติดกับห้องที่ขุนจาดกับสีเมฆกินอาหาร เจ้าพลก็รู้ว่าสีเมฆจะถูกฆ่า แต่เจ้าพลมิรู้จะทำประการใด หากจะเข้าไปบอกสีเมฆ ตนจะถูกฆ่าพร้อมกันไปกับสีเมฆด้วย ครั้นเห็นบ่าวเอาของหวานเข้าไปในห้องเจ้าพลก็คิดว่าในไม่ช้าสีเมฆจะต้องตายเป็นแน่แท้
พอดีบ่าวอีกผู้หนึ่งถือจานของหวานออกมา เจ้าพลจึงถามว่า " สูจะเอาของหวานจานนี้ไปให้ใคร " บ่าวผู้นั้นตอบว่า " เอาไปให้สีเมฆ " เจ้าพลนึกวิธีขึ้นได้ ก็เอาจานนั้นมาจากมือบ่าวแล้วขีดรูปดาบที่หน้าขนม แล้วส่งคืนให้บ่าวไป และกล่าวว่า " สูเอาไปให้สีเมฆได้แล้ว " บ่าวผู้นั้นก็นำจานขนมไปวางที่หน้าสีเมฆ สีเมฆเห็นรูปดาบขนมก็เฉลียวใจ และเมื่อมองออกไปข้างนอกเห็นเจ้าพลยืนจ้องเขาอยู่ สีเมฆก็รู้ว่ารูปดาบนั้นเตือนให้เขาระวังภัย
เมื่อกินของหวานแล้ว ขุนจาดจึงกล่าวแก่สีเมฆว่า " เราไปปรึกษากันที่ห้องในเถิด " สีเมฆจึงกล่าวว่า " งานแผ่นดินนั้นถ้าเกี่ยวกับความทุกข์สุขของราษฎร ก็มิใช่เรื่องลับ พรุ่งนี้ปรึกษากันต่อหน้าพนักงานทั่วไปก็ได้ บัดนี้ควรแก่เวลาแล้ว ข้าจะลาไป " ขุนจาดกล่าวว่า " เวลายังหัวค่ำนัก "
แล้วขุนจาดก็ดึงสีเมฆจะให้ไปห้องใน แต่สีเมฆกลับยึดคอขุนจาดไว้และชักดาบออกและกล่าวว่า " ใครซ่อนอยู่ห้องในให้ออกมา หาไม่ข้าจะฟันคอขุนจาดเสีย " เจ้าพลายได้ยินดังนั้นก็ต้องเปิดประตูออกมา สีเมฆจึงกล่าวแก่ขุนจาดว่า " สูจงสั่งให้ทหารนำม้ามาให้ข้าที่หน้าวัง " ขุนจาดมีความกลัว จึงสั่งให้ทหารไปนำม้าของตนมา แล้วสีเมฆลากขุนจาดออกมาข้างนอกและกล่าวแก่เจ้าพลายว่า " หากสูนำทหารตามข้ามา ขุนจาดจะต้องตาย หากไม่ตาม ข้าจะปล่อยขุนจาดให้กลับมาได้ "
แล้วสีเมฆนำขุนจาดขึ้นม้าไปกับตน เจ้าพลายกับทหารทั้งปวงก็มิกล้าติดตามไป ครั้นสีเมฆไปได้ครู่ใหญ่ก็ปล่อยขุนจาดลงจากม้าและกล่าวว่า " เมืองภูสันตองนั้นเข้ารวมกับแคว้นเม็งด้วยความสมัครใจเพื่อจะได้พึ่งซึ่งกันและกัน แต่สูกลับจะสังหารข้าต่อไปนี้ข้าจะไม่ถือว่าสูเป็นเจ้าเมืองอีกต่อไป ถึงแม้ภูสันตองจะเป็นเมืองบนที่สูง และไม่มีทางติดต่อกับแคว้นอื่นได้ นอกจากจะผ่านเมืองเม็ง เราชาวภูสันตองจะยอมอดตายดีกว่าจะมาพึ่งเจ้าเมืองใจหยาบช้าเช่นสู "
๗...
แล้วสีเมฆก็ขับม้ากลับยังเมืองภูสันตอง เมื่อถึงบ้านที่ภูสันตอง นางเพ็งเฮือนผู้เป็นภรรยาถามว่า " สูไปเมืองเม็งคราวนี้กลับมาเร็วผิดกว่าทุกคราว และมีสีหน้าไม่สบาย สูได้รับความเดือดร้อนอย่างไรหรือ " สีเมฆจึงเล่าให้ภรรยาฟังและกล่าวว่า " ถึงเรามิได้ขบถ ขุนจาดก็จะหาว่าเราขบถและจะยกทัพมาทำลายเรา ข้าเป็นห่วงสู เพราะว่าต่อไปนี้จะมีแต่ความทุกข์และความกังวลใจจนกว่าการศึกจะเสร็จไป "
นางเพ็งเฮือนตอบว่า " สูอย่าได้ห่วงข้าเลย ข้ามิใช่แต่เพื่อนร่วมที่นอนกับสู แต่จะเป็นเพื่อนตลอดไปไม่ว่าจะทุกข์ปานใด และเมื่อข้ามีสามีที่น้ำใจสูงเช่นนี้แล้ว ข้าพร้อมจะพบอันตรายร่วทกับสู ขอสูอย่าเป็นห่วง จงคิดสู้กับคนโหดร้ายต่อไปเถิด " สีเมฆโอบกอดภรรยาไว้ด้วยความปรานี และออกมาสั่งทหารให้เตรียมพร้อมไว้ และประกาศทั่วไปว่าขุนจาดปกครองราษฎรมายี่สิบห้าปี ราษฎรต้องอยู่อย่างทาสมาตลอด บัดนี้แขวงภูสันตองไม่อาจจะทนต่อไปได้ จึงไม่ขออยู่ใต้อำนาจการปกครองของขุนจาดต่อไป ผู้ใดหรือแขวงใดจะขับไล่ขุนจาดออกจากการเป็นเจ้าเมือง ขอให้มาร่วมกับชาวภูสันตอง
ชาวเม็งเมื่อได้ทราบว่าสีเมฆแช็งแรงเมืองต่อขุนจาด ก็มาสมัครด้วยสีเมฆเป็นอันมาก ขุนจาดเมื่อทราบดังนั้นจึงให้ออกประกาศทั่วไปว่า สีเมฆขบถต่อแผ่นดิน ถ้าชาวเม็งคนใดหายไปจากบ้านเกินสามวัน จะถือว่าผู้นั้นไปช่วยพวกขบถ ครอบครัวจะถูกลงโทษถึงตาย ชาวเม็งห่วงครอบครัว จึงไม่กล้าไปสมัครด้วยสีเมฆอีกต่อไป แล้วขุนจาดก็ยกทัพมุ่งไปยังแขวงภูสันตอง ให้เจ้าพลายเป็นทัพหน้า ขุนจาดเองเป็นทัพหลวง สีเมฆได้ข่าวว่า ขุนจาดยกทัพมา จึงยกทัพออกจากเมืองมุ่งมายังทัพขุนจาด และพบกันที่ลำน้ำยวง ที่นั่นมีลูกเนินสูงติดต่อกันเป็นทอดๆ สีเมฆขึ้นไปบนลูกเนินแห่งหนึ่ง และมองไปทางทัพของขุนจาดที่ตั้งค่ายอยู่ฝั่งน้ำตรงข้ามเห็นขุนจาดมีทหารมากกว่าฝ่ายตน สีเมฆจึงถอยทหารจากทุ่งขึ้นไปตั้งอยู่บนเนิน วันนั้นฝนตกหนัก ลำน้ำยวงขึ้นสูง ขุนจาดจึงให้พักพลอยู่ก่อน
ครั้นรุ่งขึ้นเช้า น้ำในลำน้ำยวงลด และหมอกลงจัดเจ้าพลายจึงกล่าวแก่ขุนจาดว่า " เป็นโอกาสของเราแล้ว จงรีบยกทัพข้ามเถิด ข้าศึกขัดขวางเราได้ยากเพราะหมอกลงจัดมองไม่เห็นกัน " ขุนจาดเห็นด้วยจึงสั่งให้ถอนค่าย และให้ทหารข้ามไป
สีเมฆขณะนั้นนำทหารคอยทีอยู่บนเชิงเขา ทหารเม็งไม่อาจมองเห็นทหารฝ่ายภูสันตองได้ สีเมฆเห็นทหารของขุนจาดข้ามน้ำมาไม่ทันระวังตัวก็ยกทหารออกโจมตี ทหารที่อยู่ข้างหลังขึ้นมาช่วยไม่ทัน และที่ขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็ถูกพวกของตนดันถอยหลังกลับไปอีก ทหารเม็งเหยียบกันบาดเจ็บและตายก็มาก สีเมฆนำทหารของตนไล่ฆ่าฝ่ายเม็งอยู่จนสาย ทัพของขุนจาดจึงถอยกลับไปได้ และทิ้งศพทหารฝ่ายตนไว้สามร้อยเศษ ส่วนสีเมฆเสียทหารไปสิบคนและบาดเจ็บยี่สิบคน แล้วสีเมฆให้ทหารลงมาตั้งค่ายในทุ่งริมลำน้ำเพื่อต้านทานทัพเม็งต่อไป
ขุนจาดเมื่อสำรวจทหารของตนแล้วก็กล่าวแก่เจ้าพลายว่า " ถึงแม้ฝ่ายเราจะเสียหายไปมากในวันนี้ แต่กำลังของฝ่ายเรายังมีมากอยู่ พรุ่งนี้สูจงนำทหารข้ามฝั่งไปอีก เพราะว่าถ้าปล่อยให้การศึกล่าชื้าไป แขวงอื่นๆ อาจจะมาสมทบกับสีเมฆได้ เราจะทำศึกลำบากหนักขึ้น " แล้วขุนจาดนำเงินทองออกแจกทหารของตน และในวันรุ่งขึ้นขุนจาดให้ทหารข้ามลำน้ำไปอีก สีเมฆให้ทหารของตนยิงธนูกราดมา ฝ่ายทหารเม็งก็ประสานแนวเข้าชิดกัน และใช้โล่ป้องกันลูกธนูไว้ ส่วนที่เข้ามาถึงฝั่งก็พยายามปีนขึ้นไป ทหารของสีเมฆใช้หอกยาวแทงลงมา ทหารเม็งที่ขึ้นฝั่งมาได้แล้วก็ถูกฝ่ายสีเมฆใช้ดาบเข้าต่อสู้ชิตัว การสู้รบดำเนินอยู่โดยฝ่ายเม็งจะยึดฝั่งเป็นที่มั่นก็ไม่ได้ แต่ฝ่ายภูสันตองก็มิอาจขับไล่ฝ่ายเม็งให้ถอยไปได้
ครั้นเที่ยงวันมีเสียงโห่ร้องจากหลังค่ายของขุนจาด และทหารที่รักษาค่ายวิ่งมายังริมน้ำร้องบอกว่า " ค่ายถูกปล้น " ทหารฝ่ายเม็งเมื่อทราบเช่นนั้นก็หมดน้ำใจที่จะสู้รับต่อไป ต่างก็ถอยมายังฝั่งของตน สีเมฆจึงนำทหารไล่ตามมา ขุนจาดมองไปทางค่ายของตน เห็นควันไฟตลบอยู่ก็รู้ว่า มีทัพอื่นมาช่วยสีเมฆ จึงนำทหารหนีไปทางเมืองเม็ง
เมื่อสีเมฆมาถึงค่ายของขุนจาด เห็นทหารจำนวนหนึ่งกำลังเก็บสิ่งของในค่ายชุลมุนอยู่ สีเมฆจึงถามว่า " แม่ทัพที่นำพวกสูมาช่วยข้าอยู่ที่ใด " ทหารเหล่านั้นบอกว่าอยู่ทางหลังค่าย สีเมฆจึงไปทางหลังค่าย เห็นชายคนหนึ่งจำได้ว่าเป็นฟ้าเกิดผู้ครองแคว้นมงทุมซึ่งเป็นเพื่อนกัน สีเมฆดีใจตรงเข้าไปหาแล้วทั้งสองก็ตบไหล่ตบหลังกันด้วยความยินดี และฟ้าเกิดกล่าว่า " ข้าได้ทราบว่าสูแข็งเมืองต่อขุนจาด ข้าเองก็เกลียดการปกครองของขุนจาดอยู่ จึงยกทัพมาช่วยเมื่อมาถึงที่นี่ เห็นขุนจาดนำทัพข้ามน้้ำ ข้าจึงเข้าปล้นค่ายผลก็เป็นดังที่สูเห็นอยู่นี่ "
สีเมฆจึงกล่าวว่า " สูมาช่วยข้าดังนี้ ข้ายินดีนัก และหากเราร่วมมือกันก็พอจะสู้ขุนจาดได้ ข้าจะรีบยกทหารติดตามขุนจาดไป ส่วนค่ายนี้ข้ายกให้สูเป็นรางวัลที่มาช่วยข้า เมื่อเก็บทรัพย์สินหมดแล้ว ขอให้ตามทัพข้าไป เราจะเข้าเมืองเม็งในไม่ช้า " แล้วสีเมฆนำทหารติดตามขุนจาดไป ครั้นค่ำลงจึงให้ทหารหยุดพัก เพื่อรุ่งขึ้นจะได้ติดตามขุนจาดต่อไป
และในวันรุ่งขึ้น ฟ้าเกิดนำทัพของตนตามมาทัน แล้วทัพทั้งสองก็ตรงไปยังเมืองเม็ง ชาวบ้านตามทางต้อนรับทัพทั้งสองก็ตรงไปยังเมืองเม็ง ชาวบ้านตามทางต้อนรับทัพทั้งสองเป็นอันดี ขุนจาดเห็นว่าจะต่อสู้อยู่นอกเมืองไม่ได้จึงให้ปิดประตูเมืองและให้ทหารรักษาเชิงเทินไว้ สีเมฆกับฟ้าเกิดจึงให้ทหารล้อมเมืองไว้ ทัพของสีเมฆล้อมด้านตะวันตกและด้านเหนือ ทัพของฟ้าเกิดล้อมด้านตะวันออก และด้านใต้ แล้วสีเมฆก็ขับม้าเข้าไปใกล้ประตูเมืองและร้องบอกว่า " ขุนจาดจงออกมาเจรจากับเรา "
ขุนจาดก็ออกมายังหอคอย และร้องถามสีเมฆว่า " สูขบถต่อข้า ยังจะมีอะไรเจรจากับข้าอีกหรือ " สีเมฆกล่าวว่า " ข้าไม่ไดด้ขบถต่อผู้ใด แต่สูขบถต่อชาวเมืองทั่วไป เพราะสูไม่ทำหน้าที่ของผู้ปกครอง ข้าต้องการให้สูออกไปจากเมืองเม็ง เพราะราษฎรไม่ต้องการสูแล้ว หากไม่ยอมออกไปข้าจะเข้าทำลายเมืองจับสูฆ่าเสีย "
ขุนจาดได้ฟังก็โกรธและสั่งให้ทหารระดมยิงธนูไปยังสีเมฆ สีเมฆเอาโล่บังไว้ และร้องสั่งให้ทหารเข้าปีนกำแพง ทหารภูสันตองกับทหารมงทุมก็โห่ร้องประดาเข้าไป ฝ่ายเม็งทุ่มก้อนหินลงมา และทหารที่ปีนขึ้นกำแพงถูกฝ่ายทหารเม็งแทงตกลงทา สีเมฆเห็นเหลือกำลังจึงให้ทหารฝ่ายตนถอยและให้ล้อมเมืองเม็งไว้ต่อไป
๘...
ระหว่างล้อมเมืองอยู่นั้น ทหารของฟ้าเกิดออกฉกชิงทรัพย์สินของราษฎรบ้าง ฉุดคร่าหญิงมาบ้าง ชาวเมืองร้องต่อสีเมฆ สีเมฆจึงไปยังฟ้าเกิดและกล่าวว่า " ที่สูกับข้าเอาชีวิตมาเสี่ยงครั้งนี้ มิใช่เพื่อสร้างอำนาจให้ตนเอง แต่เพราะว่าขุนจาดปกครองไม่ดี ทำให้ราษฎรเดือดร้อน บัดนี้ทหารของเรากลับมาทำความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรเสียเอง เช่นนี้แล้วราษฎรเขาจะคิดอย่างไร สูจงเอาทหารที่ทำผิดมาลงโทษเสียเถิด "
ฟ้าเกิดเห็นด้วยและชำระความให้แก่ชาวเม็ง และฟ้าเกิดประกาศว่าหากทหารคนใดกระทำผิดอีกจะถูกลงโทษหนักขึ้น ทหารเมืองทงมุมก็ไม่พอใจแม่ทัพของตน และในกองทัพนั้นมีบุญเกิงเป็นรองจากฟ้าเกิด บุญเกิงมีความใฝ่สูง ใคร่จะเป็นเจ้าเมืองมงทุมอยู่ จึงยุยงทหารให้เกลียดฟ้าเกิดยิ่งขึ้น ขุนจาดถูกล้อมอยู่หนึ่งเดือน ทหารได้รับความอดอยากและวิวาทกันตายไปหลายคนด้วยเรื่องเสบียง ขุนจาดจึงกล่าวแก่คำอ้ายว่า " สูมีอุบายอยู่เสมอ คราวนี้เราเข้าตาจนแล้ว จะคิดประการใด "
คำอ้ายตอบว่า " ข้าพอจะให้ทัพสีเมฆแตกไปได้เพราะว่า ผู้ช่วยของฟ้าเกิดนั้นขอบพอกับข้ามาตั้งแต่เยาว์ " และคำอ้ายแนะอุบายให้ขุนจาด ขุนจาดก็เห็นด้วย รุ่งขึ้น เจ้าพลายกับคำอ้ายเปิดประตูเมือง ให้ทหารถือธงนำหน้าตรงไปยังค่ายของสีเมฆ สีเมฆเห็นฝ่ายเม็งส่งทูตมาก็ให้ทหารนำทูตเม็งมายังกระโจมของตน แล้วเจ้าพลายกล่าวแก่สีเมฆว่า " ฝ่ายเราจะยอมจำนวนและเจ้าเมืองจะออกจากเมืองไปตามประสงค์ของสู แต่มีหลายอย่างที่จะต้อตกลงกัน เช่น เรื่องทรัพย์สิน และบริวารของเจ้าเมืองยังไม่รู้ว่าแคว้นใดจะยอมให้เราอาศัยได้ หากสูจะให้เราจำนนโดยดี จะต้องเจรจากันและกันให้ฟ้าเกิดมายินยอมด้วย "
สีเมฆกล่าวว่า " ข้าเองก็ไม่ประสงค์จะตกลงเรื่องใดโดยไม่ให้ฟ้าเกิดรู้เห็นและตกลงด้วย " จากนั้นมา เจ้าพลายก็ออกมาเจรจาการหย่าศึกกับสีเมฆและฟ้าเกิด คำอ้ายก็ตามมาด้วย โดยมีถุงทองติดมากับหลังม้า และเมื่อเจ้าพลายเจรจากับสีเมฆและฟ้าเกิดอยู่ คำอ้ายก็ไปยังที่พักของบุญเกิง บุญเกิงเมื่อรู้ว่าสหายเก่ามาหาก็ออกมาต้อนรับด้วยดีและถามคำอ้ายว่า " การหย่าศึกจะเสร็จเมื่อใด "
คำอ้ายตอบว่า " การเจรจายังตกลงกันไม่ได้ เพราะสีเมฆกับฟ้าเกิดเรียกทองเป็นค่าทำขวัญจากขุนจาดมากเกินไป " บุญเกิงตอบว่า " ฟ้าเกิดไม่บอกข้าเลยว่าจะได้ทองเป็นค่าทำขวัญ " คำอ้ายกล่าวว่า " แต่สูกับฟ้าเกิดนับถือกันอยู่มิใช่หรือ " บุญเกิงกล่าวว่า " ข้าเลิกนับถือเจ้าเมืองคนนี้มานานแล้ว เพราะเขาไม่เคยเห็นแก่พวกพ้อง แต่ข้ามิรู้จะทำประการใด ข้าจะทำให้ทหารรัก ข้าก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะทหารชอบสินจ้างแต่ข้าไม่มีจะให้ ครั้นจะไปพึ่งขุุนจาด ขุนจาดก็จะหมดอำนาจอยู่แล้ว "
คำอ้ายจึงนำถุงทองที่หลังม้ามาให้บุญเกิงและกล่าวว่า " ขุนจาดจะหมดอำนายก็หาไม่ แต่ขุนจาดไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อจึงยังไม่นำทหารออกรบ หากสูประสงค์จะเป็นเจ้าเมืองมงทุมแทนฟ้าเกิด จงเอาทองถุุงนี้แจกจ่ายทหาร และกำจัดฟ้าเกิดเสีย พรุ่งนี้ข้าจะนำทองมาให้อีก " แล้วคำอ้ายก็ลาไป บุญเกิงจึงให้คนสนิทของตนนำทองแจกจ่ายทหาร และบอกทหารเหล่านั้นว่าฟ้าเกิดได้ทองเป็นค่าทำขวัญจากขุนจาดมาก แต่เก็บไว้เป็นส่วนตัวเสียคนเดียว ทหารเมืองมงทุมหลงเชื่อก็เกลียดฟ้าเกิด
ครั้นรุ่งขึ้น ขณะที่ฟ้าเกิดกับสีเมฆเจรจากับเจ้าพลายอยู่ คำอ้ายก็นำทองอีกสามถึงมาให้บุญเกิง และแนะอุบายให้กระทำ บุญเกิงรับคำและนำทองสามถุงนั้นไปซ่อนไว้ในกระโจมของฟ้าเกิด ครั้นตกบ่ายฟ้าเกิดมายังค่ายของตน บุญเกิงออกไปต้อนรับที่หน้าค่าย และเมื่อฟ้าเกิดเดินขึ้นหน้าไป บุญเกิงชักดาบฟันฟ้าเกิดตาย แล้วบุญเกิงเรียกทหารทั้งปวงมาชุมนุมและกล่าวว่า " ที่ข้าสังหารฟ้าเกิด เพราะฟ้าเกิดไม่ซื่อต่อทหารของตน ฟ้าเกิดได้ทองเป็นค่าทำขวัญจากขุนจาด แต่ก็เก็บเลียบไว้เป็นส่วนของตน ส่วนทหารอดอยาก ถ้าไปทำผิดต่อชาวบ้านบ้างเล็กน้อยฟ้าเกิดกลับลงโทษหนัก ข้าเห็นว่าคนที่ทรยศต่อทหารของตนเช่นนี้ไม่ควรให้มีชีวิตอยู่ต่อไป "
แล้วบุญเกิงให้ทหารค้นกระโจมของฟ้าเกิดและก็ได้ทองสามถุงนั้น อันทำให้ทหารหลงเชื่อคำของบุญเกิง แล้วบุญเกิงนำทองนั้นออกมาแจกทหารทั้งปวง ทหารก็พอใจและยกบุญเกิงเป็นแม่ทัพ บุญเกิงก็นำทหารออกโจมตีค่ายของสีเมฆตามที่คำอ้ายบอกไว้ ฝ่ายขุนจาดนั้นเมื่อคำอ้ายมาแจ้งว่าได้ชักชวนบุญเกิง เป็นพวกได้แล้วจึงให้ทหารเตรียมตัวอยู่ และเมื่อเห็นทหารเมืองมงทุมออกโจมตีค่ายของสีเมฆ ขุนจาดก็นำทหารออกช่วยบุญเกิง ทหารฝ่ายภูสันตองถูกฆ่าฟันสิ้นชีวิตเป็นอันมาก สีเมฆเห็นว่าไม่อาจจะสู้ต่อไปได้ จึงนำทหารหนีไป
เมื่อสีเมฆมาถึงภูสันตองก็ให้ทหารซ่อมแซมค่ายคูเมืองไว้ให้มั่นคง และชาวภูสันตองมีใจรักเจ้าเมืองของตน ก็ออกช่วยด้วยความเต็มใจ และหญิงทั้งปวงพากันตัดผมของตนมาทำเป็นสายธนูให้ทหาร ส่วนนางเพ็งเฮือนภรรยาสีเมฆนั้นช่วยสามีของนางดูแลชาวเมืองให้มีน้ำใจสู้กับขุนจาดต่อไป
ฝ่ายขุนจาดเมื่อสี่เมฆไปแล้ว ก็รับทหารของบุญเกิงไว้เป็นของตน และตั้งบุญเกิงเป็นเจ้าเมืองมงทุมแทนฟ้าเกิด อีกเจ็ดวันต่อมา ขุนจาดยกทัพไปยังแขวงภูสันตอง และให้นางเอื้องคำรักษาเมืองเม็งไว้ เมื่อขุนจาดมาถึงเมืองภูสันตองก็ให้ทหารเข้าโจมตี แต่ไม่สามารถเข้าเมืองได้ ขุนจาดจึงให้ล้อมไว้
๙...
ฝ่ายเจ้าพลมิได้ไปกับทัพของขุนจาด และเมื่อไมมีกิจอันใดสำหรับตนทำ เจ้าพลก็ออกล่าสัตว์อยู่เสมอ นางเอื้องคำเมื่อรักษาเมืองอยู่ได้เดือดเศษ ขุนจาดยังไม่กลับ นางเห็นเจ้าพลออกล่าสัตว์บ่อยๆ จึงตามไปบ้าง เจ้าพลมิอาจจะขัดใจได้จำต้องให้นางไปด้วย เจ้าพลนี้รูปงาม และเมื่อนางเอื้องคำได้ใกล้ชิดกับเจ้าพลมากขึ้น นางก็มีใจรักเจ้าพล วันหนึ่งระหว่างที่หยุดพักอยู่ในป่า และขณะนั้นบ่าวที่ไปด้วยกระจายกันไปที่อื่น นางเอื้องคำกับเจ้าพลนั่งพิงต้นไม้อยู่โดยลำพังสองคน นางเอื้องคำเห็นเจ้าพลหลับอยู่ นางจึงทอดตัวลงที่อกเจ้าพลและกอดเจ้าพลไว้ เจ้าพลรู้สึกตัวเห็นนางกระทำเช่นนั้นก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า " สูเป็นมารดาเลี้ยงของข้าไม่ควรกระทำดังนี้ "
นางเอื้องคำกล่าวว่า " ข้าอยู่กับขุนจาดมานานแต่จะมีใจรักขุนจาดห็หาไม่ ขุนจาดดื่มแต่สุราและพอใจเอาหญิงอื่นมาไว้บำเรอ ขณะนี้ข้ารักษาเมือง หากสูจะมีน้ำใจต่อข้า เมืองเม็งจะเป็นของเราทั้งสอง " เจ้าพลได้ฟังก็โกรธและกล่าวว่า " ขุนจาดนั้นถึงจะชั่วก็เป็นบิดาข้า ถึงจะโหดดร้ายแต่ก็ชราแล้ว สูจะให้ข้าทำกรรมชั่วกับสูนั้นข้าอายใจนัก เป็นมารดาเลี้ยงข้าแล้วจะมาเป็นภรรยาข้าไม่อายต่อเทพยดาบ้างหรือ หากสูพูดเรื่องนี้ขึ้นอีก ข้าจะแจ้งแก่ขุนจาด "
นางเอื้องคำได้ฟังก็แค้นใจ เรียกบ่าวของนางกลับยังวังทันที และนางคิดเกรงว่าเจ้าพลจะนำความไม่ดีของนางไปแจ้งแก่ขุนจาด นางจึงเขียนหนังสือเป็นความว่า " นางเอื้องคำถึงขุนจาดที่ข้าได้รับมอบให้รักษาเมืองระหว่างสูมาศึกครั้งนี้เจ้าพลบุตรของสูบังอาจคิดมิชอบด้วยว่ามีใจโกรธแค้นที่สูฆ่านางจันสีมารดา บัดนี้เจ้าพลยุยงให้ข้าแข็งเมือง และจะเอาข้าเป็นภรรยา บางวันก็มาปลุกปล้ำข้าในห้อง ข้าจึงมีหนังสือมาให้สูรู้ว่าข้าจะต้องจับเจ้าพลฆ่าเสีย "
แล้วนางเอื้องคำมอบหนังสือให้ม้าเร็วถือ ไปยังขุนจาดที่เมืองภูสันตอง ม้าเร็วก็นำหนังสือนั้นใส่ย่ามขึ้นม้าไป และในย่ามนั้นใส่เนื้อย่างไว้เป็นเสบียงในการเดินทาง แล้วนางเอื้องคำให้ทหารซุ่มอยู่ในวังเพื่อจะฆ่าเจ้าพล ม้าเร็วที่ถือหนังสือของนางเอื้องคำมานั้น เมื่อตกเย็นก็ลงจากม้ามานั่งกินอาหารที่โคนต้นไม้ และด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงม่อยหลับไป สุนัขป่าตัวหนึ่งแอบเข้ามาคาบย่ามไป ซึ่งมีทั้งเนื้อย่างที่เหลือและจดหมายของนางเอื้องคำ ม้าเร็วผู้นั้นเมื่อตื่นขึ้นมองหาย่ามไม่พบ ครั้นจะกลับไปบอกนางเอื้องคำก็เกรงโทษ จึงหลบไปอยู่เมืองอื่น
ฝ่ายเจ้าพลเมื่อนางเอื้องคำกลับไปแล้ว ก็กลุ้มอยู่ด้วยมิรู้ว่านางเอื้องคำจะโกรธตนเพียงใด เจ้าพลจึงเข้าป่าล่าสัตว์ต่อไปอีก ครั้นตะวันใกล้ตกดินเจ้าพลเดินทางจะกลับเข้าเมือง เห็นสุนัขป่าตัวหนึ่งคาบย่ามผ่านหน้าไป เจ้าพลเอาไม้ขว้างสุนัขตัวนั้นทิ้งย่ามและวิ่งหนีไป เจ้าพลเก็บย่ามมาตรวจดูเห็นจดหมายนางเอื้องคำมีถึงขุนจาด เจ้าพลเปิดอ่านเมื่อทราบข้อความแล้ว เจ้าพลกล่าวแก่บ่าวที่ตามมาว่า " ข้าอยู่ที่เมืองเม็งต่อไปไม่ได้แล้ว ด้วยว่านางเอื้องคำจะสังหารข้า หากแต่ชะตาข้ายังไม่ถึงฆาต สุนัขป่าจึงช่วยข้าไว้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อีก "
แล้วเจ้าพลขับม้ามุ่งไปยังเมืองลือ เมื่อถึงเจ้าพลไปหาบุญปัน และเล่าเรื่องให้ฟังและขออาศัยอยู่ในเมืองลือ บุญปันก็ต้อนรับเจ้าพลเป็นอันดี และจัดเรือนพักให้ แล้วบุญปันแจ้งแก่กุมภวาว่า " บัดนี้เจ้าพลบุตรคนใหญ่ของขุนจาดหลบหนีมาพักอยู่ที่นี่ สูเห็นประการใด "
กุมภวากล่าวแก่บุญปันว่า " หากขุนจาดตายเมื่อใด เจ้าพลายคงจะหาเหตุวิวาทกับแคว้นเรา เพราะเจ้าพลเข้ามาพำนักอยู่ในแคว้นเรา แต่เป็นโอกาสแล้วที่เราจะได้หาทางจัดการให้เจ้าพลเป็นเจ้าเมืองแคว้นเม็ง เพื่อแคว้นไทต่างๆ จะได้อยู่กันอย่างสงบ "
ตั้งแต่นั้นมาเจ้าพลก็พำนักอยู่ในเมืองลือ

๑๐...

ขุนจาดล้อมเมืองภูสันตองอยู่เดือนเศษ ก็มิอาจจะเข้าเมืองได้ เสบียงอาหารขาดแคลนลง ขุนจาดจึงให้ทหารผลัดเวรกันออกไปบังคับเอาเสบียงจากหมู่บ้านต่าง ๆ เมื่อชาวบ้านไม่ให้ทหารเม็งก็ปล้นสะดมเอา และบ้านใดมีหญิงสาวทหารของขุนจาดก็ฉุดคร่าเอามาตามใจชอบ ผู้ใดขัดขืนทหารก็ฆ่าเสียเมื่อมีผู้ใดมาฟ้องแก่ขุนจาด ขุนจาดก็หาได้ชำระความให้ไม่
เย็นวันหนึ่ง มีหทหารของขุนจาดคนหนึ่งมัดหญิงสาวเข้ามาในค่าย เสื้อผ้าของหญิงนั้นแม้จะยับแต่ก็งาม นางขัดขืนทหารเม็งผู้นั้นตลอดทาง ขุนจาดจึงเรียกทหารผู้นั้นเข้ามา และถามว่า " สูได้หญิงผู้นี้มาจากที่ใด " ทหารผู้นั้นตอบว่าื " หญิงคนนี้ชื่อแว่นทอง อยู่บ้านม่วงสน พวกข้าไปเกณฑ์เสบียงที่นั่น แต่ชาวบ้านไม่ต้อนรับเราเลย ข้าเห็นที่เรือนหนึ่งกำลังเพลิดเพลินกันอยู่ จึงเข้าปล้นได้เสบียงมาบ้าง ส่วนข้าได้นางผู้นี้
ขุนจาดมองดูแว่นทอง เห็นนางมีเรือนร่างสูงแข็งแรง ผิวขาว อิ่มเอิบ และใบหน้างาม ขุนจาดใคร่จะได้ไว้บำเรอตน จึงถามนางแว่นทองว่า " สูเต็มใจจะอยู่กับทหารของข้าคนนี้หรือ ข้าคือขุนจาดเจ้าเมืองเม็ง หากสูไม่เต็มใจ ข้าจะได้ช่วย " นางแว่นทองรู้ว่านางได้พบกับเจ้าเมืองก็ยินดี นางกล่าวว่า " ขอเจ้าเมืองกรุณาข้าเถิด วันนี้ข้ากำลังวิวาห์กับคำยี่คนของข้า แต่ขณะที่กำลังอยู่ในพิธี เราก็ถูกแยกจากกัน เพราะว่าทหารเม็งเข้าปล้นและฆ่าคนตายไปหลายคน คำยี่ถูกแทงล้มลง ข้าเข้าประคองไว้ ทหารคนนี้จับข้ามา มิรู้ว่าคำยี่จะเป็นตายอย่างใด เจ้าเมืองให้ข้ากลับไปดูคำยี่เถิด "
ขุนจาดจึงกล่าวแก่ทหารผู้นั้นว่า " เมื่อนางไม่เต็มใจจะอยู่กับสู ข้าจะซื้อนางไว้ " แล้วขุนจาดให้ทหารผู้นั้นนำนางไปไว้ในกระโจมของตน และบำเหน็จทหารผู้นั้น ทหารผู้นั้นจำต้องยอมต่อขุนจาด ขุนจาดให้บ่าวหญิงมาปรนนิบัตินางเป็นอันดี นางแว่นทองก็กล่าวแก่ขุนจาดว่า " สูช่วยข้าพ้นจากทหารผู้นั้น ก็เป็นบุญคุณที่สุดแล้ว ให้ข้าได้กลับไปเถิด คำยี่บาดเจ็บมาก ขอให้ข้าได้ไปดูเขาเถิด "
ขุนจาดกล่าวว่า " สูรักคำยี่มากนัำกหรือ คำยี่เป็นแต่ชาวบ้าน หากสูเป็นภรรยาคำยี่ สูจะต้องทำงานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ข้าเป็นเจ้าเมือง มีอำนาจเหนือคนทั้งปวง ข้าจะให้ความสุขแก่สูทุกอย่าง จึงได้ให้นางเหล่านี้มาปรนนิบัติให้สูได้ความสบาย " นางแว่นทองเมื่อทราบว่าขุนจาดจะกักนางไว้ ก็ร้องไห้นางยกมืออ้อนวอนขุดจาดและกล่าวว่า " สูเป็นเจ้าเมือง ข้าเป็นเหมือนทาสของสู จงเมตตาเถิด ข้ากับคำยี่รักกันมานาน และเราสาบานไว้ว่าจะไม่แยกจากกัน ขอได้ปล่อยข้าไปดูยี่เถิด "
แต่ขุนจาดนิ่ง นางแว่นทองจึงหนีออกจากกระโจมไป ขุนจาดให้ทหารไล่ตาม นางแว่นทองหนีไม่ทันจึงถูกจับมายังขุนจาดอีก แล้วขุนจาดให้กักนางไว้ในห้อง ในทันใดนั้นทหารยามนำชายหนุ่มผู้หนึ่งมายังขุนจาด ชายนั้นมีเลือดเปื้อนเสื้อผ้าอยู่ และท่าทีอิดโรยมาก ขุนจาดจึงถามว่า " เชลยผู้นี้เป็นใคร " หนุ่มผู้นั้นตอบว่า " ข้ามิใช่เชลย ข้ามา ที่นี่โดยความสมัครใจเพื่อจะพบเจ้าเมือง "
ขุนจาดตอบว่า " ข้าคือเจ้าเมือง " ชายนั้นกล่าวว่า " ข้าชื่อคำยี่ จะแต่งงานกับนางแว่นทองวันนี้ ขณะมีพิธีีอยู่ทหารของสูเข้าไปปล้น เพื่อนข้าหลายคนถูกฆ่าตาย ส่วนข้าถูกทำร้ายสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาข้าจึงตามมาที่นี่ เพราะได้ทราบว่าทหารจับนางแว่นทองมา ขอให้สูสอบถามให้ข้าเถิดว่าผู้ใดนำนางมา แล้วขอนางคืนให้ข้า "
ขุนจาดจึงกล่าวแก่ทหารยามว่า " เวลาเย็นมากแล้ว ข้าไม่มีเวลา จงนำชาวบ้านคนนี้ไปให้พ้น " คำยี่กล่าวว่า " ในแขวงภูสันตองนี้ เรากล่าวกันว่าเจ้าเมืองที่ไม่มีเวลาสำหรับราษฎร ก็จะไม่มีเวลาสำหรับเป็นเจ้าเมือง จงสละเวลาให้แก่คนที่มาร้องทุกข์เถิด " ขุนจาดได้ฟังก็โกรธและกล่าวว่า " คนภูสันตองนี้ปากกล้าเหมือนกันทั้งสิ้น ข้าจะต้องสั่งสอนให้สำนึกตัว "
ขุนจาดได้ฟังก็โกรธและกล่าวว่า " คนภูสันตองนี้ปากกล้าเหมือนกันทั้งสิ้น ข้าจะต้องสั่งสอนให้สำนึกตัว " แล้วขุนจาดให้ทหารจับคำยี่คว่ำลงเฆี่ยน คำยี่ลงนอนกับพื้นให้ทหารเฆี่ยนโดยดีและกล่าวว่า " ข้าจะตายก็ไม่ว่า แต่ขอให้สูช่วยนางแว่นทองให้พ้นไปเถิด " ขณะนั้น นางแว่นทองได้ยินเสียงคนพูดกันเอะอะอยู่ข้างนอก และได้ยินเสียงแส้ ก็มองออกมาข้างนอก เห็นคำยี่ถูกเฆี่ยนอยู่ จึงร้องขึ้นว่า " คำยี่ ข้าอยู่นี้ "
คำยี่ได้ยินเสียงนางแว่นทองก็ลุกขึ้น เดินโผเผไปทางเสียงของนางแว่นทอง แต่เมื่อถึงประตู ขุนจาดชักดาบออกฟันคำยี่ล้มลง คำยี่ร้องได้คำเดียวว่า " แว่นทอง " แล้วก็ขาดใจ นางแว่นทองพังประตูออกมาข้างนอกได้ และวิ่งมากอดศพคำยี่ไว้ ขุนจาดก็บอกให้ทหารนำศพนั้นไปข้างนอก นางแว่นทองจึงเงยหน้าขึ้น และกล่าวแก่ขุนจาดว่า " ข้ากับคำยี่ ได้สาบานกันแล้วว่าจะไม่แยกกัน บัดนี้เราแยกกันแล้ว เจ้าเมืองจงให้ข้าได้อยู่กับคำยี่สักครู่เถิด แล้วข้าจะยอมตามอำนาจของสูต่อไป "
ขุนจาดจึงกล่าวว่า " เมื่อสูรู้อำนาจของข้า และยอมตามอำนาจของข้า ข้าจะตามใจสูบ้าง " แล้วขุนจาดปล่อยนางแว่นทองอยู่กับศพตามลำพัง นางแว่นทองเอาผ้าเช็ดเลือดให้แก่ร่างของคำยี่ และระหว่างนางแต่งแผลให้ร่างของคนรักนั้น นางพบมีดสั้นอยู่ นางจึงดึงมีดนั้นมาซ่อนไว้ในตัว แล้วนางเอาศีรษะซบและกระซิบร่างนั้นว่า " คำยี่เอ๋ยข้าจะตามสูไป คืนนี้มารับข้าเถิด "
แล้วนางกอดร่างนั้นไว้ บ่าวหญิงเห็นนางแว่นทองกอดศพนั้นอยู่นาน ปากก็พร่ำรำพรรณต่างๆ นานา จึงกล่าวว่า " สูจะกอดร่างนั้นให้นานเท่าใด ร่างนั้นจะไม่กอดสูได้ ไม่ช้าคำยี่จะกลายเป็นดินไป แต่ขุนจาดยังอยู่และรักสูมาก วาสนามาถึงแล้ว ยังจะมัวเสียใจอยู่หรือ " นางแว่นทองกล่าวว่า " ข้ากอดศพนี้เพื่อว่าผีของคำยี่จะได้ไม่โกรธข้า หากข้าตกเป็นภรรยาของขุนจาด "
บ่าวหญิงจึงถามว่า " สูจะยอมเป็นภรรยาขุนจาดหรือ ข้าจะได้ไปแจ้งแก่ขุนจาด " นางแว่นทองกล่าว " หากสูจะได้รางวัลจากขุนจาดก็จงไปบอกเถิดว่า ข้ายินยอมแล้ว คืนนี้ข้าจะรอขุนจาดอยู่ " นางบ่าวจึงไปบอกขุนจาดว่า " บัดนี้นางแว่นทองไม่ขัดขืนแล้ว เพราะนางเชื่อคำแนะนำของข้า คืนนี้เจ้าเมืองไปหานางเถิด "
ขุนจาดจึงให้รางวัลนางบ่าวและกล่าวว่า " ข้ายังไม่ไว้ใจนางนัก ให้สูตรวจในห้องให้ทั่ว อย่าให้มีอะไรใช้เป็นอาวุธได้ " นางบ่าวพอใจที่ได้รางวัล ก็บอกแก่ขุนจาดว่านางตรวจเรียบร้อยแล้วแต่จะไปตรวจอีก แต่แล้วด้วยความพอใจในรางวัลที่ขุนจาดให้ นางบ่าวจึงมิได้ไปที่นางแว่นทองอีก
ตกมือ นางแว่นทองก็ถือมีดคอยขุนจาดอยู่ ขุนจาดเมื่อกินอาหารเย็นแล้ว ก็นั่งสนทนาถึงการศึกอยู่กับเจ้่าพลายและคำอ้่ายในกระโจมของคำอ้าย ครั้นมืดลงขุนจาดจะมาหานางแว่นทอง ขุนจาดจึงกล่าวแก่เจ้าพลายว่า " สูจงปรึกษากับคำอ้ายต่อไป ข้าต้องไปแล้ว " ครั้นขุนจาดเดินออกมานอกกระโจมก็สะดุดล้มลง เจ้าพลายจึงกล่าวว่า " พ่ออย่าด่วนไปเลย จงพักเสียก่อน " ขุนจาดจึงกลับเข้าไปในกระโจม พอนั่งลงขุนจาดมองไปทางคำอ้าย เห็นภูตนางจันสีลอยอยู่ข้างบน ขุนจาดเอามือปิดตาและร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เจ้าพลายจึงถามว่า " พ่อไม่สบายหรือ " ขุนจาดตอบว่า " ข้าเห็นปีศาจนางจันสีมารดาของเจ้าพล ข้าจะต้องกลับไปนอน " แล้วขุนจา่ดออกจากกระโจมของคำอ้าย ตรงไปยังที่พักของตน แต่พอเปิดห้องเข้าไปขุนจาดเห็นภูตนางจันสีอีก ขุนจาดก็ปิดหน้าถอยหลังกลับออกมา และขุนจาดได้ยินเหมือนเสียงเรียกของนางแว่นทอง ขุนจาดจึงเดินมายังที่พักของนาง เมื่อขุนจาดเปิดประตูเข้าไป กูถูกนางแว่นทองแทงเอาที่ท้อง และนางแว่นทองกระหน่ำแทงลงไปอีก ขุนจาดล้มลงและร้องไห้คนช่วย นางแว่นทองกระหน่ำขุนจาดต่อไปด้วยแรงของหญิงที่ชินต่องานหนัก จนกระทั่งทหารกรูเข้ามา และเอาดาบฟันนางจนสิ้นใจ แล้วทหารก็นำขุนจาดไปพยาบาล
ขุนจาดรู้ว่าตนชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเรียกนายทั้งปวงมาพร้อมกัน และกล่าวว่า " ข้ามีบุตรอยู่สองคน คือเจ้าพลกับเจ้าพลาย เจ้าพลนั้นเป็นคนอ่อนแอ ถ้าจะให้ปกครองบ้านเมืองต่อไปแคว้นเม็งจะมีแต่ความไม่สงบ ฉะนั้น หากข้าตายไปก็ให้เจ้าพลายปกครองต่อไป "
เมื่อขุนจาดทนบาดเจ็บไม่ได้ก็สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นขุนจาดเห็นภูตนางแว่นทองกับคำยี่ ยืนอยู่คู่กันเหนือศีรษะของตน ภูตทั้งสองนั้นชี้มือมาทางขุนจาดและกล่าวว่า " สูรักทำชั่ว บัดนี้จะได้ไปอยู่แดนชั่วแล้ว " แล้วขุนจาดเห็นภูตคำยี่เงื้อมืดสั้นจะแทงตน ขุนจาดยกมือขึ้นปัดป้องพร้อมกับร้องขึ้น แล้วขุนจาดก็ขาดใจ

๑๑...

เมื่อเจ้าพลายทำศพบิดาแล้ว ก็ปูนบำเหน็จทหารทุกคน และมีหนังสือให้คนถือไปยังแคว้นจิ๋นเป็นข้อความว่า " บัดนี้ ขุนจาดสิ้นไปแล้ว ข้าเจ้าพลายเป็นเจ้าเมืองเม็งแทน และจะรวมแคว้นต่างๆ ของไทให้เป็นพวกของข้าต่อไป ในการนี้จำเป็นต้องจ้างทหารไว้ให้พอเพียง ขอให้แผ่นดินจิ๋นส่งทองมาช่วยเหลืออีก "
จากนั้นเจ้าพลายก็เรียกทหารคนสนิทมาและกล่าวว่า " เจ้าพลชอบเอาหน้ากับราษฎร เมื่อรู้ว่าบิดาตายแล้ว ข้าเป็นเจ้าเมืองแทน เจ้าพลจะไม่พอใจและยุยงชาวเมืองให้กระด้างกระเดื่อง สูจงไปบอกมารดาข้าให้ฆ่าเจ้าพลเสีย "
นางเอื้องคำนั้นเมื่อมีหนังสือถึงขุนจาดกล่าวหาว่าเจ้าพลปลุกปล้ำนางแล้ว เห็นเรื่องเงียบอยู่ คนเดินหนังสือก็มิได้กลับมา เจ้าพลก็หายไปจากเมืองเม็ง นางเอื้องคำให้คนสือก็ได้ความว่า เจ้าพลหลบไปอยู่เมืองลือ และเมื่อนางได้รับแจ้งมาจากเจ้าพลายว่า ขุนจาดตาย เจ้าพลายบุตรของนางเป็นเจ้าเมืองแทน และสั่งให้นางฆ่าเจ้าพลเสีย นางจึงเขียนหนังสือบอกไปว่า เจ้าพลรู้ตัวและหนีไปอาศัยบุญปันเจ้าเมืองลือเสียก่อนแล้ว แล้วนางเอื้องคำก็มอบหนังสือให้ทหารถือไปยังเจ้าพลาย
เมื่อเจ้าพลายทราบจากหนังสือของนางเอื้องคำว่าเจ้าพลหนีไปอยู่แคว้นลือ จึงกล่าวกับคำอ้ายว่า " ตราบใดที่เจ้าพลยังอยู่ข้าจะเป็นเจ้าเมืองไม่เป็นสุข ข้าจะทำประการใดดี " คำอ้ายจึงว่า " เมืองเม็งมีจิ๋นเป็นมิตรอยู่ จะกลัวใยกับแคว้นลือ สูจงตีภูสันตองให้ได้เสียก่อน จึงค่อยจัดการกับแคว้นลือต่อไป หากตีภูสันตองไม่ได้ เราทำศึกด้านอื่นจะลำบาก " เจ้าพลายถามว่า " ทหารของเราล้อมเมืองภูสันตองไว้เกือบสองเดือนแล้ว ยังเข้าเมืองไม่ได้ ทหารเบื่อหน่ายอยู่ เราจะแก้ไขอย่างไร "
คำอ้ายกล่าวว่า " ทหารพวกนี้ไม่ต้องการอะไรยิ่งกว่าบำเหน็จ คือเงินทองกับหญิงสาว สูจงประกาศว่า ถ้าตีเมืองภูสันตองได้จะให้หญิงทุกคนในเมืองเป็นสมบัติของทหาร และทรัพย์สินในเมืองทั้งหมดจะแบ่งให้ทหาร ทหารของเราก็จะมีน้ำใจยิ่งขึ้น "
เจ้าพลายก็ให้ประกาศไปตามคำของคำอ้าย ทหารเมืองเม็งก็มีใจฮึกเหิมยิ่งขึ้น แล้วเจ้าพลายสั่งทหารเข้าโจมตีเมืองภูสันตองต่อไป สีเมฆให้ทหารยิงธนูป้องกันไว้ ทหารเม็งคนใดที่ปีนขึ้นบนกำแพงก็ถูกชาวภูสันตอง ทิ่มแทงหรือฟันตกลงไป และครั้งใดที่นางเพ็งเฮือนได้ยินเสียข้าศึกโห่งร้องเข้าโจมตีเมือง นางจะนำหญิงชาวเมืองออกมาดูและโห่งร้องให้น้ำใจอยู่เบื้องหลัง เมื่อหญิงคนใดเห็นสามีหรือคนรักของตนถอยหนีข้าศึก นางจะร้องบอกไปว่า " สูจะยอมให้ชาวเมืองเม็งมาเอาข้าไปกอดหรือ " และมารดาบางคนเห็นบุตรของตนถอยจากข้าศึกที่ปีนกำแพงขึ้นมาจะร้องบอกไปว่า " สูจะให้แม่ตายเพราะชาวเม็งหรือ "
ชาวภูสันตองมีความละอายต่อคนรักและมารดาของตน จึงมิอาจจะถอยให้ข้าศึก และคงป้องกันเมืองโดยเข้มแข็ง ชาวภูสันตองสู้อยู่จนกระทั่งลูกธนูไม่พอใช้ยิง เข็มเมืองคนมั่งมีแห่งเมืองภูสันตองก็นำเงินของตนทั้งหมดมามอบให้แก่สีเมฆ ให้ทหารเอาเงินนั้นหลอมเป็นหัวลูกธนูบ้าง และคันธนูบ้างใช้ยิงข้าศึกต่อไป ชาวเมืองคนอื่นๆ ก็กระทำตามเข็มเมือง
ฝ่ายเจ้าพลาย เมื่อเห็นฝ่ายภูสันตองยิงธนูที่ทำด้วยเงินออกมา จึงร้องบอกทหารของตนว่า " ชาวภูสันตองจะหมดอาวุธอยู่แล้ว จงโจมตีต่อไป ไม่ช้าหญิงงามของภูสันตองจะเป็นของพวกเรา "
แล้วเจ้าพลายนำทหารเข้าโจมดีฝ่ายภูสันตองติดต่อกันไปอีกสี่วัน แต่มิอาจจะเข้าเมืองได้ เจ้าพลายเสียทหารไปอีกมากจึงให้ล้อมภูสันตองไว้ตามเดิม

๑๒...

ชาวภูสันตองถูกล้อมต่อมาอีกเดือนเศษ เสบียงเหลือน้อยลง เข็มเมืองจึงเปิดฉางของตนมาเฉลี่ยให้ชาวเมือง คนอื่นๆ ก็กระทำตามบ้าง แต่แล้วอีกสิบห้าวันอาหารก็จะหมดลงไปอีก สัตว์ต่างๆ ที่เลี้ยงไว้ก็หมดไป ชาวเมืองบางคนต้องจับหนูกิน สีเมฆจึงเรียกชาวเมืองทั้งปวงมาประชุมและกล่าวว่า " เจ้าพลายไม่เข้าโจมตีเราเพราะรู้ว่าเราต้องรบกับข้าศึกที่ร้ายกว่าชาวเม็ง ข้าศึกนั้นคือความอดอยาก หากเรายอมแพ้ต่อเจ้าพลาย พวกเราจะต้องตายด้วยความโหดร้ายของเจ้าพลาย หากเราไม่ยอมแพ้ เราจะตายเพราะความอดอยาก ข้าเห็นว่าเรามีทางรอดอยู่ทางหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าชาวเมืองจะเห็นด้วยหรือไม่ ข้าจึงประชุมขอความเห็น "
ชาวเมืองจึงถามสีเมฆว่า " ทางนั้นคืออย่างไร " สีเมฆกล่าวว่า " เมื่อเราจะเป็นอิสระโดยลำพังไม่ได้แล้ว เราก็ควรไปรวมอยู่กับเมืองที่มีการปกครองอันเป็นธรรม เมืองนั้นข้าเห็นอยู่คือเมืองลือ หากเรามีัหนังสือไปบอกบุญปัน เจ้าเมืองลือว่าเราสมัครจะรวมอยู่กับเมืองลือ บุญปันคงจะส่งทหารมาช่วย เพราะข้ารู้ว่าบุญปันนั้นต้องการรวมชาวไททั้งปวง เพื่อต่อสู้กับการรุกรานของจิ๋นกาลข้างหน้า " ชาวเมืองภูสันตองต่างก็มีความยินดี เพราะเป็นทางเดียวที่จะรอดตายได้
สีเมฆจึงกล่าวขึ้นว่า " ที่จะให้เมืองลือมาช่วยเรานั้น คนในภูสันตองนี้จะต้องถือหนังสือของข้าฝ่าค่ายเจ้าพลายออกไปงานนี้อันตรายนัก ใครเล่าจะอาสาได้ "
" ข้าจะนำหนังสือนั้นไปเอง " ชายผู้หนึ่งที่นั่งอยูู่เบื้องหลังลุกขึ้นอาสา ทุกคนเหลียวไปดูก็เห็นเป็นบุตรคนใหญ่ของเข็มเมืองชื่อด้วงใหญ่
" พี่ข้าไปคนเดียวไม่พอ งานนี้สองคนจะเหมาะกว่า " เสียงอีกคนหนึ่งเบื้องหลังที่ประชุมกล่าวขึ้น ผู้นั้นคือด้วงน้อย บุตรอีกคนหนึ่งของเข็มเมือง
ชาวภูสันตองสรรเสริญเข็มเมืองว่ามีบุตรกล้าหาญทั้งคู่ แล้วสีเมฆก็เขียนจดหมายลงหนังวัวสองฉบับ มีข้อควยามอยางเดียวกันเป็นความว่า " ข้าสีเมฆ ผู้รักษาแขวงภูสันตอง ถึงบุญปันเจ้าเมืองลือ ที่ข้ากับชาวภูสันตองแข็งเมืองต่อขุนจาด เพราะขุนจาดมิได้ปกครองเพื่อราษฎร ขุนจาดกระทำความโหดร้ายต่างๆ จนเดือดร้อนกันทั่วไป ภาษีที่ขุนจาดบังคับเก็บจากราษฎรก็นำไปให้พวกของตนใช้โดยมิชอบ และนำไปจ้างทหารสำหรับรักษาอำนาจของตน ข้้าเตือนขุนจาดโดยดีแต่ขุนจาดกลับลวงข้าเข้าไปในวังเพื่อจะฆ่าเสีย แต่เจ้าพลบุตรขุนจาดนั้นเองแจ้งให้ทราบถึงภัย ข้าจึงรอดมาได้และแข็งเมืองขึ้นพร้อมกับชาวเมืองภูสันตองทั้งปวง ขุนจาดยกทัพมาหมายจะทำลายเมืองภูสันตองให้ได้ แต่ก็ได้เพียงแค่ล้อมเมืองไว้ ในระหว่างล้อมเมืองนั้นการพูดจาระหว่างทหารฝ่ายล้อมกับฝ่ายถูกล้อมย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ข้าจึงทราบว่า เจ้าพบบุตรขุนจาดหนีมาอยู่กับสูในเมืองลือ ส่วนขุนจาดนั้นถูกนางแว่นทองฆ่าตายเพราะความชั่วของตน เวลานี้เจ้าพลายเป็นเจ้าเมืองเม็งแทน และเจ้าพลายยังล้อมภูสันตองอยู่โดยหวังจะทำลายเมือง ชาวภูสันตองถึงแม้จะพร้อมใจกันต่อสู้ แต่ถ้าไม่มีกำลังจากที่อื่นมาช่วย ชาวเมืองก็คงจะตกเป็นเครื่องเซ่นของทหารเจ้าพลายในไม่ช้า ส่วนหญิงชาวภูสันตองนั้น เจ้าพลายประกาศแล้วว่าจะมอบให้่เป็นสมบัติของทหารของเขา เวลานี้ชาวเมืองภูสันตองกำลังอดอยาก จะสู้ต่อไปไม่ได้นาน เราจึงปรึกษาและพร้อมใจกันขอรวมกับแคว้นลือ เช่นเดียวกับที่ลือและเชียงแสรวมเข้ากัน ที่เรากระทำครั้งนี้จะเรียกว่าเราขบถต่อแคว้นเม็งหาได้ไม่ หากว่าแคว้นเม็งมีเจ้าเมืองที่อยู่ในธรรมและรู้การปกครอง เราจะไม่แข็งเมือง เมื่อสูได้ข่าวนี้แล้วจงรีบมาช่วยโดยเร็ว เพราะว่าความอดอยากกำลังเป็นศัตรูที่เราไม่อาจจะจับอาวุธต่อสู้ได้ หากจะไม่มาช่วยเพระไม่สนใจจะให้เรารวมกับแคว้นลือ ก็ขอได้มาช่วยเพราะเรากำลังถูกอำนาจชั่วทำลายอยู่ "
แล้วสีเมฆมอบจดหมายให้แก่ด้วงใหญ่และด้วงน้อยคนละฉบับ คืนนั้น พี่น้องทั้งสองหย่อนตัวลงจากกำแพงเมือง ด้วยใหญ่ถือดาบ ด้วงน้อยถือหอกซัด ส่วนจดหมายของสีเมฆนั้น แต่ละคนผูกไว้ที่เอวของตน แล้วสองพี่น้องก็คลานฝ่าความมืดไป คืนนั้นฝนตกหนัก
ในคืนนั้นเองเจ้าพลายได้เรียกประชุมนายกองทั้งปวง และกล่าวว่า " เราล้อมภูสันตองมานาน แต่ก็ยังทำลายเมืองนี้ไม่ได้ จะมีผู้ใดหรือไม่ที่กล้าอาสาลอบปีนขึ้นไปในเมืองภูสันตอง เพื่อฟังข่าวว่า ชาวเมืองมีอาวุธและเสบียงสู้ไปได้อีกนานเท่าใด หรือว่าชาวเมืองหวังว่าเมืองอื่นจะมาช่วยเหลือจึงได้ขืนสู้อยู่ ใครทำงานนี้ได้ข้าจะให้กินอำเภอภูเวียง ซึ่งมีลูกบ้านอยู่พันคนเศษ หากว่าปีนขึ้นไปจับคนเดินยามบนกำแพงมาได้ งานนี้ก็จะสำเร็จ คืนนี้ฝนตกคนเดินยามคงไม่ระวังตัว แต่จะต้องไปกันสองคนเพื่อช่วยเหลือกัน "
ชายหนุ่มสองคนลุกขึ้นอาสา คนหนึ่งชื่อหนานจัน อีกคนหนึ่งชื่อหนานอิน เจ้าพลายมอบดาบให้คนละเล่ม และเชือกขดหนึ่ง ครั้นตกดึก ทั้งสองคนก็ออกจากค่ายวิ่งฝ่าฝนและความมืดไป
ด้วงใหญ่กับด้วงน้อยค่อยคลานมาทางค่ายของฝ่ายเม็ง พอใกล้จะถึงสองพี่น้องได้ยินฝีเท้าคนวิ่งผ่านตนไป เมื่อมองไปก็เห็นคนสองคนวิ่งไปทางกำแพงเมือง ด้วงใหญ่จึงกล่าวแก่น้องชายว่้า " ข้าศึกคงจะส่งคนไปสอดแนมหรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในเมืองเรา สูกับข้าช่วยกันจับให้ได้จะได้รู้ว่าข้าศึกจะทำอะไร และบางทีเราจะได้รู้ว่าค่ายของข้าศึกด้านใดเราจะผ่านไปได้ง่าย "
แล้วสองพี่น้องก็วิ่งตามคนทั้งสองไป เมื่อเข้าใกล้ด้วงน้อยพุ่งหอกไปถูกกลางหลังหนานจันล้มลงดิ้นขาดใจ หนานอินเห็นเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนักและวิ่งหนีไป ด้วงใหญ่วิ่งสกัดไว้ หนานอินก็วิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง และทุ่งหน้าเมืองภูสันตองนี้ด้วงใหญ่กับด้วงน้อยเคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เล็กก็รู้ว้าที่ใดเป็นโขดที่ใดมีหลุมมีบ่อ ดังนั้นชั่วครู่เดีวสองพี่น้องก็จับหนุ่มจากเมืองเม็งได้ ด้วงใหญ่พี่ชายจิกผมหนานอินไว้พร้อมกับเงื้อดาบสุดแขนทำท่าจะฟัน
หนานอินปากคอสั่น ร้องละล่ำละลักขึ้นว่า " ไว้ชีวิตข้าเถิด จะให้ข้าทำอย่างไร ข้าจะยอมทั้งสิ้น ขอแต่ให้ข้าได้อยู่ต่อไปเถิด " ด้วงใหญ่มองหน้าหนานอิน เห็นมีน้ำตาไหลพราก ด้วงใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า " ข้าจะให้สูอยู่ต่อไปหรือไม่เอาไว้พูดกัน แต่ข้าอยากรู้ว่าสูกับเพื่อนที่ตายไปแล้ว วิ่งไปทางกำแพงเมืองภูสันตองเพื่ออะไร "
หนานอินตอบว่า " ข้าเป็นทหารเม็ง เจ้าพลายอยากรู้ว่าสีเมฆมีอาวุธและเสบียงพอจะสู้ไปได้อีกนานเท่าใด และจะมีเมืองใดมาช่วยสีเมฆหรือไม่ ข้ากับหนานจันจึงอาสาจะมาจับคนยามไป " ด้วงใหญ่ถามต่อไป " ที่สูจะปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้วไปจับคนภูสันตองมาซักถามเอาความเรื่องนี้ให้ได้นั้นไม่ใช่งานง่ายนัก ทำไมสูจึงอาสา "
หนานอินตอบว่า " เรารู้ว่าชาวเมืองภูสันตองอ่อนเพลียลงมากแล้ว การระวังยามคงไม่แน่นหนา ข้าจึงคิดว่้าจะทำได้สำเร็จ และเจ้าพลายจะให้ข้าสองคนกินอำเภอภูเวียง ซึ่งมีลูกบ้านพันเศษข้าจึงอาสามา " แล้วหนานอินอ้อนวอนสองพี่น้องชาวภูสันตองต่อไปว่า " ปล่อยข้าเถิด แล้วข้าจะกลับไปเป็นไส้ศึกให้ในค่ายของเจ้าพลาย "
ด้วงใหญ่หัวเราะและกล่าวว่า " ข้าจะให้สูกลับไปเป็นไส้ศึกหรือไม่ ข้าจะคิดดูก่อน แต่จงบอกมาว่าค่ายของฝ่ายเม็งนั้น ตอนใดทหารเม็งระวังค่ายอย่างไร นายทัพต่างๆ ของเม็ง ตั้งกระโจมอยู่ที่ใดและม้าอยู่ที่ใด "
หนานอินก็เล่าให้พี่น้้องทั้งสองฟังและกล่าวต่อไปว่า " ด้านใต้ซึ่งบุญเ้กิงคุมทหารอยู่นั้น เจ้าพลายไม่ไว้ใจด้วยว่า บุญเกิงเคยทรยศต่อฝ่ายสีเมฆมาก่อน ก็อาจจะทรยศต่อเจ้าพลายได้ เจ้าพลายจึงให้ทหารแก่บุญเกิงน้อยกว่าด้านอื่น บุญเกิงเสียใจและไม่เอาใจใส่การศึก กลา่งคืนก็ดื่มสุรา มิไดด้ตรวจตราให้ทหารระวังยาม หากสูจะต้องการรู้ว่าข้าพูดความจริงหรือไม่ จงมัดข้าไว้ที่นี่แล้วไปจับทหารของบุญเกิงมาสอบถามดูเถิด หากเป็นความจริงตามที่ข้าพูดก็จงปล่อยข้าไป หรือสูจะเข้าไปจับบุญเกิงก็อาจจะทำได้ เพราะนอนอยู่ในกระโจม โดยมิได้ระวังตัว ด้วยเข้าใจว่าภัยจากฝ่ายภูสันตองจะไม่ไปถึงตัวได้ เพราะภูสันตองถูกล้อมอยู่ " แล้วหนานอินก็คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตต่อไป
ด้วงใหญ่จึงกล่าวแก่น้องชายของตนว่า " บุญเกิงนี้หาความสัตย์ไม่ได้ หากคนนี้ไม่หักหลังฟ้าเกิดกับสีเมฆ ฝ่ายเราจะตีเมืองเม็งได้นานแล้ว เราฝ่าเข้าไปทางค่ายบุญเกิงเถิด และฆ่าบุญเกิงเสียก่อนที่เราจะออกไป "
แล้วด้วงใหญ่หันไปทางหนานอิน และกล่าวว่า " สูทำงานมากับขุนจาดจนเสียนิสัย เพราะขุนจาดสร้างการปกครองที่ชั่ว เจ้าพลายลูกขุนจาดก็พลอยชั่วไปด้วย ขุนจาดจะส่งคนไปเป็นเจ้าเมืองที่ใด ขุนจาดก็บปกให้คนนั้นไปกินเมืองนั้น คนที่ถูกส่งไปก็จะรู้สึกภูมิใจที่ได้ไปกินเมือง และคิดว่าตนเป็นนายเหนืิอราษฎร หาได้คิดไม่ว่าที่ทำเช่นนั้นตนเองเป็นแร้งไปเสียแล้ว และเห็นราษฎรเป็นซากศพสำหรับจิกกิน การศึกครั้งนี้ไม่ว่า ฝ่ายภูสันตองหรือเจ้าพลายจะมีชัย ถ้าข้าปล่อยสูไป ความคิดของสูที่เห็นราษฎรเป็นเครื่องเลี้ยงชีพจะอยู่ต่อไป ถ้าข้าทำลายสูเสีย คนที่จะเป็นแร้งจิกกินราษฎรจะน้อยลงไปได้คนหนึ่ง อนึ่งเล่า สูว่าจะเป็นไส้ศึกให้ข้าคนมีน้ำจทรยศใครเล่าจะคบได้ ดังนั้นสูจงตายเสียเถิด "
หนานอินอ้าปากจะอ้อนวอนขอชีวิตตนต่อไป แต่ยังมิทันที่จะเอ่ยคำ ดาบของด้วงใหญ่ก็ฟาดมาตัดคอหนานอินขาด และปากนั้นพะงายอยู่เหมือนจะอ้อนวอนต่อไป
แล้วสองพี่น้องก็คลานไปทางด้านใต้ซึ่งเป็นด้านที่บุญเกิงรักษาอยู่ เมื่อไปถึง สองพี่น้องเห็นกระโจมใหญ่ตั้งอยู่กลาง ก็แน่่ใจว่าเป็นกระโจมบุญเกิง ทหารรอบกระโจมนอนหลับทั้งสิ้น สองพี่น้องย่องเข้าไปในกระโจมเห็นบุญเกิงนอนหลับ มีดาบแขวนอยู่เหนือศีรษะ และเห็นม้าผูกอยู่ตัวหนึ่งหลังกระโจมนั้น ด้วงใหญ่ปลดดาบที่แขวนอยู่ออกมาและฟันบุญเกิงคอขาด ไม่มีทหารคนใดตื่นเลย สองพี่น้องจึงไปแก้เชือกม้า ทันใดนั้น ม้าร้องขึ้น พวกทหารที่นอนอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้น สองพี่น้องเตรียมจะขึ้นหลังม้าควบไปแต่ทหารคนหนึ่งน้าวธนูยิงไปถูกด้วงน้อย ก่อนที่จะขึ้นหลังม้าได้ ด้วงน้อยร้องบอกพี่ชาย " สูจงไปเถิด อย่าหวงข้า "
แล้วด้วงน้อยเข้าปะทะทหารเม็งไว้ และต่อสู้จนในที่สุดถูกทหารเม็งรุมแทงจนตาย ส่วนด้วงใหญ่นั้นขับม้าหนีไปได้ ทหารเม็งนำศพด้วงน้อยไปยังเจ้าพลาย เจ้าพลายให้ทหารค้นในตัว ก็พบจดหมายของสีเมฆที่ขอมอบเมืองภูสันตอง ให้รวมกับแคว้นลือ และให้บุญปันส่งทหารมาช่วย
เจ้าพลายจึงถามคำอ้ายว่า " สีเมฆคิดมอบเมืองภูสันตองให้แคว้นลือเช่นนี้ เราควรจะทำประการใดต่อไป " คำอ้ายกล่าวว่า " ชาวภูสันตองอีกคนหนึ่งที่ฝ่าค่ายของเราไปได้นั้นคงจะนำทัพลือมาในไม่ช้า และทัพลือเวลานี้เข้มแข็งอยู่ สูควรจะแจ้งไปยังแคว้นไต๋ให้ขุนสินนำทัพมาช่วยโดยเราจะแบ่งภูสันตองให้ขุนสินครึ่งหนึ่งเป็นรางวัล ดีกว่าเราต้องเสียภูสันตองทั้งหมด "
เจ้าพลายก็เห็นด้วย วันรุ่งขึ้นเจ้าพลายจึงให้ทหารถือหนังสือไปยังขุนสินเจ้าเมืองไต๋ หนังสือนั้นมีความว่า " ข้าเจ้าพลายขออวยพรมายังขุนสิน ด้วยว่าเมืองเราทั้งสองมีไมตรีกันมานานและการปกครองก็มีเจ้าเมืองสืบตระกูล ปกครองในแบบเดียวกัน บัดนี้แขวงภูสันตองซึ่งเคยรวมอยู่กับแคว้นเม็ง ของข้าเป็นขบถแข็งเมือง ขุนจาดบิดาข้ายกทัพมาปราบ แต่ขุนจาดสิ้นชีวิตเสียระหว่างศึก ข้าเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา และยังคงล้อมเมืองภูสันตองอยุ่ บัดนี้สีเมฆผู้รักษาเมืองภูสันตอง ให้คนไปขอกำลังจากบุญปันซึ่งชาวลือตั้งให้เป็นเจ้าเมือง และสีเมฆยอมยกภูสันตองไปขึ้นกับแคว้นลือ หากบุญปันยกทัพมาช่วยภูสันตอง เมืองเม็งจะต้องเสียทีแก่ทัพลือได้ และแคว้นลือก็จะเป็นใหญ่กว่าแคว้นใดๆ แคว้นไต๋ของสูก็จะไม่ปลอดภัย หากสูไม่ประสงค์จะให้แคว้นลือมีอำนาจเหนือแคว้นทั้งปวง ก็จงรีบนำทัพมาช่วยเถิด ข้าจะแบ่งเมืองภูสันตองให้ครึ่งหนึ่ง "
อันว่าขุนสินเจ้าเมืองไต๋นี้เป็นเจ้าเมืองมีอำนาจเด็ดขาด แต่เป็นที่รักของชาวเมืองไต๋ทั่วไป เพราะขุนสินรู้จักปกครองราษฎรด้วยความเป็นธรรม เมื่อขุนสินได้รับหนังสือของเจ้าพลายแล้ว จึงให้ขุนสายผู้เป็นน้องรักษาเมืองแทน และขุนสินนำทหารห้าพันไปยังแขวงภูสันตอง

๑๓...

ฝ่ายด้วงใหญ่เมื่อมาถึงแคว้นลือ ก็ตรงไปหาบุญปันเจ้าเมืองและนำหนังสือของสีเมฆมอบให้ บุญปันถามด้วงใหญ่ว่า " เหตุใดสูจึงฝ่าค่ายของเจ้าพลายออกมาได้ " ด้วงใหญ่เล่าให้ฟัง แล้วร้องไห้คิดถึงด้วงน้อยน้องชาย
บุญปันเอามือโอบหลังหนุ่มภูสันตองแล้วปลอบโยนว่า " ด้วงใหญ่เอย อย่าได้เสียใจเลย ความตายเช่นที่น้องชายของสูประสบนั้นคนดีทุกคนย่อมแสวงหา เพราะว่าแท้จริงแล้วเขาหาได้สูญไปไม่ เพียงแต่ว่าเขามอบชีวิตของเขาให้แก่ชาวภูสันตองทั้งปวง และชีวิตของชาวภูสันตองรวมทั้งความสุขและความดีข้างหน้าของชาวเมือง จะมีน้องของสูรวมอยู่ด้วยตลอดไป "
แล้วบุญปันก็เรียกประชุมชาวลือ เพื่อให้ตัดสินใจว่าควรจะไปช่วยเมืองภูสันตองหรือไม่ ชาวลือข้างมากก็ยอมให้บุญปันระดมคนไปช่วยเมืองภูสันตอง ด้วงใหญ่ได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ เขาเข้าไปหาบุญปันและกล่าวว่า " เมื่อแคว้นลือจะไปช่วยพวกเราเช่นนี้ ชาวภูสันตองควรจะรู้ข่าวโดยเร็ว ข้าขอลาสูไปก่อน "
บุญปันกล่าวว่า " เมื่อสูกับน้องชายฝ่ายค่ายของเจ้าพลายมานั้น ได้ฆ่าบุญเกิงนายทัพคนหนึ่งของเจ้าพลายตาย สูจะต้องฝ่าค่ายเจ้าพลายกลับไปอีกนั้นยากนัก เพราะเจ้าพลายจะต้องระวังค่ายยิ่งขึ้น จงไปพร้อมกับชาวลือเถิด " ด้วยใหญ่ตอบว่า " หากข้าคอยไปกับทัพลือ ซึ่งจะต้องเสียเวลาเตรียมอยู่บ้าง จะเป็นการล่าช้าไป สีเมฆอาจจะต้องยอมจำนนเสียก่อน เวลานี้ชาวภูสันตองกำลังอดอยากอย่างที่สุด แล้วข้าจะต้องรีบไปแจ้งแก่สีเมฆไว้ก่อน "
แล้วด้วงใหญ่ก็ขึ้นม้ารีบตรงมายังเมืองภูสันตอง เมื่อด้วงใหญ่ไปแล้วบุญปันจึงเรียกประชัมพนักงานเมือง และกล่าวว่า " ผู้ใดควรจะเป็นแม่ทัพยกไปช่วยภูสันตอง "
กุมภวากล่าวว่า " ที่แคว้นเราจะไปช่วยภูสันตองคราวนี้ ก็เพื่อช่วยผู้ที่ถูกข่มเหง หาใช่เราจะคิดเอาภูสันตองไว้ในอำนาจไม่ ภูสันตองเคยรวมอยู่กับแคว้นเม็งก็ควรจะอยู่กับแคว้นเม็ง เจ้าพล จึงควรนำทัพไปช่วยภูสันตอง " เจ้าพล ซึ่งอยู่ที่นั้นด้วยลุกขึ้นกล่าวว่า " การเป็นเจ้าเมืองนั้น ถ้าจะทำให้ข้าช่วยเหลือชาวเม็งได้ข้าก็ยินดี เมื่อชาวลือไว้ใจข้า ข้าจะขอนำทัพไปช่วยภูสันตอง "
กุมภวากล่าวว่า " ในทัพของเจ้าพลายนั้นจะมีทหารที่ถูกเกณฑ์มาโดยมิได้สมัครใจ และตัวเจ้าพลายนั้นก็เป็นน้องของสู สูจะมีใจทำศึกกับคนเหล่านั้นหรือ "
เจ้าพลกล่าวว่า " เมื่อคนดีไปรวมอยู่กับคนชั่วในเรือลำเดียวกัน ก็จะต้องร่วมชะตากัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าพลายนั้น ถึงจะเป็นน้องข้า แต่ก็กระทำการไม่สมควร อนึ่งที่ชาวลือจะไปช่วยภูสันตองครั้งนี้ก็เพื่อ ให้ชาวเม็งพ้นการปกครองที่ชั่ว ข้าเป็นชาวเม็งจะร่วมมือกับสูมิได้หรือ ขอให้ไว้ใจข้าเถิด " กรมการเมืองลือทั้งปวงก็ยอมให้เจ้าพลเป็นแม่ทัพไป กุมภวาเรียกทหารได้หกพัน มอบให้เจ้าพลและให้ธงผาเป็นผู้ช่วยไปกับเจ้าพลด้วย

๑๔...

ด้วงใหญ่เมื่อรอนแรมมาถึงเขคภูสันตองก็ขับมาขึ้นไปบนไหล่เขา ด้วงใหญ่มองไปเห็นฝ่ายเม็งเดินกันขวักไขว่ก็รู้ว่า เจ้าพลายให้ทหารระวังค่ายแข็งแรง และเมื่อมองไปในเมืองภูสันตองของตนก็เห็นทุกอย่างเงียบ ด้วงใหญ่ก็รู้ว่าชาวภูสันตองแทบจะหมดแรงและหมดน้ำใจที่จะสู้ต่อไปแล้ว และด้วงใหญ่คิดว่า บัดนี้มารดาและบิดาของตนจะต้องหิวโหยเหลือที่สุดแล้ว
" ข้าจะต้องไปให้ถึงกำแพงเมืองให้ได้ " ด้วงใหญ่กล่าวแก่ตนเอง แล้วเขาชักดาบออกโยนฝักดาบทิ้ง แล้วควบม้าตรงไปยังค่ายของทหารเม็ง ทหารเม็งเห็นคนควบม้าเข้ามาโดยเร็วก็ฉงนอยู่้ มิรู้ว่าเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู และเห็นผู้ที่ควบม้ามาไม่ลดฝีเท้าลงเลย ทหารเม็งก็เตรียมตัวไ้ว้ พอดีด้วงใหญ่เข้ามาถึง และฟาดฟันทหารเม็งตายไปหลายคน หมายจะฝ่่าค่ายทหารเม็งไป แต่ทหารเม็งสกัดไว้แน่นหนา ด้วงใหญ่ชักม้าไปทางขวาไล่ฆ่าทหารเม็งตายไปอีกหลายคน แต่ก็ไม่สามารถฝ่าแนวนั้นไปได้ และชักม้ากลับมาทางซ้ายไล่ฆ่าฟันทหารเม็งต่อไป เจ้าพลายเห็นดังนั้นจึงร้องบอกทหารว่า " ผู้นั้นจะต้องมีข่าวติดตัวมา จงจับไว้ให้ได้ "
ทหารเม็งก็ล้อมด้วงใหญ่ไว้ ทหารเม็งตายด้วยดาบของด้วงใหญ่อีกหลายคน แต่่ในที่สุดม้าของเขาถูกแทงล้มลง ทหารเม็งกรูเข้าจับด้วงใหญ่ได้และมัดตัวนำไปยังเจ้าพลาย
เจ้าพลายให้ทหารจุดไต้มาตัั้งไว้ตรงหน้าด้วงใหญ่ และกล่าวแก่ด้วงใหญ่ว่า " ข้าคือเจ้า่เมืองเม็ง หากสูไม่อยากถูกทรมานด้วยไต้ดวงนี้ จงบอกมาตามจริงว่า เหตุใดจึงบุกเข้ามาในค่ายนี้ "
ด้วงใหญ่กล่าวว่า " ข้าคือคนที่ฆ่าบุญเกิง บัดนี้ข้ากลับมา จะนำข่าวจากเมืองลือไปแจ้งแก่สีเมฆในเมือง "
เจ้าพลา่ยถามว่า " เมืองลือจะมาช่วยสีเมฆหรือ "
ด้วงใหญ่ตอบว่า " ใช่ "
เจ้า่พลายได้ฟังก็สะดุ้ง และกล่าวแก่ด้วงใหญ่ว่า " ชีวิตของสูเวลานีี้อยู่ที่ปากของข้า หากสูจะช่วยข้า ข้าจะไว้ชีวตให้และจะให้รางวัลงาม "
ด้วงใหญ่กล่าวว่า " จงบอกมาเถิดว่าข้าจะรอดตายได้อย่างไร "
เจ้าพลายกล่าวว่า " ข้าจะให้ทหารนำสูไปใกล้กำแพงเมือง แล้วสูตะโกนบอกสีเมฆว่้า เมืองลือไม่มาช่วยแล้ว สูกระทำตามนี้แล้ว ข้าจะชุบเลี้ยงให้เป็นทหารของข้า "
ด้วงใหญ่ก็มีกิริยาแจ่มใสขึ้น และกล่าวแก่เจ้าพลายว่า " บุญคุณของเจ้าเมืองเม็งหาที่สุดมิได้ และถ้าสีเมฆยอมจำนน เพราะเชื่อที่ข้าจะบอกแล้ว ความสงบก็จะมีแก่ชาวภูสันตอง ข้าจะทำตามที่สูแนะนำ จงรีบนำข้าไปที่กำแพงเถิด "
แล้วเจ้าพลายให้ด้วงใหญ่เดินไปยังกำแพงเมือง มีทหารเม็งสิบคนถือหอกและโล่เดินตามหลังไป ชาวภูสันตองเห็นคนเดินมุ่้งหน้าเข้ามาเช่นนั้นก็มายืนดู บ้างก็น้าวธนูเตรียมจะยิง แต่เมื่อเมื่อเห็นเป็นด้วงใหญ่ ต่างก็ลดธนูลง และด้วงใหญ่ตะโกนไปว่า " สีเมฆอยู่ที่ไหน ข้าจะบอกเรื่องแคว้นลือ "
ครั้นสีเมฆมายืนที่กำแพงแล้ว ด้วงใหญ่ก็ร้องบอกสีเมฆว่า " พ่อข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะพูดต่อหน้าพ่อข้า เพราะไม่เคยโกหกกัน"
ขณะนั้นเข็มเมืองนอนป่วยอยู่ สีเมฆจึงให้คนไปพยุงเข็มเมืองมาที่กำแพงเมือง และเมื่อเห็นแต่บุตรคนใหญ่ของตน เข็มเมืองจึงถามลงไปว่า "อน้องของสูไม่กลับมาด้วยหรือ "
ด้วงใหญ่ตอบว่า " น้องข้าถูกทหารเม็งฆ่าตายเสียแล้ว ข้าเท่านั้นที่ไปถึงเมืองลือ "
บนกำแพงนั้นก็พากันนิ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดถามด้วงใหญ่อีก ทหารเม็งที่อยู่ข้างหลังด้วงใหญ่ก็กล่าวต่อด้วงใหญ่ว่า " สูอย่าลือที่เจ้าพลายสั่งไว้ ถ้าสูไม่ทำตาม สูจะต้องตาย "
ด้วงใหญ่ก็ตะโกนขึ้นไปว่า " เจ้าพลกำลังนำทัพลือมาช่วย แล้วภูสันตองสู้ต่อไปเถิด "
ด้วงใหญ่ร้องกล่าวอยู่เช่นนั้น ทหารเม็งทั้งสิบที่คุมอยู่ก็เอาหอกแทงด้วงใหญ่จนขาดใจตาย ชาวภูสัันตองยิงธนูลงมา แต่ทหารเม็งป้องกันตัวด้วยโล่ และลากศพของด้วงใหญ่กลับมา และแจ้งให้เจ้าพลายทราบ เจ้าพลายให้ทิ้งศพด้วงใหญ่ไว้ที่หน้าค่าย แต่ในวันรุ่งขึ้นศพด้วงใหญ่ได้หายไป และมีต้นไทรคู่หนึ่งงอกขึ้นมาตรงที่ศพนั้นถูกทิ้งไว้ และต่อมาภายหลังที่การศึกเสร็จสิ้นแล้ว ชาวภูสันตองออกมาบวงสรวงต้นไทรคู่นี้อยู่เสมอ เพื่อระลึกถึงพี่น้องทั้งสอง

๑๕...

ส่วนชาวภูสันตองเมื่อรู้ว่าแคว้นลือกำลังทัพมาช่วยก็มีน้ำใจยิ่งนัำก และในวันนั้นต่างก็พากันไปปลอบโยนเข็มเมืองที่เสียบุตรชายไปทั้งสองคน เข็มเมืองกล่าวว่า " ถึงแม้บุตรข้าจะเสียไปแล้วทั้งหมด และข้าเสียใจอยู่ แต่ข้าก็พอใจแล้วที่มีบุตรเช่นนี้ให้พวกเราสู้กับข้าศึกต่อไปเถิด "
รุ่งขึ้นเจ้าพลายนำทหารเข้าโจมตีเมืองภูสันตองอีก แต่ก็มิสามารถเข้าเมืองได้ และชาวเมืองภูสันตองก็ร้องเยาะเย้ยทหารเม็งต่างๆ ว่า " สูรีบกลับเมืองเม็งเถิด หาไม่แล้วทหารลือจะเอาเมียของสูไปเสีย"
แล้วอีกเจ็ดวัน เจ้าพลก็นำทหารลือมาถึง และเจ้าพลกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " วันนี้พวกเราเดินทางมาเหนื่อยแล้วจงพักกันเสียก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ฝ่าแนวของเจ้าพลายเข้าไป เพื่อเอาเสบียงไปให้แก่ชาวภูสันตอง "
ทหารลือทั้งปวงก็กล่าวว่า " พวกข้ากินอาหารอยู่ข้างนอกนี้ไม่ลงคอ ในเมื่อชาวภูสันตองกำลังอดอยาก ขอให้นำพวกเราบุกเข้าไปวันนี้เถิด "
เจ้าพลได้ฟังก็รักน้ำใจทหารลือยิ่งนัก และขึ้นม้าชักดาบออกนำทหารเข้าโจมตีแนวทัพของเจ้าพลาย ทหารของเจ้าพลายกระจายล้อมเมืองภูสันตองอยู่ จึงมิอาจขัดขวางทัพของเจ้าพลได้ เจ้าพลกับธงผาก็นำทหารเข้าเมืองภูสันตอง สีเมฆออกมาต้อนรับเจ้าพล และกล่าวว่า " สูเคยช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่งแล้ว มาคราวนี้ยังช่วยข้าไว้อีก บุญคุณอันนี้ข้าจะไม่ลืมเลย "
เจ้าพลตอบว่า " สูอย่าได้คิดว่าข้าทำบุญคุณอย่างใดเลย ข้าเสียอีกจะต้องให้สูอภัยให้แก่ข้า เพราะว่าที่สูกับชาวภูสันตองต้องทุกข์ยากตลอดมานี้ เนื่องมาจากบิดาข้าประพฤติมิชอบ กระทำการไม่สมที่เป็นผู้ปกครอง "
แล้วเจ้าพลหันไปทางค่ายของเจ้าพลาย มองเห็นทหารของเจ้าพลายทั้งหมดมารวมกันอยู่ทางด้านตะวันออก เจ้าพลก็ก้มหน้าร้องไห้ สีเมฆจึงถามว่า " เจ้าพลร้องไห้ด้วยเหตุใด " เจ้าพลกล่าวว่า " กรรมของข้าทำไมจึงมีถึงเพียงนี้ บาปที่พ่อข้าทำไว้แก่ชาวเม็ง ข้าจะต้องมาล้างบาปนั้นด้วยการฆ่าชาวเม็งต่อไป และจะต้องทำศึกกับน้องข้าเอง "
ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าพลายยกทหารมาชิดเมืองภูสันตอง เมื่อเห็นเจ้าพลยืนอยู่บนเชิงเทิน เจ้าพลายจึงร้องขึ้นไปว่้า " คนเนรคุณยืนเฉยอยู่ไย ลงมาสู้กับข้าเอาเมืองกันเถิด "
เจ้าพลมองดูน้องแล้วก็นิ่งอยู่ เจ้าพลายท้ารบอยู่จนสาย เจ้าพลก็มินำทหารออกรบ เจ้าพลายจึงพาทหารกลับเข้าค่าย
เจ้าพลายนำทหารท้าทายพี่ชายอยู่สามวัน เจ้าพลก็ยังเฉยอยู่ เช้าวันที่สี่เจ้าพลายนำทหารออกมาท้าทายอีก เจ้าพลก็ยังคงมองเชิงเทินนั้นไปยังทหารเมืองเม็งและเฉยอยู่ ทหารเหล่านั้นก็มองมายังเจ้าพล ธงผาจึงเข้าไปกล่าวแก่เจ้าพลว่า "สูลังเลมาสามวันแล้ว ทหารจากเมืองลือพากันกล่าวว่า สูกลัวน้องชาย สูให้ข้าออกไปแทนเถิด "
เจ้าพลกล่าวว่า " ข้าได้บอกกุมภวาว่าเมื่อคนดีไปรวมกับคนชั่วในเรือลำเดียวกันก็จะต้องร่วมชะตากัน แต่บัดนี้ข้ามาเห็นทหารเม็งที่เรียงรายอยู่ข้างหน้านั้น บางคนต้องมาทัพเพราะจำใจข้าสงสารพวกนี้ จึงไม่อาจจะออกไปทำร้ายเขาได้ "
ธงผาจึงกล่าวว่า " เราไม่รู้ว่าชาวเม็งเบื้องหน้านั้นใครมาเพราะจำใจ และใครมาเพราะสินจ้างของเจ้าพลาย เช่นนี้แล้วสูจะทำอย่างไร "
เจ้าพลกล่าวว่า " เอาเถิด ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะเฉยอยู่ไม่ได้ "
แล้วเจ้าพลก็นำทหารออกจากค่าย โดยมิได้ถืออาวุธออกไปมีแต่โลเท่านั้น เมื่อถึงหน้าทหารของเจ้าพลาย เจ้าพลร้องกล่าวแก่ทหารเม็งว่า " พวกสูรู้จักข้าดีว่าเป็นใคร ข้าเคยใกล้ชิดกับสูมาเพียงใด ลูกเมียของสูชื่อใดข้ารู้จักแทบทั้งสิ้น ข้าจึงไม่มีใจที่จะทำร้ายพวกสูได้ ข้าอดทนมาสามวันแล้ว วันนี้จึงออกมา หากผู้ใดไม่อยากทำศึกกับข้า ก็มาอยู่กับข้าเสีย "
ทหารเม็งมีใจรักเจ้าพลอยู่ก็วิ่งมาเข้ากับเจ้าพลเป็นอันมาก
เจ้าพลายนำทหารที่เหลือกับเข้าค่ายพร้อมกับขบกรามด้วยความโกรธ แต่ในวันนั้น ขุนสินนำทหารมาถึง เจ้าพลายจึงแจ้งแก่ขุนสินว่า " บัดนี้ทัพลือมาช่วยขบถแล้ว เจ้าพลเป็นผู้นำมา "
ขุนสินกล่าวถามว่า " ทัพลืออยู่ที่ใด ข้าไม่เห็น "
เจ้าพลายตอบว่า " เจ้าพลนำทัพลือเข้าไปในเมืองภูสันตองแล้ว "
ขุนสินกล่าวว่า " พรุ่งนี้ข้าจะให้ทหารของข้าเข้าทำลายเมืองภูสันตอง "
ครั้นรุ่งขึ้นขุนสินนำทหารออกเตรียมจะโจมตีเมืองภูสันตอง แต่ทันใดนั้นเสียงกลองรัวดังมาแต่ไกลด้านหลังค่าย ขุนสินก็รู้ว่ามีอีกทัพหนึ่งมาร่วมการศึก ขุนสินจึงให้ทหารไปลาดตระเวรว่าเป็นทัพของผู้ใด สักครู่ทหารมารายงานว่า เป็นทัพมาจากเมืองลือ
ด้วยว่าเมื่อกุมภวาจัดทัพให้เจ้าพลแล้วกุมภวาก็รวบรวม ชาวลือเพิ่มขึ้นได้อีกหกพัน และรีบยกตามเจ้าพลมาเพราะ กุมภวาคิดว่าเจ้าพลายคงจะขอให้ขุนสินยกทัพมาช่วย
และเมื่อขุนสินทราบเช่นนั้น จึงขับม้าไปบอกแก่เจ้าพลายว่า " ทหารของลือที่เพิ่มมา ยังไม่ทันพักเหนื่อย เราจะขับไล่ไปเสียก่อน "
แล้วขุนสินกับเจ้าพลายก็นำทหารเข้าโจมตีทัพของกุมภวา กุมภวาให้ทหารขยายแนวออกต้านฝ่ายขุนสินไว้ ทหารของกุมภวายังเหน็ดเหนื่อยอยู่ จึงได้แต่รับข้าศึก ไม่สามารถจะขับให้ข้าศึกถอยไปได้
ส่วนเจ้าพลเมื่อเห็นขุนสินหันทัพไปรบกับอีกทัพหนึ่ง ก็รู้ว่าเมืองลือยกกำลังมาช่่วยอีก จึงเปิดประตูเมืองนำทัพออกไปช่วยพร้อมกับธงผา ขุนสินจึงให้เจ้าพลายแยกทหารมาต้านฝ่าย เจ้าพลไว้ต่างฝ่ายมิอาจจะเอาชนะแก่กันได้ จนกระทั่งเที่ยงจึงเลิกรบ เจ้าพลนำทหารกลับเข้าเมือง และขุนสินกับเจ้าพลายก็นำทหารกลับเข้าค่ายของตน ส่วนกุมภวาเห็นเบื้องหลังค่ายของขุนสินมีที่เนินอยู่เหมาะแก่การตั้งค่ายจึงเข้ายึดที่เนินนั้นไว้ และให้ทหารตั้งค่ายอยู่ ขุนสินเห็นทัพของตนถูกขนาบอยู่ จึงระดมทหารขุดคูป้องกันไว้ทั้งด้านเมืองภูสันตองและด้านทัพของกุมภวา
แล้วขุนสินกล่าวแก่เจ้าพลายว่า " เราถูกขนาบอยู่และกำลังข้าศึกก็มาก จำต้องหยุดการรบไว้ก่อน สูจงให้คนไประดมกำลังจากเมืองมงทุมและจากเมืองยางเหนือมาช่วย ส่วนข้าจะให้สุปันทหารประจำตัวของข้าไปแจ้งแก่แคว้นซำ แคว้นสาด และแคว้นพุมเรียงให้ยกทัพมาช่วย "
เจ้าพลายจึงให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่เมืองมงทุม และเมืองยางเหนือ อันว่าแคว้นไททั้งสองแคว้นนี้ขึ้นอยู่กับแคว้นเม็ง เมื่อได้ข่าวจากม้าเร็วแล้ว ท้าวกล่ำเจ้าเมืองใหม่ของมงทุม และบุญห้วยเจ้าเมืองยางเหนือก็ยกกำลังมาตามคำสั่งของเจ้าพลาย
ส่วนขุนสินก็ให้สุปันขึ้นม้าไปแจ้งแก่ท้าวเกตุเจ้าเมืองซำ กาไสยเจ้าเมืองสาด และท้าวฮอดเจ้าเมืองพุมเรียง เจ้าเมืองทั้งสามก็รีบยกทหารมายังเมืองภูสันตอง
กุมภวาเมื่อเห็นขุนสินกับเจ้าพลายตั้งค่ายเฉยอยู่ ก็รู้ว่าคนทั้งสองกำลังคอยกำลังจากแคว้นอื่นๆ ให้มาช่วย กุมภวาเห็นกำลังของตนไม่มากนัก จึงให้จันเสนขึ้นม้าเร็วไปยังเมืองยูโรและเมืองข่านุ ขอกำลังของสองเมืองนี้ ท้าวเกิดเจ้าเมืองยูโรให้กุฉินนำทหารสามพันมาช่วย และคำสินเจ้าเมืองข่านุ เมื่อทราบจากจันเสนแล้วก็ให้สีเภาน้องเขยของตนนำทหารสามพันยกมาสมทบกับทัพของกุมภวา ที่เมืองภูสันตองจึงมีชาวไททั้งสิบสองแคว้นมาประจันหน้ากัน เพื่อทำลายซึ่งกันและกัน

๑๖...

วันรุ่งขึ้น ขุนสินกับเจ้าพลอยนำทหารออกสนาม กุมภวาจึงนำทัพออกตั้งรบ ให้กุฉินเป็นปีกซ้าย สีเภาเป็นปีกขวา กุมภวากับจันเสนคุมทัพกลางคอยเสริมกำลังเมื่อปีกใดอ่อนกว่าข้าศึก การรบดำิเนินอยู่ถึงบ่ายก็มิได้แพ้ชนะต่อกัน แล้วต่างก็ถอยทัพกลับมายังค่ายของตน กุมภวายันทัพขุนสินอยู่สามวัน ครั้นตกคืนที่สามกุมภวาจึงกล่าวแก่สีเภาว่า " ฝ่ายเรายันข้าศึกมาสามวันแล้ว หากเราจะทำท่าทีว่าแพ้ในวันพรุ่งนี้ ข้าศึกคงจะไม่เฉล่ียงใจว่าเป็นอุบาย ข้าจะให้กุฉินนำทัพออกท้ารบ และให้ทำเป็นเสียทีหนีไปทางด้านใต้ สูจงนำทหารไปซุ่มในป่าด้านนั้นคอยโจมตีด้านหลังข้าศึก "
สีเภาก็นำทหารไปซุ่มไว้ที่ป่าด้านใต้ และพอรุ่งขึ้นกุมภวานำทหารออกสนามอีก กุมภวาเป็นทัพกลาง กุฉินคุมทหารปีกซ้าย จันเสนเป็นปีกขวา และกุมภวาแจ้งอุบายให้กุฉินทราบ
ขุนสินกับเจ้าพลายเห็นฝ่ายแคว้นลือนำทหารออกสนามทั้งสองคนก็นำทหารออกมา ขุนสินเป็นทัพกลาง เจ้าพลายเป็นปีกซ้าย และบุญห้วยเจ้าเมืองยางเหนือเป็นปีกขวา ทั้งสองฝ่ายเข้าประจัญบานกัน ครั้นใกล้เที่ยงวันกุฉินโบกธงให้ทหารถอย บุญห้วยนำทหารไล่ติดตาม กุฉินก็ให้ทหารถอยหนีไปทางด้านใต้ บุญห้วยใคร่จะได้ชื่อว่าทัพของตนชนะข้าศึกก่อนทัพผู้อื่น ก็นำทหารไล่ติดตามต่อไป ครั้นล้ำแนวป่าเข้าไปก็มีเสียงกลองรัวขึ้นในป่านั้น แล้วทหารของสีเภาก็เข้าโจมตีทัพของบุญห้วยด้านหลัง ฝ่ายกุฉินเมื่อได้ยินเสียงกลองของฝ่ายตน ก็นำทหารหันเข้ารบกับทัีพของบุญห้วยต่อไป บัญห้วยถูกขนาบทั้งสองด้าน ทหารถููกฆ่าตายเป็นอันมาก ส่วนที่เหลือก็ถอยหนีออกมา กุฉินกับสีเภาจึงนำทหารไล่ติดตาม และเมื่อทหารของบุญห้วยถอยออกมาถึงทุ่งที่ทัพทั้งสองยังรบกันอยู่ ทหารของขุนสินและเจ้าพลายเห็นปีกขวาของตนเสียทีแล้ว ก็ไม่มีใจรบกับข้าศึกและถูกทัพของกุมภวา และของจันเสนไล่ฆ่าฟันไปจนกระทั่งถึงคูที่ขุนสินทำกั้นไว้ ขุนสินต้านทานทัพกุมภวาอยู่จนกระทั่งทหารของตนเข้าค่ายได้หมด และกุมภวาก็มิได้ให้ทหารบุกข้ามคูนั้นไป แต่ให้ตีกลองเรียกทหารกลับมายังค่าย
เมื่อถึงค่ายแล้วจันเสนถามกุมภวาว่้า " วันนี้หากเราจะรบต่อไป เราก็จะบุกเข้าฆ่าฟันทหารข้าศึกภายในคูนั้นได้อีกมาก เหตุใดสูจึงเรียกทหารกลับเสียเล่า "
กุมภวากล่าวว่า " ข้าไม่อยากจะเห็นคนไทฆ่ากันเองมากนักขุนสินนี้เป็นเจ้าเมืองที่ราษฎรรัก ที่ขุนสินยกทัพมาครั้งนี้ด้วยเข้าใจว่า แคว้นลือต้องการจะแผ่อำนายในหมู่แคว้นไท และขุนสินไม่รู้ว่าเจ้าพลายเป็นเครื่องมือของจิ๋น หากขุนสินรู้ว่าไม่อาจจะชนะเราได้ และรู้ว่าไม่ประสงค์จะเอาแคว้นไทด้วยกันไว้ในอำนาจ เรากับขุนสินคงจะสงบศึกกันได้ "

๑๗...

ในเย็นวันนั้น เจ้าพลายให้เรียกประชุมนายกองทั้งปวง และกล่าวแก่บุญห้วยเจ้าเมืองยางเหนือว่า " วันนี้สูทำการรบโดยประมาททำให้เสียทีแก่ข้าศึก ข้าไม่ต้องการให้คนแพ้อยู่ในกองทัพอีกต่อไป "
แล้วเจ้าพลายให้ทหารจับบุญห้วยมัด และสั่งให้เอาไปฆ่าเสีย
ขุนสินเห็นเช่นนั้นก็โกรธและกล่าวว่า " การศึกนั้นผลจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นต่อเหตุหลายเหตุ เมื่อสูไม่พอใจสูจะฆ่า แม้แต่ผู้ช่วยเหลือเช่นนี้แล้ว จะให้ข้าร่วมมือต่อไปได้อย่างไร "
เจ้าพลายเกรงใจขุนสินอยู่จึงกล่าวว่า " ข้าประสงค์จะให้ทหารเม็งของข้าสู้รบข้าศึกให้เข้มแข็งเท่าทหารของสู จึงได้สั่งการดังนี้ เมื่อเป็นที่ขัดใจสู ข้าจะอภัยให้บุญห้วยเสียครั้งหนึ่ง "
แล้วเจ้าพลายสั่งให้ทหารแก้มัดบุญห้วย ขุนสินจึงกล่าวแก่บุญห้วยว่า " ที่สูแพ้ศึกมาครั้งนี้ ทำให้ข้าอยากเอาความแพ้ของสูมาเป็นประโยชน์ "
บุญห้วยจึงกล่าวว่า " จงใช้ข้ามาเถิด ข้าจะทำเพื่อแลกกับความปราชัยครั้งนี้ "
ขุนสินก็แจ้งอุบายให้บุญห้วยทราบ ในคืนนั้นบุญห้วยขึ้นม้าไปยังค่ายของกุมภวา ทหารยามนำบุญห้วยไปยังกุมภวา กุมภวาถามบุญห้วยว่้า " สูมีประสงค์อย่างใดจึงมาที่นี่เวลาที่มืดเช่นนี้ "
บุญห้วยตอบว่า " ข้าขื่อบุญห้วยเป็นเจ้าเมืองยางเหนือ วันนี้ข้านำทัพไล่ปีกซ้ายของสูและเสียทีกลับมา เมื่อถึงค่ายเจ้าพลายจะประหารชีวิตข้าเสีย หากแต่ขุนสินห้ามไว้ และเพียงให้ถอดข้าออกจากตำแหน่ง ข้าไม่อาจจะทนอยู่กับเจ้าพลายได้ จึงหนีมาพึ่งสู "
กุมภวาจึงกล่าวว่า " จะให้ข้าไว้ใจสูได้อย่างไร เพราะสูมิได้นำทหารมาด้วยเลย "
บุญห้วยตอบว่า " ให้เวลาข้าเล็กน้อย ในไม่ช้าเมื่อทหารยางเหนือรู้ว่าข้ามาอยู่กับสูแล้วก็จะหนีตามมา และข้าอาจจะติดต่อทหารเอกของเจ้าพลายให้เป็นไส้ศึกได้ "
กุมภวาก็ทำกิริยายินดี และซักถามกิจการภายในค่ายของเจ้าพลายต่างๆ บุญห้วยก็แจ้งให้รู้โดยละเอียด แล้วกุมภวานำบุญห้วยออกตรวจค่าย บุญห้วยเห็นภายในกระโจมของกุมภวาและกระโจมต่างๆ ของทหารแคว้นลือมีระเบียบ และมีเครื่องใช้และเสบียงเหมือนกัน ซึ่งผิดกับในค่ายของเจ้าพลาย ซึ่งทหารเลวมีเครื่องใช้และเสบียงอย่างเลว แต่นายกองมีเครื่องใช้และเสบียงที่ฟุ่มเฟือยและภายในค่ายหาระเบียบมิได้ บุญห้วยก็สรรเสริญแม่ทัพลืออยู่ในใจ
แล้วกุมภวาให้ทหารไปตามสีเภามาและกล่าวว่า " บุญห้วย เจ้าเมืองยางเหนือผู้นี้ มาสมัครอยู่กับฝ่ายเรา ขอให้สูจัดกระโจมที่พักให้อยู่อย่างสบายเหมือนทหารของเราเอง "
สีเภาไม่เชื่อว่าบุญห้วยจะหนีมาจริง แต่มิอาจจะพูดอะไร จึงไปจัดกระโจมให้บุญห้วยข้างที่พักของตน ครั้นแล้วสีเภาก็มาหากุมภวาและกล่าวว่า " สูไว้ใจบุญห้วยหรือ "
กุมภว่ากล่าวว่า " เมื่อผู้เป็นเจ้าเมืองหนีมาคนเดียวไม่มีใครตามมาเลยเช่นนี้ เขาจะทำอะไรมากไม่ได้ยิ่งไปกว่าจะเอาศีรษะข้าไปเป็นกำนัลแก่ข้าศึก ข้าคงจะไม่เสียทีเขาหรอก แต่ขอให้สูระวังไว้อย่าให้เขาหนีกลับไปได้ "
จากนั้นกุมภวาก็เชิญบุญห้วยมาสนทนาในกระโจมของตนเสมอ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อกุมภวากลับจากสนามรบก็ให้ทหารยามที่เฝ้าหน้ากระโจมไปเชิญบุญห้วยมา แล้วกุมภวายื่นดาบเล่มหนึ่งให้บุญห้วยและถามว่า " สูเคยเห็นดาบเล่มนี้หรือไม่ "
บุญห้วยพิเคราะห็ดาบนั้นก็จำได้ว่าเป็นของขุนสิน จึงถามกุมภวาว่า " สูได้ดาบนี้มาอย่างไร "
กุมภวากล่าวว่า " วันนี้ข้านำทัพออกรบ ขุนสินคุมทัพอยู่ปีกซ้าย นายทัพของข้าที่จัดว่้าฝีมือเป็นเอกก็คือกุฉิน แต่ขุนสินสามารถนำทหารเข้าสู้รบกับกุฉินได้ และต่อสู้กันอยู่นาน จนกระทั่งดาบเล่มนี้หลุดมือ ขุนสินจึงได้ถอยไป และเรียกดาบ จากทหารเข้าสู้กับฝ่ายกุฉินอีก ต่อเมื่อตกเย็นจึงได้เลิกทัพกันไป และกุฉินนำดาบมาให้ข้า ข้าจะแขวนดาบเล่มนี้ไว้ในกระโจม สักวันหนึ่งดาบเล่มนี้จะกลับไปตัดศรีษะผู้เป็นเจ้าของมาให้ข้า "
แล้วกุมภวาก็แขวนดาบเล่มนั้นไว้เหนือเตียงนอน บุญห้วยได้ฟังกุมภวากล่าวจะฆ่าผู้มีคุณแก่ตนก็โกรธและคิดในใจว่า " ข้าคงจะเอาศีรษะของสูไปให้ขุนสินได้ก่อนที่สูจะใช้ดาบนี้ "
แล้วกุมภวากล่าวแก่บุญห้วยว่า " พรุ่งนี้ทัพทั้งสองจะพักรบเพื่อเก็บศพทหาร ข้าจะพักในกระโจมนี้ตลอดวัน สูจงมาสนทนากับข้าพรุ่งนี้เถิด "
บุญห้วยได้ฟังก็ยินดีนัก และรำพึงกับตนเองว่า " กุมภวาเอย ข้าได้ฟังมาว่าสูมีปัญญา แต่ศีรษะของสูจะขาดคราวนี้แล้ว "
แล้ววันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองยางเหนือก็นำม้าของตนมาหยุดอยู่หน้ากระโจมของกุมภวา และเข้าไปถามทหารยามว่า " แม่ทัพอยู่หรือไม่ "
ทหารยามกล่าวว่า " กุมภวานอนอยู่ "
บุญห้วยก็กล่าวแก่ทหารยามว่า " ข้ามีข่าวสำคัญจากข้าศึกจะแจ้งแก่แม่ทัพเป็นการด่วน "
ทหาีีรยามกล่าวว่า " สูเคยเข้าไปหาแม่ทัพได้ทุกเวลา จงเข้าไปเถิด แต่กุมภวาสั่งไว้ มิให้ผู้ใดถืออาวุธเข้าไป "
บุญห้วยก็ปลดดาบออกมอบให้ทหารยามไว้ แล้วเดินเข้าไปในกระโจมนั้น บุญห้วยเห็นบนที่นอนมีคนนอนคว่ำห่มผ้าอยู่ จึงปลดดาบเหนือเตียงนั้นมาและเงื้อจะฟันร่างในผ้าห่มนั้น แต่แล้วก็ชะงักอยู่
" ข้าทำดังนี้สมควรแล้วหรือ " เจ้าเมืองยางเหนือรำพึงกับตนเอง " คนผู้นี้จะต้องตายเพราะไว้ใจข้า ส่วนข้ากำลังทำลายความเชื่อระหว่างคนต่อคน "
" แต่เขาเชื่อข้าเพราะหวังประโยชน์จากข้า " บุญห้วยบอกตนเองต่อไปแล้วเขาก็เงื้อดาบขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วฟันลงที่คอของร่างนั้น ศีรษะขาดแต่ร่างนั้นคงนิ่งอยู่ไม่ขยับเขยื้อนเลย บุญห้วยจับร่างนั้นพลิกดูก็เห็นเป็นศพของทหารคนหนึ่ง บุญห้วยรู้ว่าตนเสียอุบายจึงรีบถอยออกมา แต่ทันใดกุฉินก็นำทหารกรูเข้ามาจับบุญห้วยไว้ แล้วกุมภวาก็เดินออกมาจากหลังกระโจมนั้น และกล่าวแก่บุญห้วยว่า " เสียแรงที่เราไว้ใจกัน แล้วเหตุใดจึงมาคิดร้ายต่อกัน "
บุญห้วยก็มองตรงไปยังกุมภวาและกล่าวตอบว่า " ธรรมดาการศึกย่อมจะต้องใช้อุบายต่อกัน เหมือนที่สูใช้อุบายเอาศพทหารมาลวงข้า ดังนี้จะว่ากันมิได้ เมื่อข้าเสียรู้แล้วจงจัดการกับข้าเสียจะรออยู่ใย "
กุมภวากล่าวว่า " หากข้าไว้ชีวิตสู สูจะทำงานให้ข้าได้หรือไม่ "
บุญห้วยตอบว่า " ทำได้ หากข้าเห็นสมควรทำ "
กุมภวา " ข้าจะให้สูเอาดาบของขุนสินนี้ไปเอาศีรษะเจ้าของดาบมาให้ข้า "
บุญห้วยกล่าวว่า " ขุนสินเคยช่วยชีวิตข้ามาครั้งหนึ่ง ข้าจะเนรคุณไม่ได้ "
กุมภวา " ขุนสินช่วยสูไว้อย่างไร "
บุญห้วยก็เล่าให้ฟังเมื่อครั้งเจ้าพลายจะประหารเขา แล้วขุนสินขัดขวางไว้
กุมภวาจึงกล่าวว่า " เพียงแต่ขุนสินมีบุญคุณเป็นส่วนตัวต่อสูเท่านั้นหรือ ที่ทำให้สูนับถือเจ้าเมืองผู้นี้ "
บุญห้วยจึงกล่าวต่อไปว่า " นับแต่ข้าไ้ด้พบผู้ครองเมืองมา ก็ยากที่จะหาผู้ใดเทีียบกับขุนสินได้ ทหารทุกคนรักเจ้าเมืองของเขา ดูเหมือนว่าหากขุนสินจะใช้ให้ผู้ใดเอามีปักอกตนเอง ผู้นั้นจะกระทำทันที ถึงแม้ขุนสินจะมีอำนาจเหนือราษฎรทั้งปวง แต่ตามที่ข้าได้เห็นมา ทำให้ข้าอยากจะเชื่อว่าการปกครองด้วยอำนาจเด็ดขาดโดยเจ้าเมืองที่ดีนั้นเป็นการปกครองที่ดีที่สุด ข้าเห็นความดีของขุนสินดังนี้ จึงไม่มีน้ำใจที่จะทำร้ายขุนสินได้ใช่ว่าข้าจะคิดแต่เรื่องบุญคุณส่วนตัวก็หาไม่ "
กุมภวาได้ฟังดังนั้นก็ให้ทหารแก้มัดบุญห้วย และให้บุญห้วยไปนั่งยังที่ซึ่งเคยนั่งสนทนากันมาแต่ก่อน แล้วกุมภวากล่าวว่า " ข้าจะปล่อยสูไปและขอฝากดาบนี้คืนให้ขุนสินด้วย "
บุญห้วยประหลาดใจและกล่าวว่า " เราเป็นข้าศึกต่อกัน เหตุใดจะปล่อยข้าไป สูเคยกล่าวว่าจะเอาดาบเล่มนี้ตัดศีรษะขุนสิน ไฉนจึงจะคืนดาบไปให้เขาเสียเล่า "
กุมภวากล่าวว่า " บัดนี้่ข้ารู้แล้วว่าขุนสินมีน้ำใจรักความเป็นธรรม ที่ขุนสินมาช่วยเจ้าพลายก็เนื่องจากเข้าใจว่้าเรา แคว้นลือจะแผ่อำนาจมาครองแคว้นเม็ง ขอให้สูกลับไปบอกขุนสินว่าเราไม่ประสงค์เช่นนั้น หากเราต้องการแคว้นเม็งไว้ในอำนาจเราจะไม่มาเมืองภูสันตองนี้ แต่จะไปตีเมืองเม็งขณะขาดทหารอยู่เวลานี้นี่เราเพียงมาช่วยเจ้าพล ซึ่งเราเห็นว่าจะเป็นผู้ปกครองเมืองเม็งได้ดีกว่าเจ้าพลาย และเรามิเคยถือว่าขุนสินเป็นศัตรูแก่เรา สูกลับไปบอกขุนสินดังนี้เถิด และหากขุนสินไม่ประสงค์จะให้คนไทฆ่ากันเองต่อไป ข้าขอเชิญขุนสินมาเจรจากันบนลูกเนินนี้ "
แล้วกุมภวามอบดาบของขุนสินให้บุญห้วย บุญห้วยรับดาบนั้นไว้ และกล่าวว่า " ข้าเชื่อว่าพรุ่งนี้ขุนสินจะมายังค่ายของสู "
แล้วบุญห้วยลากุมภวาขึ้นม้าไปยังค่ายขุนสิน และเล่าให้ขุนสินฟังทุกประการทั้งกล่าวสรรเสริญกุมภวาตามที่เขาได้เห็นมา แล้วบุญห้วยก็มอบดาบคืนให้แก่ขุนสิน
ทันใดนั้นเจ้าพลายก็เข้ามาพร้้อมกับคำอ้าย และถามบุญห้วยว่า " สูได้ศีรษะกุมภวามาแล้วหรือ "
บุญห้วยตอบว่า " ข้าไม่ได้ศีรษะกุมภวาแต่ได้สิ่งที่ดีกว่านั้น ศีรษะกุมภวานั้นหากได้มา การฆ่ากันระหว่างคนไทจะยิ่งมีมากขึ้น แต่กุมภวาให้น้ำใจอันเป็นมิตรมาเพื่อว่าแคว้นไทต่างๆ จะได้ไม่วิวาทกันต่อไป "
เจ้าพลายได้ฟังก็ร้องขึ้นว่า " สูเป็นเพื่อนกับข้าศึกเสียแล้ว "
แล้วเจ้าพลายชักดาบออกฟันบุญห้วย ขุนสินยกดาบที่ได้คืนมานั้นรับไว้ แล้วขุนสินก็ขับเจ้าพลายกับคำอ้ายไป

๑๘...

ครั้นรุ่งขึ้น ขุนสินก็เตรียมม้าจะไปยังค่ายของกุมภวาพร้อมกับบุญห้วย เจ้าพลายเมื่อได้ข่าวนี้ก็มาที่ขุนสินและกล่าวว่า " สูจะนำตัวเองไปให้เขาฆ่าถึงในค่ายของข้าศึกหรือ "
ขุนสินหัวเราะและกล่าวว่า " เจ้าพลายเอ๋ย ถึงแม้ในระหว่างศัตรูจะมีอุบายต่อกัน แต่ในระหว่างคนมีน้ำใจเป็นธรรมนั้นมีหลายอย่างที่เขาจะไม่ทำต่อกัน "
แล้วขุนสินกับบุญห้วยก็ขับม้าตรงไปยังค่ายฝ่ายลือ กุมภวาออกมาต้อนรับแต่ไกล แล้วทั้งสามคนนั่งสนทนากันในกลางแจ้ง ณ ที่นั้น แล้วพากันเดินขึ้นไปบนลูกเนิน ค่ายของไททั้งสิบสองแคว้น บัีดนี้ ปรากฎอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสาม
แล้วกุมภวากล่าวว่า " ขุนสินเอย สูไม่เศร้าใจบ้างหรือที่คนไททั้งสิบสองแคว้้นมาฆ่ากันเอง ครั้งหนึ่งเมื่อข้ายังอยู่ในดินแดนจิ๋น ข้าได้ยินชาวจิ๋นพูดว่าไทสิบสองแคว้นคือหนูสิบสองตัว บัดนี้ถ้าชาวจิ๋นรู้ว่าเรากำลังทำลายกันเอง ชาวจิ๋นคงจะหัวเราะและพูดกันเป็นเรื่องสนุกว่า หนูสิบสองตัวกำลังวิวาทกัน เช่นนี้แล้วคนไทจะไม่นึกละอายบ้างหรือ ข้านำทหารมานี้มิได้ประสงค์จะแผ่อำนาจในแคว้้นเม็ง ข้าเพียงมาช่วยเจ้าพลซึ่งเป็นบุตรคนใหญ่ของขุนจาดให้เป็นเจ้าเมืองเม็ง เพราะทราบว่าชาวเมืองเม็งรักเจ้าพลอยู่ ส่วนสูนั้นมาช่วยเจ้าพลายผู้ที่เป็นเจ้าเมือง โดยขุนจาดยกเมืองให้ ข้าเชิญสูมาวันนี้เพื่อปรึกษากันว่า จะมีวิธีใดให้คนไทตกลงกันได้ไม่ต้องมารบกัน "
ขุนสินตอบว่า " บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าสูไม่ประสงค์เอาเมืองภูสันตองไว้ในอำนาจของแคว้นลือ แต่ถ้าเราทั้งสองจะเลิกทัพไปทันที การมาครั้งนี้จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ข้าเห็นว่ามีวิธีที่จะให้ทุกฝ่ายหยุดรบกันได้ คือถ้าพี่น้องทั้งสองปรองดองกันไม่ได้ ก็ให้ตัวต่อสู้กันเอง ใครรอดก็ให้เป็นเจ้าของแคว้นเม็งต่อไป "
กุมภวาตอบว่า " ในเหตุการณ์เช่นนี้ข้าต้องเห็นตามสู พรุ่งนี้ขอให้เจ้าพลายออกมาเถิด ส่วนข้าจะให้เจ้ิาพลทราบข้อตกลง "
ขุนสินกับบุญห้วยก็กลับยังค่ายของตน กุมภวานั้นให้จันเสนไปแจ้แก่เจ้าพลให้นำทหารออกสมทบกับทัพของกุมภวา
ครั้นรุ่นขึ้นทัพทั้งสองฝ่ายออกมาประจันหน้ากันในทุ่งหน้าเมืองภูสันตอง ขุนสินบอกให้ทหารของฝ่ายตนนั่งลง กุมภวาก็ให้ทหารของฝ่ายตนนั่งลงบ้าง แล้วขุนสินออกไปยืนท่ามกลางระหว่างทัพทั้งสองและกล่าวขึ้นว่า " ชาวเม็ง ชาวลือ และชาวไต๋จงฟังข้าที่เรามารวมกันอยู่ในทุ่งนี้ ฝ่ายหนึ่งเพื่อช่วยเจ้าพลาย เพราะขุนจาดตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งช่วยเจ้าพล หากเรื่องนี้เด็ดขาดไปแล้ว เรื่องอื่นเช่นการขบถของเมืองภูสันตองก็จะเรียบร้อยไปด้วย ทหารทั้งสองฝ่ายสิ้นชีวิตไปมากแล้ว เพราะการแตกแยกครั้งนี้ โดยยังมิรู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทหารทั้งสองฝ่ายอยากจะกลับบ้านไปหาบุตรภรรยา และพ่อแม่ของตนยิ่งกว่าที่จะมาเสียชีวิตที่นี่เพียงเพราะว่าสองพี่น้องวิวาทกัน ข้าจึงได้ตกลงกับกุมภวาว่าเราจะไม่ช่วยฝ่ายใด แต่ถ้าจะปล่อยเรื่องของเมืองเม็งไว้เช่นเดิมความไม่สงบจะมีต่อไป เราจะขอให้พี่น้องทั้งสองปรองดองกัน หากเป็นดังนี้ไม่ได้ก็ให้ต่อสู้กันด้วยฝีมือของตนเอง ใครชนะก็จะทำงานให้ชาวเม็งต่อไปในหน้าที่เจ้าเมือง "
ทหารทั้งสองฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ตบมือด้วยความพอใจ เพราะต่างอยากจะกลับยังบ้านของตน
เจ้าพลายเคยเห็นมาก่อนว่าพี่ชายของตนนั้นถนัดแต่การใช้ธนูและใช้หอกล่าสัตว์ จะชำนาญการต่อสู้ก็หาไม่ เจ้าพลายจึงออกไปนอกแนวทหารและกล่าวว่า " เมืองใดจะมีเจ้าเมืองเป็นสองไม่ได้ขอให้เจ้าพลเตรียมตัวเถิด เราจะได้รู้ว่าเมืองเม็งเป็นของน้องหรือของพี่ ทุกวันนี้คนมีีฝีมือเท่านั้นเหมาะเป็นผู้ครองเมือง "
เจ้าพลได้ฟังผู้เป็นน้องท้าทายหมายจะเอาชีวิตตนเช่นนั้นก็แค้นอยู่ แต่ก็ลังเลใจมิกล้ารับคำท้า เพราะน้องชายมีฝีมือกว่าตน
สีเมฆเห็นเจ้าพลนิ่งอยู่เช่นนั้น จึงก้าวออกไปนอกแนวทหารและร้องกล่าวว่า " ทั่วเมืองเม็งรู้ดีว่าเจ้าพลผู้พี่ไม่เคยสนใจในการสู้รบ จะถนัดก็แต่การล่าสัตว์เพียงเพื่อใช้เป็นอาหาร ส่วนเจ้าพลายผู้น้องนั้นล่าคนมามากนัก เกิดเป็นชายไม่ควรจะท้าผู้อ่อนฝีมือกว่า เจ้าพลายจงมาสู้กับข้าเถิด "
เจ้าพลก็ดึงสีเมฆกลับมาแล้วตนเองก้าวออกไปนอกกลุ่มทหารของตน และร้องกล่าวแก่เจ้าพลายผู้น้องว่า " เมื่อเทพยดาประสงค์จะให้เราพี่น้องฆ่ากันเอง เพราะความทะนงของน้องข้าผู้เป็นพี่้จะรับท้า สูจงเตรียมตัวเถิด "
แล้วเจ้าพลผู้พี่เรียกโล่และหอกจากทหาร ส่วนดาบนั้นคาดไว้กับไหล่ เจ้าพลายก็เช่นเดียวกัน เจ้าพลายนั้นรู้ว่้าพี่ชายของตนถนัดในการใช้หอก จึงคัดเลือกเอกโล่ที่ใหญ่และแข็งแรงจากทหารของตน ครั้นแล้วทหารของทั้งสองฝ่ายก็เรียงรายล้อมคนทั้งสองไว้
เจ้าพลายผู้น้องแหงนหน้าขึ้นอธิษฐานว่าื " เทพยดาเบื้องบนและผีจ้าวทั้งปวง ช่วยให้ข้าได้เป็นเจ้าเมืองเม็งต่อไปเถิด แล้วในศาลทุกแห่งข้าจะคาดแท่นบูชาด้วยแผ่นเงิน แสงเทียนจะสว่างอยู่ทุกวันคือ ควันธูปจะไม่มีหมดไป สูจะได้ความนับถือจากมนุษย์มากขึ้นเมื่อข้าเป็นเจ้าเมือง แต่จงให้เจ้าพลตายในวันนี้เถิด เพราะเจ้าพลทรยศต่อผู้เป็นบิดา "
ส่วนเจ้าพลผู้พี่นั้นก็แหงนหน้าขึ้นอธิษฐานอยู่อึดใจหนึ่งแล้วก็เตรียมตัวจะสู้กับน้องชาย สีเมฆซึ่งยืนอยู่ข้างเจ้าพลเห็นเจ้าพลอธิษฐานเร็วนัก จึงกล่าวแก่เจ้าพลว่า " สูรู้แล้วว่าเจ้าพลายเป็นคนมีฝีมือ ความช่วยเหลือจากเบื้องบนจำเป็นแก่สูมากในการต่อสู้ครั้งนี้ แล้วเหตุใดสูจึงบวงสรวงสั้นนัก "
เจ้าพลกล่าวว่า " หากใครควรจะเป็นเจ้าเมืองเม็ง เบื้องบนคงจะจัดให้เป็นเช่นนั้น ข้าจึงไม่อ้อนวอนเทพยดานานนัก "
แล้วพี่น้องทั้งสองก็เดินเข้าหากัน เจ้าพลายผู้น้องพุ่งหอกไปแต่เจ้าพบรับไว้ได้ หอกติดโล่ของเจ้าพบแน่นอยู่ แล้วเจ้าพลพุ่งหอกไปบ้าง หอกทะลุโล่ของเจ้าพลายออกไปเฉียดไหล่ผู้น้องและทั้งสองคนไม่มีเกราะป้องกันที่แขน คมหอกถูกไหล่ซ้ายของเจ้าพลาย เจ้าพลายโยนโล่ทิ้ง แล้วชักดาบออกโถมเข้าฟันผู้เป็นพี่ เจ้าพลก็โยนโล่ทิ้งเช่นกันแล้วดึงดาบออกจากฝักรับการฟาดฟันของน้องชายไว้ สองพี่น้องก็เข้าประหัดประหารกันเหมือนเสือร้ายแย่งความเป็นจ้าวป่าจากกัน
ทหารทั้งสองฝ่ายโห่ร้องช่วยหัวหน้าของฝ่ายตน เจ้าพลนั้นถนัดดาบน้อยกว่าน้อง ในไม่ช้าก็ถูกฟันหลายแห่งเลือดโทรมกายจนต้องถอยออกพิงอยู่ที่สีเมฆ
เจ้าพลายเหน็ดเหนื่อยอยู่ แต่เมื่อเห็นผู้พี่กำลังจะพ่ายแก่ตนเช่นนั้นก็ร้องไปว่า " เมืองเม็งเป็นของข้าแล้ว แต่ข้าจะทิ้งศัตรูไว้ไม่ได้ "
แล้วเจ้าพลายตรงเข้าไปหมายจะฟันพี่ชายให้ตาย ณ ที่นั้น เจ้าพลแค้นใจนักก็ร้องกล่าวแก่น้องตนว่า " พลายเอ๋ย สูรักสมบัติมากกว่าพี่น้อง จงตายเสียเถิด "
แล้วเจ้าพลก็พละจากสีเมฆ วิ่งเข้าไปที่เจ้าพลายและฟันไปโดยแรง เจ้าพลายแทบจะรับไว้ไม่ได้ ต้องถอยร่นไป แล้วพี่น้องทั้งสองต่อสู้กันไปอีกด้วยแรงแห่งความแค้น จนมีบาดแผลเต็มร่างทั้งคู่ ในที่สุดผู้น้องหมดกำลังแทบจะยกดาบขึ้นไม่ได้ พี่ก็แทงไปด้วยแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่แล้วตนเองก็ล้มลง ผู้น้องนั้นสิ้นด้วยปลายดาบของพี่ ณ ที่นั้นเอง
สองพี่น้องถูกหามไปยังค่่ายฝ่ายตน แล้วต่อมาขุนสินให้ประกาศว่าเจ้าพลายสิ้นชีวิตแล้ว ส่วนเจ้าพลยังรอดอยู่และได้ตำแหน่งเจ้าเมือง และการศึกเป็นอันสิ้นสุดแล้ว
เจ้าพลสลบไปนาน เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นกุมภวากับสีเมฆนั่งอยู่ข้างตน เจ้าพบจึงถามกุมภวาว่า " น้องข้าเป็นอย่างไรบ้าง " กุมภวาตอบว่า " เจ้าพลายตายเสียแล้วและสูเป็นเจ้าเมืองเม็ง "
เจ้าพลน้ำตาไหลแล้วในที่สุดเจ้าพลกล่าวว่า " ข้าจะเป็นเจ้าเมืองได้เพียงวันนี้วันเดียว "
แล้วเจ้าพลก็สลบไปอีก เมื่อฟื้นขึ้นมา เจ้าพลก็กล่าวว่า " ชีวิตนี้สับสนมากสำหรับข้า ข้าจะไปแล้ว แต่ว่าใครจะเป็นเจ้าเมืองต่อจากข้า "
กุมภวาตอบว่า " เมืองเม็งนั้นเจ้าเมืองมีอำนาจตั้งผู้อื่นเป็นเจ้าเมืองแทน สูจะตั้งผู้ใดก็ได้ สุดแต่สูเถิด " เจ้าพลชี้ไปที่สีเมฆแล้วกล่าวว่า " ข้าตั้งผู้นี้เป็นเจ้าเมืองสืบไป " แล้วเจ้าพลก็สิ้นใจ
กุมภวาจึงกล่าวแก่สีเมฆว่า " สูจงเป็นเจ้าเมืองตามที่เจ้าพลประสงค์เถิด เพื่อไทแห่งแคว้นเม็งจะหายใจอย่างผู้เป็นเจ้าของบ้านบ้างหลังจากที่ถูกกดขี่มานาน "
แล้วกุมภวาจัดงานศพเจ้าพบและทุกคนพากันอาลัยเจ้าพลกันสิ้น และเมื่อทหารเม็งทั้งปวงรู้ว่าเจ้าพลตั้งสีเมฆเป็นเจ้าเมืองสืบต่อไป ต่างก็มีความยินดี ส่วนคำอ้ายนั้นเมื่อรู้่าสีเมฆเป็นเจ้าเมืองเม็งก็รำพึงกับตนเองว่า " แคว้นเม็งนี้ไม่เป็นแผ่นดินสำหรับข้าต่อไปแล้ว "
ในคืนนั้น คำอ้ายก็หลบหนีออกจากค่ายมุ่งไปยังเมืองไต๋ เมื่อถึงก็เข้าไปหาขุนสายและคำอ้ายขนทองมามาก ก็นำไปกำนัลขุนสาย และขุนสายรู้ว่าคำอ้ายมีปัญญาจึงรับคำอ้ายไว้ให้อยู่กับตน
สีเมฆเมื่อเข้าไปในค่ายของทหารเม็ง ก็แจ้งแก่ทหารว่า " จงไปจับคำอ้ายมาฆ่าเสีย คนคนนี้ถึงจะมีปัญญาแต่ก็ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน จะให้อยู่ต่อไปไม่ได้ "
เมื่อทหารไปยังกระโจมคำอ้าย ก็รู้ว่าคำอ้ายหนีไปเสียแล้ว จึงมาแจ้งให้สีเมฆทราบ สีเมฆให้ทหารค้นหาทั่วไป แต่ก็ไม่ทราบว่าคำอ้ายหลบไปที่ใด ต่อมาสีเมฆก็ให้ทหารเตรียมเดินทางกลับเมืองเม็ง
ต่อมาขุนสินก็นำทัพกลับพร้อมกับเจ้าเมืองซำ เจ้าเมืองสาดและเจ้าเมืองพุมเรียง สีเมฆกับกุมภวาตามมาส่งจนกระทั่งถึงลำน้ำยวง และกุมภวาก็ยกทัพกลับแคว้นลือ พร้อมกันนั้นกุฉินและสีเภาก็กลับไปยังเมืองของตน
สีเมฆมากับกุมภวาได้ครึ่งวัน และทั้งสองก็อำลาต่อกัน และสีเมฆกล่าวว่า " หากเมืองเม็งจะทำสิ่งใดตอบแทนแก่แคว้นลือได้ ข้าจะกระทำจนสุดกำลังของข้า เพื่อตอบแทนไมตรีของสูครั้งนี้ "
กุมภวากล่าวว่า " สิ่งที่ข้าประสงค์ให้สูช่วยนั้นคือ ต่อไปนี้จิ๋นรู้แล้วว่าทองของเขาทำลายไทไม่ได้ เขาจะใช้ทางสุดท้ายคือ มาทำลายเราด้วยกำลัง หากจิ๋นยกมาเมื่อใด ขอให้แคว้นเม็งช่วยแคว้นอื่น ๆ ซึ่งเป็นไทด้วยกัน "
สีเมฆตอบว่า " ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว งานเช่นนี้เป็นเรื่องของคนไททุกคนจะต้องช่วยกัน "
แล้วทั้งสองก็แยกัน

๑๙...

เมื่อสีเมฆกลับมายังเมืองภูสันตองแล้ว จึงปรึกษาชาวเมืองว่า ผู้ใดสมควรเป็นผู้รักษาแขวงภูสันตองต่อไป ชาวเมืองรักใคร่เข็มเมืองอยู่ จึงขอให้สีเมฆตั้งเข็มเมือง สีเมฆก็ตั้งให้เข็มเมืองเป็นผู้รักษาแขวงภูสันตองต่อไป เข็มเมืองไปปรึกษาภรรยาว่าื " บัดนี้ชาวเมืองจะให้ข้าเป็นเจ้าเมือง แต่ระหว่างเป็นเจ้าเมืองนั้น เราทั้งสองจะหาเงินทองแข่งกับราษฎรไม่ได้ เพราะเป็นการเอาเปรียบราษฎร ถ้าสูยอมตามนี้ข้าจะรับเป็นเจ้าเมืองได้ " ภรรยาของเข็มเมืองก็ยอมตามสามี
เมื่อตั้งเข็มเมืองเป็นผู้ปกครองแขวงภูสันตองเรียบร้อยแล้ว สีเมฆก็นำทหารกลับเมืองเม็ง เมื่อชาวเมืองเม็งรู้ว่าสีเมฆมาเป็นเจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับตลอดทาง นางเอื้องคำซึ่งรักษาเมืองเม็งอยู่ เห็นว่ามิอาจจะต่อสู้สีเมฆได้ก็ออกมามอบเมืองให้แก่สีเมฆโดยดีและกล่าวว่า " ข้าดูแลเมืองนี้มานานพอจะรู้ได้ว่าใครเป็นอย่างไร ข้าจะช่วยเหลือสูในการปกครองเมืองต่อไป "
สีเมฆกล่าวว่า " ลูกคนเดียวสูยังดุแลไม่ได้ คนทั้งเมืองสูจะดูแลได้หรือ " นางเอื้องคำได้ฟังก็มีความละอายและลาสีเมฆไป
ระหว่างที่สีเมฆปกครองเมืองเม็ง ชาวเมืองนับถือในผู้ปกครองและโจรผู้ร้ายน้อยลง ในสมัยที่ขุนจาดปกครองนั้น ผู้ใดทำตัวให้ใกล้ชิดขุนจาดได้ ขุนจาดจะให้อำนาจแก่คนเหล่านั้น แต่เมื่อสีเมฆมาเป็นเจ้าเมือง สีเมฆสังเกตเห็นว่าคนของขุนจาดมิได้คำนึงถึงหน้าที่ต่อราษฎรและมุ่งแต่ประโยชน์ และอำนาจของตนเองสีเมฆจึงแสวงผู้ที่มีความสามารถมาช่วยงานแผ่นดิน ส่วนคนยากจนสีเมฆก็เอาใจใส่อยู่มิให้ถูกทอดทิ้ง
และเมื่อสีเมฆเห็นพนักงานของบ้านเมือง ส่วนมากถือตัวว่ามีอำนาจเหนือชาวเมือง สีเมฆจึงให้พนักงานทุกคนออกช่วยราษฎรทำนาและให้ออกไปถามความเป็นอยู่ราษฎร และจะมีผู้เห็นสีเมฆไปพักแรมกับชาวบ้านเสมอ ชาวเม็งก็รู้สึกว่าฝ่ายปกครองนั้นใกล้ชิดกับเขาและทำงานให้แก่เขา
เมื่อสิ้นปีนั้น สีเมฆให้มีการฉลองเมือง มีคณะฟ้อนรำจากเมืองต่างๆ มาร่วมในงาน พันสงหัวหน้าคณะซึ่งมาจากเมืองเชียงแส เมื่อเดินทางกลับได้ซื้อเด็กสาวผู้หนึ่ง ชื่อลำเพาจากคนปลูกผักริมเมืองเม็ง เสียงของนางจับใจทุกคนที่ได้ฟัง และนางร้องเพลงไพเราะยิ่งนัก นางเคยบอกเพื่อนๆ ว่ามิใช่ทองของคนมั่งมี และดาบของผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สร้างหรือทำลายเมืองได้ เสียงของนางเมื่อโตจะมีอำนาจเช่นเดียวกัน และระหว่างที่นางเดินทางไปเชียงแส นางกล่าวว่านางกำลังเดินไปในโชคชะตาของนาง

จบภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ก็ลองติดตามดูนะครับเหตุการณ์ ของเรื่องราว ภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)ตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยปัจจุบันมากที่สุด ย้อนรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต คล้ายกับว่า ยามศึกเรารบ ยามสงบเราทะเลาะกัน อ่านแบบตัวอักษรต่ออักษร แล้วท่านจะได้ข้อคิดอย่างไร ก็พิจารณาเอาเองเถิด อิสระชน แห่งยุคประชาธิปไตย ยุคความคิดที่เป็นประโยชต่อมนุษยชาติที่ไร้ขอบเขต