วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนไท ทิ้ง แผ่นดิน (ภาค ๔ ทัพไทเข้าแดนจิ๋น)

ภาค๔
ทัพไทเข้าแดนจิ๋น

๑...
ทัพไทเดินทางมาถึงเข้าจินไต ก็ประสบกับพายุใหญ่ ฟ้าผ่าต้นไม้ล้มตายเป็นอันมาก และในยามดึกมีเสียงขิมดังมาจากไหล่เขา แต่พอตะวันขึ้นพายุและฟ้าคะนองก็เกิดขึ้นอีก ทหารไทหวาดกลัวกันสิ้น เพราะไม่เคยประสบเหตุเช่นนี้มาก่อนเลย
กุมภวาจึงออกไปสำรวจพร้อมกับจันเสน เมื่อขึ้นไปถึงไหล่เขา ซึ่งมีเสียงขิมในเวลากลางคืน ก็ได้เห็นศาลตั้งอยู่ เมื่อเข้าไปศาลนั้นกุมภวากับจันเสนได้เห็นรูปสลักรูปหนึ่งเป็นชาวจิ๋น มือถือพัด แต่งกายและสวมหมวกตามแบบเต๋าภายใต้อักษรจิ๋นสลักไว้
จันเสนจึงถามกุมภวาว่า " นี่เป็นรูปผู้ใด "
กุมภวาตอบว่า " ผู้นี้นำทัพมารุกรานไทเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าจะต้องทำลายศาลนี้เสีย "
แล้วจันเสนก็เงื้อดาบจะฟันรูปสลักนั้น กุมภวายึดแขนจันเสนไว้ และกล่าวว่า " จันเสนเอย เรามาครั้งนี้เพื่อทำศึกกับคนเป็น เราจะมาเริ่มต้นโดยทำร้ายคนตายหรือ "
แล้วกุมภวาไปที่รูปสลักนั้น และกล่าวว่า " จูโกเหลียงเอย สูพ้นความผูกพันกับชีวิตแล้วด้วยความหวังดีที่สูมีแก่บ้านเมืองของสู สูจะไปอยู่ในแดนซึ่งสูงกว่าโลกนี้ จูโกเหลียงเอย ข้ายกทัพมาครั้งนี้มิใช่ด้วยความเจ็บแค้นที่สูเคยสังหารคนไทเสียมากต่อมาก ข้าทำไปตามวิสัยการศึก เช่นเดียวกับที่สูกระทำกับทัพจิ๋นก๊กอื่นๆ เราจะแก้แค้นกันมิได้ ข้ามานี้เพราะลิบุ๋นเข้าไปรุกรานเรา เราจึงติดตามมาเมื่อทัพของลิบุ๋นพ่ายแพ้ ข้ารู้อยู่ว่าไม่อาจจะยึดแผ่นดินจิ๋นไว้ในอำนาจของคนไทได้ แต่ข้าจะให้ชาวจิ๋นยำเกรงคนไทบ้าง แล้วจิ๋นกับไทจะเป็นมิตรกันได้ ชาวจิ๋นเวลานี้ถือว่าความเป็นมิตรเกิดขึ้นได้เฉพาะระหว่างผู้ที่ทัดเทียมกันเท่านั้น "
" จูโกเหลียงเอย คนเมื่อมีชีวิตอยู่นั้นจะมีชาติ มีเผ่า แต่เมื่อพ้นอำนาจของร่างกายไปแล้ว ผู้นั้นไม่มีชาติไม่มีศัตรู ข้าไม่ประสงค์จะทำศึกกับสู สูอย่าขัดขวางข้าเลย "
แล้วกุมภวาเอาธูปเทียนเซ่นรูปสลักนั้น จากนั้นมาทัพไทก็ผ่านเขาจินไตไปโดยสะดวก
เมื่อถึงเมืองซุยเยน กุมภวาให้ทหารล้อมเมืองไว้ อันว่าเมืองซุยเยนนี้เป็นเมืองเล็ก แป๊ะซุยเจ้าเมืองมีทหารอยู่เพียงสองพันแต่กำแพงเมืองสูงหนาถึงสองวา กุมภวาให้ทหารโจมตีอยู่สองวัน ก็ไม่อาจจะเข้าเมืองได้ และแป๊ะซุยเจ้าเมืองออกมานั่งเสพสุราและตีขิมอยู่บนเชิงเทินเย้ยทัพไท วันที่สามกุมภวากับบุญปันออกไปพิเคราะห์กำแพงเมืองอีก แป๊ะซุยเห็นคนทั้งสองก็ร้อยเย้ยไปว่า " สูจะไปตีเมืองโลยางหรือ จงกลับไปเรียนทำศึกกับกำแพงเสียก่อน จึงค่อยยกทัพมาใหม่ "
กุมภวาเห็นกำแพงเมืองซุยเยนแข็งยิ่งนัก ก็กล่าวแก่บุญปันว่า " เราไม่ควรจะเสียเวลากับเมืองหน้าด่านนี้ ข้าคิดว่าเราเดินทัพผ่านเมืองนี้ไปก่อน หากแป๊ะซุยนำทหารติดตามก็คงจะเสียทีเแก่เรา "
บุญปันเห็นด้วย แล้วกุมภวาร้องบอกแป๊ะซุยไปว่า " ข้าจะสงบศึกกับกำแพงไว้ก่อน เพราะจะรีบไปทำศึกกับคน "
แล้วกุมภวาถอนทัพ ให้ทหารผ่านเมืองซุยเยนไป เมื่อมาได้หกร้อยเส้นถึงหุบเขามอซัว กุมภวาจึงกล่าวแก่บุญปันว่า " สูจงนำทัพล่วงหน้าไปก่อ ข้าจะรอจับแป๊ะซุย "
แล้วกุมภวาจึงแบ่งทหารไว้ห้าพันพร้อมกับจันเสน ธงผาและลำพูน
แป๊ะซุยเมื่อเห็นทัพไทมุ่งไปยังเมืองกังใส จึงกล่าวแก่แป๊ะเหล็งผู้เป็นน้องว่า " สูจงอยู่รักษาเมือง ข้าจะรีบนำทหารไปช่วยเจ้าเมืองไส "
แล้วแป๊ะซุยนำทหารกองหนึ่งมุ่งไปทางกังไส พอถึงช่องเขามอซัว แป๊ะซุยเห็นจันเสนยืนอยู่ที่ไหล่เขาและจันเสนร้องบอกลงมาว่า " แป๊ะซุย เราล้อมไว้รอบด้านแล้ว จงยอมแพ้เสียโดยดี "
แป๊ะซุยตอบว่า " ข้ายังไม่เคยเห็นฝีมือคนไท ไฉนจะยอมแพ้โดยง่ายเล่า "
จันเสนก็ให้ทหารเข้าโจมตี ทหารของแป๊ะซุยถูกฆ่าตายเป็นอันมาก แป๊ะซุยเห็นช่องเขาข้างหน้าว่างอยู่ ก็นำทหารตีฝ่าไปทางนั้น พอมาได้สี่สิบเส้นก็พบกับกองทหารไทอีกกองหนึ่งมีธงผายืนม้าขวางอยู่ ธงผาร้องบอกไปว่า " ข้าชื่อธงผา คนที่ฆ่าเซ็กโป คนมีฝีมือชาวกังไส สูจงยอมให้จับเสียโดยดี "
แป๊ะซุยร้องตอบว่า " เซ็กโปมีฝีมืออย่างคนเลี้ยงม้า ไฉนสูจึงนำมาอ้าง แล้วแป๊ะซุยก็เข้ารบกับธงผา เมื่อรบกันได้ครู่ใหญ่แป๊ะซุยเห็นข้างหน้าว่างจึงขับม้าต่อไป ธงผาติดตามไปแป๊ะซุยขับม้าไปได้สี่สิบเส้นเห็นลำพูนก็ทำเป็นอ่อนกำลังและปล่อยให้แป๊ะซุยขับม้าต่อไป แป๊ะซุยขับม้าปอีกสี่สิบเส้นเห็นกุมภวายืนถือดาบขวางหน้าอยู่ และกุมภวาร้องบอกไปว่า " แป๊ะซุย ทหารของข้าตามมาข้างหลังแล้ว สูจงมาให้จับเสียโดยดี "
แป๊ะซุยกระชับทวนไว้แน่น และพุ่งม้าตรงไปยังกุมภวา แต่เบื้องหน้ากุมภวานั้นมีหลุมเรียงรายอยู่และมีหญ้าปิดพรางไว้ ม้าของแป๊ะซึยเหยียบลงไปในหลุมล้มลง ทหารไทก็เข้าไปจับแป๊ะซุยไว้และนำไปยังกุมภวา กุมภวาก็ให้แก้มัดแป๊ะซุย
แป๊ะซุยกล่าวว่า " ข้าถูกจับแล้ว สูยังไม่นำไปฆ่าอีกหรือ "
กุมภวาจึงว่า " สูไม่ต้องรียบตายเร็วนัก ที่ข้าแก้มัดสูก็เพราะว่าคนไทมีธรรมเนียมอยู่ว่าผู้ใดที่เราจะประหาร เราต้องให้เสพสุราอาหารให้อิ่มก่อนจึงจะนำตัวไปประหาร "
แล้วกุมภวาให้ทหารนำสุราหนึ่งเหยือกมาให้แป๊ะซุย และกล่าวว่า " เราจะไม่ฆ่าสูจนกว่าสูจะดื่มสุราเหยือกนี้แล้ว "
แป๊ะซุยรับสุราเหยือกนั้นมา และค่อยๆ เทลงกับพื้น น้ำสุราไหลลงดินไปสิ้น แล้วแป๊ะซุยกล่าวว่า " ข้าไม่ได้ดื่มสุราของสูแล้ว สูจะทำอะไรกับข้า "
กุมภวาหัวเราะและกล่าวว่า " เกิดเป็นคนจะมีสิ่งใดเสมอการรักษาคำพูดเล่า เมื่อสูกลับไม่ได้ดื่มสุรานั้น ข้าก็จำต้องปล่อยสูไป แต่ว่าเมื่อสูกลับไปเมืองซุยเยนแล้วสูต้องเป็นมิตรกับเรา เพราะถ้ายังเป็นข้าศึกกัน ข้าจะปล่อยสูไปไม่ได้ "
แป๊ะซุยรับคำ แล้วกุมภวาก็ปล่อยแป๊ะซุยและทหารซุนเยนทั้งหมดที่จับมาได้ แป๊ะซุยจึงนำทหารของตนกลับไปยังเมืองซุยเยน ส่วนกุมภวาก็เดินทัพไปสมทบกับบุญปัน

๒...
ที่เมืองกังไส กุยเยียน เจ้าเมืองกังไส เมื่อรู้ข่าวว่าทัพไทยกมาก็มีหนังสือแจ้งไปยังเมืองโลยาง แล้วกุยเยียนให้เกณฑ์ชาวเมืองกังไสเพื่อยกไปต้านทัพไท เมื่อได้คนสามหมื่นแล้ว กุยเยีนให้เคลื่อนทัพ และกุยเยียนนี้มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า กุยวัง อายุสิบหก รูปร่างงาม เมื่อออกล่าสัตว์ได้เนื้อมาจะนำไปให้บิดาก่อนเสมอ เป็นที่รักใคร่ของกุยเยียนยิ่งนัก เมื่อกุยเยียนจะออกจากเมือง กุยวังวิ่งมาหาและกล่าวว่า " บิดาไปศึกครั้งนี้ขอให้ข้าตามไปด้วยเพื่อจะได้เรียนการศึก และข้าแข็งแรงพอจะทำการรบได้แล้ว อนึ่งเล่าเมื่อชาวเมืองเห็นบุตรคนเดียวของเจ้าเมืองไปทัพ ชาวเมืองจะมีน้ำใจสู้กับข้าศึกยิ่งขึ้น "
กุยเยียนก็ยินยอมให้บุตรของตนตามไปด้วย
เมื่อกุยเยียนเดินทัพมาได้พันห้าร้อยเส้น ก็พบกับทัพไทกุยเยียนจึงให้ตั้งค่ายไว้ แต่ทหารยังขุดคูมิทันเสร็จ ก็เห็นฝุ่นตลบมาจากข้างหน้า กุยเยียนให้ทหารเตรียมรับข้าศึก แต่ยังมิทันจะจัดขบวนได้ ทัพม้าของฝ่ายไทก็เข้ามาถึง และไล่ฆ่าฟันทหารกังไสล้มตายเป็นอันมาก ที่ถูกจับเป็นเชลยก็มาก กุยเยียนนำทัพที่เหลือถอยไป และให้ทหารออกค้นหากุยวัง แต่หาไม่พบกุยเยียนเข้าใจว่าบุตรถูกฝ่ายไทฆ่าตายแล้ว ก็ร้องไห้ด้วยความอาลัยบุตร
ขณะที่ทัพม้าตะลุยเข้าไปในค่ายของฝ่ายกังไสนั้นกุยวังถือดาบต่อสู้กับทหารไทและฆ่าทหารไทตายไปหลายคน แต่ในที่สุดทหารไทกลุ้มรุมจับกุยวังได้ และนำไปมอบแก่กุมภวา กุมภวาถามกุยวังว่า " สูอายุยังน้อย เหตุใดจึงมากับกองทัพ "
กุยวังหาได้พูดประการใดไม่ กุมภวาให้นำกุยวังไปขังไว้รวมกับเชลยชาวกังไสคนอื่นๆ และเมื่อกุมภวาเห็นเชลยอื่นๆ แสดงนอบน้อมต่อกุยวังเป็นอันดี จึงเรียกเชลยมาสอบถามก็ได้ความว่า กุยวังเป็นบุตรคนเดียวของเจ้าเมืองกังไส กุมภวาจึงให้ทหารแยกกุยวังไปคุมไว้ต่างหาก และให้ชาวกังไสมาปรนนิบัติเป็นอันดี
แล้วกุมภวาให้เดินทัพติดตามทัพของกุยเยียนไปโดยเร็ว
ฝ่ายกุยเยียนเมื่อเดินทัพหนีมาได้พันเส้นก็ให้ทหารหยุดพัก และวันนั้นเองกุมภวายกทัพตามมาทัน กุยเยียนจึงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " เราจะตั้งสู้กับคนไทที่นี่หากเราจะหนีต่อไป คนไทจะติดตามเรื่อยไป และเราจะไม่อาจเข้าเมืองโดยปลอดภัยได้ เพราะทหารม้าของฝ่ายไทรวดเร็วนัก "
แล้วกุยเยียนให้ทหารเร่งขุดคูป้องกันค่าย กุมภวาส่งทหารออกสอดแนมก็ได้ข่าวว่าทัพกังไสขุดคูป้องกันค่ายอยู่ จึงให้ทหารของตนเตรียมพร้อมเพื่อโจมตี และเมื่อทหารสอดแนมมาแจ้งแก่ทัพกังไสขุดคูได้เสร็จสามด้านแล้ว ยังไม่เสร็จแต่ด้านหลังเท่านั้น กุมภวาจึงให้ทหารรีบยกเข้าโจมตีทัพของกังไส ทัพใหญ่ของกังไสยันทัพไทอยู่ด้านหลังแต่ด้านเดียวก็พอที่จะต้านทานทัพไทได้ รบกันตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ทัพไทยังบุกเข้าทำลายค่ายมิได้
กุมภวาเห็นฝ่ายกังไสเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงให้ช้างห้าสิบเชือกเข้าช่วยทัพราบ ทหารกังไสถูกช้างเหยียบและถูกทิ่มแทงด้วยงาล้มตายเป็นอันมาก ต่างก็วิ่งหนีกันอลหม่าน ส่วนพวกที่หนีข้ามคูไปก็ถูกทหารม้าของกุมภวาฆ่าฟันตายสิ้น
กุยเยียนเห็นว่าขืนต่อสู้ต่อไป ชาวกังไสจะพากันตายเปล่า ไม่อาจจะเอาชนะได้ จึงให้ยกธงยอมจำนน กุมภวาก็ให้ทหารไทถอยออกมาคอยอยู่ที่หน้าค่ายของฝ่ายกังไส
แล้วกุยเยียนขึ้นม้าไปยังทัพไท พร้อมกับผู้ช่วยสองคนและเห็นกุมภวายืนอยู่เบื้องหน้าทัพไท กุยเยียนลงจากหลังม้าและเข้าไปยื่นดาบของตนให้แม่ทัพฝ่ายไท กุมภวาก็เชิญกุยเยียนไปยังค่าย และถามกุยเยียนว่า " ที่จริงนั้นผู้ชนะไม่ต้องฟังความเห็นของผู้แพ้ แต่ชาวกังไสมิได้เป็นศัตรูกับชาวไท บังเอิญเมืองกังไสมาขวางทางเดินทัพของเราเราจึงต้องรบด้วย บัดนี้สูยอมจำนนแล้วจะให้ข้ากระทำแก่เมืองกังไสอย่างใด "
กุยเยียนตอบว่า " ที่ข้ายอมจำนนนี้ด้วยหวังว่าสูจะไม่ทารุณแก่ชาวกังไส ข้ารู้ว่าทัพไทมีทหารไม่มากนัก หากสูจะต้องเอาทหารยึดเมืองกังไสไว้ เพราะไม่ไว้ใจชาวเมือง สูจะมีทหารไปต่อสู้ทัพจิ๋นข้างหน้าน้อยลง "
กุมภวากล่าวว่า " มีอยู่ทางหนึ่งที่ข้าจะไม่ต้องทิ้งทหารไว้ยึดเมืองกังไส ทางนั้นคือว่าข้าจะทำลายเมืองเสียให้สิ้น "
กุยเยียน " สูอาจจะทำเช่นนั้นได้ แต่เมื่อสูเดินทัพต่อไปชาวเมืองข้างหน้าเมื่อรู้ความโหดร้ายของทัพไท ก็จะรวมกำลังกันต่อสู้กับทัพไทเข็มแข็งยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่รการยอมจำนนไม่ทำให้รอดชีวิตได้ "
กุมภวา " แต่ถ้าข้าปล่อยทัพกังไสไว้เบื้องหลัง ทัพกังไสจะทรยศต่อข้าได้ "
กุยเยียน " คนกังไสมีน้ำใจรู้ความดีเช่นเดียวกับชาวเมืองอื่น แต่ถ้าสูไม่เชื่อเช่นนั้นจงเลือกชาวกังไสเป็นประกันไปกับทัพเถิด เพื่อให้แน่ใจว่าเมืองกังไสจะไม่ทำร้ายข้างหลัง "
กุมภวา " ข้าจะเอาชาวกังไสร่วมเป็นผู้ช่วยรบในกองทัพห้าพันคน แต่จะต้องเอาบุตรของสูเป็นประกันไปด้วย หากไม่ได้ตามนี้ข้าจะทำลายเมืองกังไสให้สิ้น "
กุยเยียนได้ฟังก็เสียใจยิ่งนัก น้ำตาไหลนองหน้าด้วยคิดถึงบุตรของตน
กุมภวาก็รู้ว่ากุยเยียนกำลังอาลัยบุตรของตน จึงถามว่า " เหตุใดเจ้าเมืองกังไสจึงร้องไห้ หรือว่าเสียดายบุตรตน "
กุยเยียนตอบว่า " ข้าจะไม่อยากให้บุตรข้าเป็นตัวประกันก็หาไม่ แต่บัดนี้บุตรข้าสิ้นชีวิตไปแล้ว ข้าหมดหนทางที่จะกระทำตามข้อเรียกร้องของสู "
แล้วกุยเยียนก้มหน้าอยู่ แต่ทันใดนั้นทหารไทก็นำกุยวังออกมา กุยเยียนเห็นเช่นนั้นก็ยินดียิ่งนัก หันไปกล่าวแก่กุมภวาว่า " สูจงไว้ชีวิตบุตรของข้าเถิด เพราะเป็นที่รักของข้าและของมารดาเขา ข้าจะยอมให้เขาเป็นตัวประกันไปกับทัพของสู "
กุมภวากล่าวว่า " สูอย่าเป็นห่วงเลย ข้าจะดูแลบุตรของสูมิให้เดือดร้อนและตราบเท่าที่สูมิทำให้ทัพไทต้องกังวลเบื้องหลัง บุตรของสูจะอยู่ในทัพไทเสมือนอยู่ในเมืองกังไสเอง
แล้วกุยเยียนก็ลากุมภวาไป และนำอาวุธทั้งหมดมามอบให้แก่กุมภวา กุมภวาจึงกล่าวว่า " ข้าต้องการวัวแทนอาวุธเหล่านี้ "
กุยเยียนจึงไปจัดหาวัวมามอบให้กุมภวาแทนอาวุธ
แล้วกุมภวาก็นำทัพไทเดินทางต่อไปจนเข้าเขตเมืองน่ำจิวระหว่างเดินทาง เมื่อฆ่าวัวเป็นอาหารแล้ว กุมภวาก็ให้เก็บหนังวัวไว้

๓...
อันเมืองน่ำจิวนี้ชาวเมืองเป็นจิ๋น และมีความชำนาญในการตอนคนส่งไปเป็นขันทีในวังหลวงและในบ้านขุนนางผู้ใหญ่ของจิ๋น ขณะนั้นเล่าฮกเป็นเจ้าเมือง เมื่อเล่าฮกทราบว่าทัพไทผ่านเมืองกังไสมาได้แล้ว จึงเขียนใบบอกให้ม้าเร็วถือไปยังเมืองหลวง ขอให้ส่งทัพหลวงมาช่วยโดยเร็ว
ทางเมืองหลวงของจิ๋นนั้น บัดนี้มีทหารที่รอดตายจากทัพลิบุ๋นกลับมาบ้านได้บ้างแล้ว และข่าวทัพลิบุ๋นถูกทำลายก็กระจายไปทั่ว เมื่อม้าเร็วของกุยเยียนมาแจ้งว่าทัพไทบุกเข้ามาถึงเมืองกังไสแล้วชาวเมืองโลยางก็แตกตื่นด้วยความตกใจ และกลัวทัพไทยิ่งนัก กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงเรียกประชุมขุนนางทั้งปวงและกล่าวว่า " บัดนี้ทัพฮวนมาถึงเมืองกังไสแล้ว และทหารของเราได้สิ้นไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ของลิบุ๋นเป็นอันมาก เราจะทำประการใด "
ยังมิทันที่ผู้ใดจะเอ่ยปาก ม้าเร็วจากเมืองน่ำจิวก็เข้ามายื่นหนังสือของเล่าฮกให้ขันทีหน้าบัลลังก์ ขันทีนำออกอ่านเป็นความว่า " ข้าเล่าฮกเจ้าเมืองน่ำจิว ขอนำความแจ้งแก่กษัตริย์จิ้นอ๋องว่า บัดนี้ทัพไทผ่านเมืองกังไสมาแล้ว เมืองกังไสไม่อาจจะต้านทานทัพไทได้ กุยเยียนจึงยอมจำนนแก่ทัพไท ทัพไทนี้มีชัยต่อทัพสี่แสนของลิบุ๋นมาแล้ว ส่วนเมืองน่ำจิว
นี้ไม่มีทหารประจำ จะเกณฑ์ชาวเมืองได้ก็ประมาณสองหมื่นเศษจะสู้กับทัพไทได้นานขอเมืองหลวงรีบส่งทัพมาช่วย ส่วนข้าจะป้องกันเมืองจนสุดความสามารถ "
ขุนนางทั้งปวงได้ทราบดังนั้นก็พากันตกใจ กษัตริย์จิ้นอ๋องมองไปรอบๆ เพื่อหาคนที่จะอาสาไปปราบทัพคนเถื่อน ที่ประชุมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดงันสุยแม่ทัพจิ๋นซึ่งเป็นเจ้าเมืองตังเกี๋ยและมาโลยางชั่วคราว ลุกขึ้นกล่าวว่า " ข้าจะขออาสาไปทำลายทัพคนเถื่อนพวกนี้ หากทำไม่ไดด้ข้าจะไม่ขอกลับมาโลยางอีก "
กษัตริย์จิ้นอ๋องยินดีที่มีคนอาสา พระองค์สนทนาและสังเกตงันสุยอยู่ครู่หนึ่งจึงมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ แล้วงันสุยก็คัดเลือกทหารโดยด่วน และบรรดาชายหนุ่มลูกขุนนางจิ๋นทั้งปวง เมื่อทราบว่าทัพไทบุกเข้ามาในแดนจิ๋น ก็เข้าอาสาการทัพเป็นอันมาก และนำบริวารของตนติดตามไปในกองทัพด้วยงันสุยได้คนทั้งหมดเก้าหมื่น ก็รีบยกทัพเดินทางไป ทัพราบงันสุยมีซิฉุยเป็นผู้ช่วย และทัพม้าเก้าพันมีบ้วนฮุยเป็นคนนำทัพม้านั้นล้วนแต่เป็นลูกขุนนางจิ๋น ซึ่งแต่งตัวไปในกองทัพอย่างงดงาม เครื่องม้าก็ทำด้วยทองและเงิน ทุกคนเมื่อเห็นทัพของตนคึกคักโอ่อ่า ต่างก็มั่นใจว่าเมื่อพบทัพไทวันใด วันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายของทัพไท
และเมื่องันสุยนำทัพผ่านประตูเมือง งันสุยเห็นซินหยงยืนดูทัพของตนอยู่ งันสุยจึงถามว่า " สูเป็นหมอดูเอกจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า ข้ายกทัพไปครั้งนี้จะเป็นอย่างไร "
ซินหยงตอบว่า " หมอดูมิได้ทายได้เสมอไป แต่ข้ารู้ว่าถ้าสูจะเสียทีทัพฮวนก็มจะมิใช่เพราะเหตุอื่น แต่เพราะว่าทัพม้าของสูมีแต่ลูกขุนนางที่แต่งตัวไปรบเหมือนจะไปเล่นงิ้วให้คนป่าชม "

๔...
กุมภวาเมื่อนำทัพมาถึงเมืองน่ำจิว เห็นชาวเมืองเรียงรายอยู่บนเชิงเทินเตรียมป้องกันเมืองเข้มแข็ง กุมภวาจึงขับม้าไปยังหน้าเมือง และให้ทหารถือธงนำหน้า เมื่อถึงหน้าประตูเมืองกุมภวาก็ร้องบอกไปว่า " เล่าฮกเจ้าเมืองจกออกมาเจรจากับเรา "
เล่าฮกออกมายืนที่หน้าเชิงเทิน และย้อนถามไปว่า " ฮวนจะมาเจรจากับจิ๋นหรือจะมารบกับจิ๋น "
กุมภวา " เราจะรบต่อเมื่อการเจรจาไม่เกิดผล ที่เรายกทัพมาครั้งนี้ปลายทางของเราคือเมืองโลยาง เรารู้ว่าในเมืองของสูเวลานี้มีชายจับอาวุธได้เพียงสองหมื่นเศษเท่านั้น และถนัดจับมีดตอนคนยิ่งกว่าจับดาบ ข้าสงสารชาวเมืองทั้งหญิงและชายจะตายเสียเปล่า จงยอมจำนนเสียโดยดี "
เมื่อถูกหาว่าคนของตนถนัดแต่การตอนคน เล่าฮกกโกรธและร้องตอบไปว่า " ชาวจิ๋นเคยเป็นแต่นายของฮวนไฉนเราจะยอมจำนนต่อทาสของเรา สูจงถอยออกไป เราหมดการเจรจากันแล้ว "
แล้วเล่าฮกโบกมือให้ทหารของตนน้าวธนูไว้ กุมภวาจึงถอยออกมา แล้วก็ให้ทัพไทเข้าโจมตี แต่ชาวน่ำจิวยิงธนูสกัดไว้ทหารไทไม่อาจเข้าถึงกำแพงเมืองได้ กุมภวาจึงให้ทหารถอยออกมา
และในวันนั้นกุมภวาให้ทหารเอาหนังวัวแห้งที่สะสมไว้นั้นมาทำเป็นรูปเหมือนหลังเต่ามีที่จับภายใน โล่หนังวัวอันหนึ่งกำบังทหารได้หกคน
ในวันรุ่งขึ้น กุมภวาให้ทหารออกโจมตีอีก และเมื่อชาวเมืองน่ำจิวยิงธนูมาทหารไทก็หลบอยู่หลังโล่หนังวัวแห้งนั้น และประดาเข้าไปจนถึงกำแพงเมือง แล้วทหารไทก็ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง แต่ถูกทหารน่ำจิวขัดขวางไว้ ทั้งสองฝ่ายรบกันจนถึงเที่ยงวัน กุมภวาจึงให้ทหารถอยออกมา และนำช้างห้าสิบเชือกออกเรียงรายอยู่หน้ากำแพงเมืองน่ำจิว
ชาวเมืองน่ำจิวไม่เคยเห็นสัตว์ร่างใหญ่โตเช่นนี้มาก่อนก็ออกมาดูกันแน่นกำแพงเมือง เมืองกุมภวาร้องบอกไปว่า " หากเล่าฮกไม่ยอมจำนนต่อเรา พรุ่งนี้เราจะใช้ช้างพังประตูเมือง และจะไม่ให้ชาวเมืองน่ำจิวเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว "
แล้วกุมภวาให้ทหารกลับเข้าพักผ่อนในค่าย เพื่อจะเข้าทำลายเมืองน่ำจิวในวันรุ่งขึ้น
ชาวเมืองน่ำจิวต่อสู้กับทหารไทในวันนั้นก็เหลือกำลังอยู่แล้ว และเมื่อเห็นกองช้างของฝ่ายไทเข้าอีกก็หวาดกลัวยิ่งนัก เล่าฮกเห็นชาวเมืองเสียน้ำใจกันเช่นนั้น จึงเรียกประชุมชาวเมืองทั้งชายและหญิง และกล่าวว่า " ที่ข้าป้องกันเมืองอยู่นี้ด้วยเข้าใจว่าทัพจากเมืองหลวงจะมาช่วยทัน แต่จนบัดนี้เรายังมิได้เห็นทหารจากเมืองหลวงแม้แต่คนเดียว หากเราจะขืนสู้ต่อไป พรุ่งนี้พวกฮวนก็คงจะเข้าเมืองได้ ข้าคิดว่าเราควรจะทิ้งเมืองเสีย ผู้ใดจะเห็นประการใด "
ชาวเมืองก็เห็นด้องกับเล่าฮก แต่นางเล่าเจ็งน้องสาวของเล่าฮก ซึ่งเป็นหญิงที่หญิงน่ำจิวนับถือ ลุกขึ้นกล่าวว่า " พี่ข้าคิดเช่นนั้นเสมือนจะให้ผู้ชายได้รอดไป แต่จะปล่อยให้เราผู้หญิงรับทุกข์จากฮวน และคนฮวนจะทำกับหญิงจิ๋นอย่างไรใครเล่าจะรู้ เพราะไม่มีใครคาดนิสัยของฮวนได้ แม้ขณะมีกำแพงป้องกัน พวกผู้ชายยังไม่อาจจะต้านทานคนฮวนและคุ้มภัยให้เราผู้หญิงได้ หากว่าหนีผ่านทุ่งผ่านเขาไป และถูกคนฮวนติดตามโจมตีพวกผู้ชายจะช่วยคุ้มครองเราได้หรือ "
เล่าฮกกล่าวว่า " ข้าคิดในข้อนี้อยู่ แต่มิรู้ที่จะแก้ไขประการใด หากขืนสู้ต่อไป เมื่อคนฮวนบุกเข้าเมืองได้กำแพงที่เคยป้องกันเราก็จะกลายเป็นคอกขังเราให้คนฮวนฆ่าเล่น ผู้หญิงทั้งปวงในเมืองนี้ก็จะได้รับความทารุณจากคนฮวน ข้าได้ยินว่าคนฮวนนั้นโหดร้ายนัก ข้าจึงคิดว่าเราทิ้งเมืองเสียจะดีกว่า "
นางเล่าเจ็งกล่าวว่า " ผู้ชายสู้กับข้าศึกโดยอาศัยแต่คมดาบและลูกธนู หาคิดไม่ว่าหญิงก็มีอาวุธที่จะทำลายได้ดีกว่าเนื้อเหล็กอาวุธนั้นคือความเป็นผู้หญิง พวกเราหญิงชาวน่ำจิว จะช่วยสามีของตนให้ชนะศึกครั้งนี้ได้ ขอให้ผู้ชายหลบหนีไปเถิด แต่จงไปซุ่มอยู่นอกเมือง ส่วนพวกเราจะอยู่รับหน้าคนฮวน ความงามของพวกเรานี้ไม่พอสำหรับฮวนป่าเถื่อนหรือ และเมื่อเราเลี้ยงดูคนฮวนให้เพลินอยู่กับพวกเรา เมื่อได้โอกาสเราจะเก็บอาวุธของฮวนเสียให้สิ้น เมื่อฮวนสลบไสลไปด้วยความสุขกับพวกเรา เราจะเปิดประตูเมืองให้ ถ้าพวกสูเห็นสัญญาณเมื่อใด ก็จงยกมาฆ่าพวกฮวนเสียให้สิ้น อุบายศึกเช่นนี้เคยได้ผลมาแล้วในกาลก่อน ทำไมเราจะไม่ลองใช้บ้างเล่าด้วยวิธีนี้เมืองเราจะพ้นถัยจากฮวน ข้าคิดว่าสามีที่รักภรรยาจะยอมเสียภรรยาให้แก่ฮวนชั่วคราวดีกว่าที่จะให้หญิงเมืองนี้เป็นของฮวนตลอดไป "
หญิงชาวน่ำจิวทั้งปวงก็ยินดีกับความคิดของนางเล่าเจ็ง และชายชาวน่ำจิวก็เห็นด้วย
ในคืนนั้น ชายชาวน่ำจิวก็ลอบออกจากเมืองไปสิ้นและไปซ่อนอยู่ที่หลังเขานอกเมือง
ในวันรุ่งขึ้น กุมภวาให้ทหารออกสนามเตรียมจะโจมตี แต่เมื่อเข้าไปใกล้กำแพงเมืองทหารไทได้เห็นหญิงแต่งตัวด้วยแพรสีต่างๆ อย่างงดงามยืนเรียงรายอยู่บนเชิงเทินแทนทหารที่ถือธนู และประตูเมืองเปิดอยู่ มีหญิงสาวทำการปัดกวาด จันเสนซึ่งขี่ม้านำหน้าทหารไทเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจ จึงขับม้าเข้าไปใกล้ประตูเมือง นางเล่าเจ็งกับหญิงอื่นก็กวักมือเรียก จันเสนสงสัยยิ่งขึ้นจึงขับม้ากลับมาแจ้งแก่กุมภวาและกล่าวเสริมว่า " ข้าเคยได้ยินว่า จูโกเหลียงเปิดประตูเมืองให้คนใบ้ออกมายืนกวักมือเรียกข้าศึก และจูโกเหลียงเองนั้นพาทหารทิ้งเมืองไปบัดนี้ ที่ประตูเมืองน่ำจิวมีหญิงมายืนกวักมือเรียกพวกเรานี่จะเป็นอุบายอย่างไรหรือ "
กุมภวาออกไปตรวจดู เห็นแต่หญิงอยู่บนเชิงเทินก็หัวเราะและกล่าวว่า " ชาวจิ๋นมีอุบายใหม่อยู่เสมอ "
แล้วกุมภวาเรียกทหารทั้งปวงกลับเข้าค่าย และกล่าวว่า " พวกเรากำลังจะถูกอุบาย แต่เป็นอุบายที่ให้ความเพลิดเพลิน หลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว ที่ชายชาวน่ำจิว
จะหนีไป โดยทิ้งหญิงไว้ให้เป็นสมบัติของข้าศึกนั่นย่อมผิดวิสัย ชะรอยชาวน่ำจิวจะคิดว่าพวกเราเป็นคนป่าไม่เคยพบความสวยงาม และเมื่อห่างจากผู้หญิงมานานก็คงจะหลงใหลหญิงชาวจิ๋น ข้าจะให้ทหารของเราครึ่งหนึ่งเข้าไปในเมือง เพื่อจะเพลิดเพลินกับหญิงชาวน่ำจิว แต่ทุกคนอย่าลืมตัว อย่าทำตัวเหมือนไก่ตัวผู้ที่โก่งคอขันเมื่ออยู่ใกล้ตัวเมีย จงปกปิดมิให้หญิงเหล่านั้นรู้ว่าเรามีทหารเหลืออยู่ในค่ายนี้อีก หญิงเหล่านั้นไม่เดียงสาในการศึก จะสังเกตไม่ได้ว่าเรามีทหารมากน้อบเพียงใด "
แล้วกุมภวาคัดเลือกชาวไทที่ดื่มสุราได้เก่งหมื่นห้าพันคน มอบให้บุญปันและแจ้งอุบายให้ทุกคนทราบ บุญปันก็นำชาวไทเหล่านั้นตรงไปยังเมืองน่ำจิว จันเสนเห็นกุมภวามิเลือกตนไปจึงกล่าวแก่กุมภวาว่า " ข้ายังไม่เคยแก่หญิงใดเลย ทั้งหญิงไทและหญิงจิ๋น สูจงให้ข้าเข้าไปในเมืองน่ำจิวด้วยเถิด "
ชาวไทอื่นๆ ได้ฟังก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน และให้ทหารที่เหลือซ่อนตัวอยู่ในคู
ส่วนค่ายของไทนั้นกุมภวาให้รื้อเสียสิ้น และให้ทหารที่เหลือซ่อนตัวอยู่ในคู
บุญปันนำทหารเข้าไปในเมืองน่ำจิว นางเล่าเจ็งก็นำหญิงทั้งปวงออกต้อนรับชาวไท บุญปันถามนางเล่าเจ็งว่า " ชายชาวเมืองไปไหนเสียสิ้นจึงทิ้งหญิงไว้ มีอุบายอย่างไรหรือ สูจงบอกมาตามจริง ข้าจะให้รางวัล "
นางเล่าเจ็งกล่าวว่า " สูอย่าได้สงสัยเลย ชาวจิ๋นนั้นโดยทั่วไปก็เห็นหญิงมีค่าน้อยอยู่แล้ว ยิ่งชายชาวน่ำจิวด้วยแล้วยิ่งดูหมิ่นหญิงมากขึ้นอีก เพราะนิยมแปลงชายให้รับงานแทนหญิงได้ ดังนั้นเมื่อพวกชายหลบหนีไปจึงทิ้งพวกเราได้ด้วยเกรงว่าจะไปสิ้นเปลืองเสบียง และจะล่าช้าในการหลบหนี พวกเราก็พอใจอยู่เพราะได้ยินว่าผู้ชายฮวนนั้นเข้มแข็งนัก พวกเราขอต้อนรับพวกสูด้วยความยินดี "
หญิงชาวน่ำจิวนำสุราอาหารมาเลี้ยงดู และนำชาวไทแยกย้ายไปพักหลับนอนตามบ้าน ชาวไททั้งปวงก็เพลิดเพลินกับหญิงอยู่สองวัน และจันเสนนั้นได้นางเล่าเจ็งไว้เป็นคู่
ครั้นถึงคืนวันที่สอง บุญปันกล่าวแก่นางเล่าเจ็งว่า พวกเราทำศึกมาหลายเดือนแล้วมีชัยตลอดมา บัดนี้ได้เหยียบแผ่นดินจิ๋นแล้ว จะขอดื่มสุราฉลองให้เต็มที่ก่อนจะเข้าไปตีโลยาง ขอให้หญิงน่ำจิวเอาใจพวกเราให้เต็มที่ "
แล้วบุญปันนำทหารไททั้งปวงออกเลี้ยงสุรากัน และให้หญิงน่ำจิวเล่นมโหรี และฟ้อนรำปรนนิบัติตลอดเวลา หญิงบางคนก็นั่งกับทหารไท และคอยส่งสุราให้ทหารไทดื่มมิได้ขาดแต่เป็นสุราที่กองเสบียงเตรียมไว้อย่างอ่อน ทหารไทเลี้ยงดูกันอยู่จนดึกแล้วทำเป็นเมากันทุกคน ที่แกล้งวิวาทกันก็มาก แล้วต่างก็แยกย้ายพาหญิงน่ำจิวกลับไปยังที่พักเพื่อหลับนอน บ้างก็นอนกลิ้งไปมาอยู่ในที่แจ้งนั้นเอง
บุญปันและจันเสนก็แสร้งนอนหลับ ณ ที่เลี้ยงสุรานั้นเอง
นางเล่าเจ็งเข้าใจว่าสุราทำให้ทหารไทลืมตัวกันสิ้นแล้ว นางจึงเรียกหญิงชาวเมืองมาช่วยกันเปิดประตูเมืองด้านเหนือ และนางเองขึ้นไปบนป้อมเหนือประตู จุดคบเพลิงขึ้น และให้หญิงอื่นเอาผ้าบังเบื้องหลังไว้มิให้ทหารไทในค่ายเห็นได้
เล่าฮกเมื่อเห็นคบเพลิงเป็นสัญญาณดังนั้น ก็นำทหารเข้ามา
เมื่อนางเล่าเจ็งชูคบเพลิงขึ้นนั้น หาพ้นจากสายตาของทหารไทซึ่งซุ่มอยู่ในคูค่ายร้างนั้นไม่ กุมภวาจึงยกทหารไปดักอยู่และให้กุฉินนำทหารลอบปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองด้านใต้ สีเมฆด้านตะวันตก และลำพูนด้านตะวันออก เมื่อกุมภวาเห็นเล่าฮกนำทหารเข้าประตูเมืองไปหมดแล้ว กุมภวาก็นำทหารควบม้าติดตามไปโดยเร็ว เมื่อถึงประตูเมืองทหารก็โห่ร้องขึ้นแล้วทหารไทอีกทั้งสามด้านก็โห่ต้อนรับ แล้วกุมภวาให้ทหารร้องบอกไปว่า " ชาวน่ำจิวถูกเราล้อมไว้หมดแล้ว จงวางอาวุธเสียโดยดี "
เล่าฮกเห็นทั้งสามด้านมีทหารไทเรียงรายอยู่ ก็สั่งให้ทหารของตนถอย แต่ถูกทัพของกุมภวาไล่ฆ่าฟัน ศพทหารน่ำจิวกองถมประตูเมืองแน่น และไม่สามารถจะตีฝ่าออกมาได้ ทหารไทที่แกล้งทำสิ้นสติก็ลุกขึ้นเข้าล้อมทหารของเล่าฮกไว้ กุมภวาจึงให้คนของตนร้องสำทับไปอีกว่า " หากชาวน่ำจิวไม่วางอาวุธ เราจะฆ่าเสียไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว "
เล่าฮกก็ลังเลใจอยู่ แต่ว่าชาวน่ำจิวมีความกลัวก็วางอาวุธกันสิ้น โดยไม่รอคำสั่งจากเจ้าเมืองของตน กุมภวาจึงให้นำเชลยทั้งหมดไปคุมตัวไว้ และบรรดาหญิงทั้งปวงก็ถูกคุมเช่นกัน
สองวันต่อมากุมภวาให้นำเชลยทั้งชายหญิงออกมา และกล่าวแก่เชลยชายว่า " สูใช้ให้หญิงรับศึกแทนตนเสมือนว่าตนเองเป็นหญิงไปแล้ว ข้าจะต้องลงโทษให้สม ข้าจะตอนพวกสูเสียทุกคน เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างมิให้ผู้ใดอาศัยภรรยาตนไปล่อลวงคนอื่น "
แล้วกุมภวาให้ทหารของตนนำมีดตอนมาเตรียมไว้ แต่ยังมิทันที่ทหารจะพาเชลยชายออกไปทำการตอน นางเล่าเจ็งก็เดินไปยังกุมภวา และนางเรียกเชลยหญิงที่เป็นพวกของนางตามเข้าไปด้วย นางเล่าเจ็งกล่าวแก่กุมภวาว่า " สูจงลงโทษพวกข้าเถิดอย่าได้ตอนเชลยชายให้หมดความเป็นชายไปเสียเลย เพราะว่าแท้จริงนั้น พวกข้าผู้หญิงชักชวนให้พวกผู้ชายสู้ต่อไป โดยใช้อุบายที่คนของสูรู้ดีแล้วว่าเป็นอุบายดีหรือไม่ดีแก่ใครเพียงไร "
คนไท ณ ที่นั้นก็หัวเราะในคำของนางเล่าเจ็ง แล้วกุมภวากล่าวว่า " พวกเราไม่เคยลงโทษผู้หญิง แต่ในการรบที่เมืองนี้เราเสียหายไปพอควร เราจะต้องลงโทษคนน่ำจิวเสียบ้าง มิฉะนั้นคนของเราจะไม่พอใจได้ แต่ถ้าสูทำให้ข้าเชื่อได้ว่า คนเมืองน่ำจิวไม่ควรถูกทำโทษ สูก็จงชี้แจงให้ข้าฟังเถิด "
นางเล่าเจ็งคุกเข่าลงคำนับกุมภวาแล้วกล่าวว่า " สูพูดว่าสูจะไม่ลงโทษหญิงชาวน่ำ
จิว พวกข้าก็ขอบใจแล้ว แต่ที่สูจะให้ตอนชายชาวน่ำจิวเสียนั้น สูกำลังลงโทษเราหญิงน่ำจิวอย่างร้ายแรง ให้สูตอนพวกเราให้หมดความเป็นหญิงไปจะดีกว่าที่สูจะตอนพวกผู้ชาย "
กุมภวาได้ฟังก็หัวเราะแล้วในที่สุดก็กล่าวแก่นางเล่าเจ็งว่า " ข้ารับรองแล้วว่าจะไม่ทำอันตรายแก่หญิง เหตุใดสูจึงกล่าวว่าข้ากำลังลงโทษพวกสูอย่างหนักเล่า "
นางเล่าเจ็ง " สูก็รู้แล้วว่าถ้าสูตอนผู้ชายของพวกเรา ผู้ชายที่ถูกตอนแล้วจะเป็นภาระให้เราเท่านั้น และจะเป็นขอนไม้ที่รกตาของเรา ไม่มีความเป็นผู้ชายเหลืออยู่เลยและความเป็นชายของสามีเป็นสมบัติของภรรยา หากแม่ทัพไททำลายสิ่งนี้เสีย เราผู้หญิงจะรับทุกข์ยิ่งกว่าเป็นหม้าย ขอให้แม่ทัพกรุณาเถิด อย่าลงโทษหญิงน่ำจิวด้วยวิธีนี้เลย "
ทหารไททั้งปวงพากันหัวเราะในคำของนางเล่าเจ็ง กุมภวาจึงกล่าวแก่นางว่า " หากเราไม่ลงโทษชาวน่ำจิวครั้งนี้ เมื่อกองเสบียงหรือกองหนุนของเราเดินทางผ่านเมืองนี้ และถูกชาวเมืองขัดขืน สูจะให้ข้าลงโทษชายชาวน่ำจิวอย่างไร "
นางเล่าเจ็งกล่าวว่า " สามีของพวกเรามีแขนมีขาและมีอีกหลายอย่างใดตัวอันเป็นสมบัติของเขาเอง หากเขาขัดขวางทางเดินของทัพสู ก็จงลงโทษตัดแขนขาหรืออย่างอื่นในตัวเขาเถิด แต่การทำลายความเป็นผู้ชายของเขานั้นเหมือนสูทำลายสมบัติของผู้หญิง ข้าขอไว้เถิด "
กุมภวาจึงปล่อยเชลยไปเกือบทั้งหมด เหลือไว้เป็นประกันในกองทัพห้าร้อยคน แล้วให้เดินทัพต่อไป

๕...
ฝ่ายงันสุย เมื่อยกทัพมาถึงเมืองฟุกเจา ก็ให้ทหารพักผ่อนและหาเสบียงเพิ่มเติม เมื่อชาวฟุกเจาทราบว่าทัพไปมาถึงเมืองน่ำจิวแล้วต่างก็พากันวิตก และเตียวเหลียงนั้นเมื่อทราบว่าทัพไปที่ยกมานั้นมีกุมภวาเป็นแม่ทัพใหญ่ เตียวเหลียงก็วิตกแทนงันสุยผู้ซึ่งเคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน เตียวเหลียงจึงไปหางันสุยและกล่าวว่า " นับแต่เราเข้ารับใช้แผ่นดินแล้วสูกับข้าก็แยกย้ายกันไป บัดนี้สูมาเป็นแม่ทัพใหญ่จะไปปราบทัพไท ส่วนข้าต้องถูกถอดจากตำแหน่งและข้าสองพี่น้องมาทำไร่อยู่ใกล้เมืองนี้ แต่การป้องกันบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของชาวจิ๋นทุกคน ข้าจะขอติดตามทัพของสูไปด้วยเพื่อทำประโยชน์ให้แผ่นดินบ้าง เสร็จศึกแล้วจะมาอยู่ที่ไร่ตามเดิม "
งันสุยตอบว่า " สูกับข้าเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่ข้ามิอาจจะให้สูไปกับกองทัพได้ เพราะสูถูกถอดเนื่องจากถูกหาว่าเอาใจฝักใฝ่กับคนไท "
เตียวเหลียงก็จนใจยิ่งนัก ในที่สุดเขากล่าวว่า " เมื่อสูรับข้าไว้ไม่ได้ ข้าจะขอให้ความเห็นแก่สูสำหรับการทำศึกครั้งนี้ด้วยว่าข้ารู้จักคนไทมาก่อน กุมภวานี้นำทัพมานี้เป็นคนฉลาดมีเล่ห์ในการรบ เขามีกำลังคนน้อยกว่า เขาจึงใช้อุบายยิ่งกว่าใช้กำลัง ขอสูได้ระวังให้จงหนัก ถึงแม้สูจะมีทหารมากกว่าแต่เป็นทหารที่เพิ่งเรียกระดม ส่วนทหารไทที่ยกมานี้ทำศึกมาช่ำชองแล้ว ที่ฝ่ายเราจะสู้กับกองทัพเช่นนี้ อย่างแตกหักในสนามนั้นจะเสี่ยงมากข้าจึงว่าควรจะค่อยๆ ทำให้ฝ่ายไทอ่อนเพลียไปด้วยการลอบโจมตีและก่อกวนทั้งในเวลาข้าศึกเดินทัพ และเวลาตั้งค่าย โดยไม่ปล่อยให้พักผ่อนได้ เช่นนี้จะดีกว่าการบซึ่งหน้า ทัพของกุมภวาถึงแม้จะเข้มแข็ง แต่ก็เสมือนหางม้าถ้าเราดึงด้วยกำลังหมายจะให้หลุดทั้งหมดคงจะทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราดึงออกทีละน้อย ในที่สุดขนม้าทั้งหางจะหมดไป ข้าเห็นว่าวิธีเดียวกันนี้จะทำลายกองทัพกุมภวาได้ "
งันสุยได้ฟังเตียวเหลียงมาแนะนำการรบก็ไม่พอใจ จึงตอบเพื่อนเก่าไปว่า " ข้ารับอาสาขับไล่ทัพไทให้ถอยไปจากแดนจิ๋น แต่สูมาแนะให้ข้าถอยหนีเพื่อให้ทัพไทรุกล้ำเข้ามามากขึ้น บางทีสูจะดูหมิ่นทัพของข้ามากไป "
เตียวเหลียงก็จำต้องลุกขึ้น และพร้อมกันนั้นเขากล่าวว่า " ข้าขอบวงสรวงเทพยดาให้สูมีชัยเถิด ชาวฟุกเจาะจะได้ไม่ต้องหนีภัยสงคราม " แล้วเตียวเหลียงก็ลาไป
ฝ่ายงันสุยแม่ทัพจิ๋นครั้นพักทัพที่เมืองฟุกเจา เพื่อหาเสบียงและเมื่อได้เสบียงพอแล้วก็เดินทัพต่อไป และทัพจิ๋นกับทัพไทมาพบกันที่กึ่งทางระหว่างเมืองน่ำจิวกับเมืองฟุกเจา ทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายยันกันอยู่ รุ่งขึ้นกุมภวานำทัพทหารของตนออกมางันสุยก็นำทหารของตนออกมาบ้าง กุมภวาเห็นงันสุยมีทหารเหนือกว่าฝ่ายตนมากจึงไม่ให้ทหารเข้าโจมตี ส่วนงันสุยนั้นถึงแม้จะเห็นฝ่ายไทมีกำลังน้อยกว่า แต่ก็เกรงทัพไทอยู่ จึงให้ทหารของฝ่ายตนตั้งขบวนเฉยไว้
ทั้งสองฝ่ายจ้องดูซึ่งกันและกัน ฝ่ายไทนั้นทหารทุกคนมีแต่เสื้อผ้าหยาบและเก่า ส่วนทัพม้าของจิ๋นล้วนแต่งตัวอย่างงดงาม เสื้อเกราะและหมวกนั้นเล่าบ่าวที่ติดตามมากับทัพก็ขัดถูจนเป็นประกายวาว ทวนมีพู่ขนจามจุรีเป็นสีต่างๆ บังเหียน อาน และโกลนม้าทำด้วยเงินบ้าง ทองบ้าง
เมื่อบุตรขุนนางเหล่านี้ ได้เห็นทัพไทเหมือนทัพพเนจรเช่นนั้นก็ดูหมิ่น บางคนพูดกับเพื่อนว่า " นี่หรือทัพฮวนที่ชนะลิบุ๋น ข้าคิดว่าจะไม่ใช่เสียแล้ว คงเป็นทัพขอทานที่ถูกขับไล่มาจากที่ใดที่หนึ่ง "
และทัพม้าของจิ๋นก็อยากจะออกโจมตีทัพไทให้พ่ายไปโดยเร็ว
แต่กุมภวาเห็นอาการทางฝ่ายข้าศึกเคลื่อนไหวคึกคุกก็โบกธงให้ทหารของตนกลับเข้าค่าย
ทัพจิ๋นเห็นฝ่ายไทถอยไปก็คะนองใจยิ่งขึ้น และเมื่อกลับไปยังค่ายของตน บางคนก็ถามเพื่อนว่าเมื่อทัพของกุมภวาแตกแล้วจะเดินทัพไปยังแคว้นไทได้ทางใด บางคนมีหนังสือฝากม้าเร็วไปบอกภรรยา หรือคนรักหรือบิดามารดาของตนว่าทัพไทจะถูกทำลายในเร็ววันนี้ แต่จะต้องตามทัพคนป่าต่อไป ยังกลับโลยางไม่ได้เร็วนัก
กุมภวานั้นให้ทหารทำค่ายคูหอรบและตั้งมั่นอยู่
งันสุยนำทัพออกท้าทายอยู่หลายวัน ฝ่ายไทก็มิออกรบ จันเสนจึงเข้าไปกล่าวแก่
กุมภวาว่า " เราเข้ามานี้ก็เพื่อจะพบกับทัพหลวงของจิ๋น บัดนี้เราได้พบแล้ว สูจะปล่อยให้เขาท้าทายอยู่หรือ "
กุมภวาตอบว่า " เวลานี้ข้ายังไม่รู้จักศัตรูพอ ข้าจึงรออยู่สูคงมีโอกาสทำลายทัพเบื้องหน้าเราในไม่ช้า " และกุมภวาคงให้ตั้งมั่นเฉยอยู่ต่อไป ทำให้ทัพจิ๋นคะนองยิ่งขึ้น

๖...
วันหนึ่งทหารจิ๋นคนหนึ่งขี่ม้าออกมาคนเดียวตรงมายังหน้าค่ายของฝ่ายไท กุมภวานำทหารขึ้นไปดูบนหอคอย ทหารจิ๋นผู้นั้นเมื่อเข้ามาใกล้ก็ร้องประหนึ่งฟ้าคำรามว่า " เมื่อคนฮวนไม่ยกกำลังออกรบก็จงมาสู้กับข้าโซมอตัวต่อตัว ถ้าไม่กล้าทั้งสองอย่าง จงถอยทัพกลับไป "
คนไทมองไปเห็นโซมอรูปร่างใหญ่โตยิ่งนัก หน้าแดงเคราเต็มหน้า ม้าที่นั่งสูงใหญ่ยิ่งกว่าม้าที่คนไทได้เห็นมา และทันใดนั้นโซมอก็ร้องขึ้นอีกว่า " ฮวนที่ฆ่าเซ็กโปไปไหนเสียเล่า "
เสียงของโซมอได้ยินไปถึงธงผาซึ่งอยู่ในค่าย ธงผาจึงแต่งเครื่องรบขี่ม้าออกมา และกล่าวแก่กุมภวาว่า " เราจะถูกขัดขวางเพราะคนจิ๋นคนเดียวไม่ได้ ให้ข้ารับคำท้าเถิด "
ธงผาขับม้าออกไปสู้กับโซมออยู่นาน ไม่มีใครเสียทีต่อกันแล้วโซมอถอยม้าออกมากล่าวว่า " สูมีฝีมือจริงดังคำลือแต่ยังไม่ถึงข้า พรุ่งนี้สูให้คนอื่นมาแทน ถ้าไม่มีใครสู้กับข้าแล้วพวกสูจงออกไปจากแผ่นดินจิ๋น "
แล้วโซมอขับม้ากลับไป ธงผาก็มาแจ้งกุมภวาว่า " จิ๋นผู้นี้มีกำลังยิ่งนัก พรุ่งนี้เขาจะมาอีกและจะรบกับคนอื่นบ้าง สูจะทำประการใด "
กุมภวานิ่งอยู่ กุฉินจึงกล่าวว่า " เราไม่มีหนทางเลือกแล้วพรุ่งนี้ให้ข้าออกไปบ้าง " กุมภวาก็ไม่อาจจะห้ามไดด้
รุ่งขึ้นโซมอขี่ม้ามาท้าทายอยู่ที่หน้าค่ายของฝ่ายไทอีก กุฉินก็แต่งเครื่องรบมีทั้งดาบและทวน เมื่อออกจากค่าย กุฉินควบม้าตรงไปยังโซมอและพุ่งทวนไป โซมอหลบทวนนั้นไปได้แล้วทั้งสองชักดาบสู้กัน ไม่มีฝ่ายใดทำแก่คู่ต่อสู้ได้ ในที่สุดโซมอถอยม้าและกล่าวว่า " สูมีฝีมือไม่น้อยกว่าธงผา แต่ไม่เหนือข้าพรุ่งนี้ให้สูและธงผาออกมาผลัดกันสู้กับข้า " แล้วโซมอก็ขับม้ากลับไป
กุมภวามองการต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นโซมอชักม้ากลับไป กุมภวาจึงออกมาพบกุฉินและถามว่า " เหตุใดโซมอจึงกลับเข้าค่ายเช่นวันก่อนเสียเล่า "
กุฉินตอบว่า " โซมอบอกว่าข้าคนเดียวไม่พอจะสู้กับเขาวันพรุ่งนี้เขาให้ธงผากับข้าออกไปผลัดสู้กับเขา " ทหารฝ่ายไทเมื่อรู้เช่นนั้นก็เกรงฝีมือโซมอยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นโซมอออกมายังหน้าค่ายของฝ่ายไทอีก และธงผากับกุฉินก็ผลัดกันเข้าไปสู้แต่ทำอะไรแก่โซมอไม่ได้ แล้วพักใหญ่โซมอก็ถอยม้าออกไป และกล่าวว่า " สูทั้งสองมีฝีมือโดยแท้แต่เทียบกับข้าไม่ได้ พรุ่งนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการฆ่า คนไทที่อยากตายจงออกมาเถิด ถ้าไม่มีใครออกมาพวกสูจงไปเสียจากแผ่นดินจิ๋น " แล้วโซมอขี่ม้ากลับไป และในคืนนั้นงันสุยให้กองทัพเลี้ยงดูกันเอิกเกริก และทหารจิ๋นพากันยกย่องโซมอว่ามีฝีมือยิ่งกว่าลิโป้
ธงผาและกุฉินกลับไปยังค่าย และแจ้งแก่กุมภวาถึงคำของโซมอ และภายในค่ายของฝ่ายไทนั้นมีแต่ความหดหู่ใจ เพราะรู้กันอยู่ว่าทั้งกองทัพไม่มีใครสู้กับจิ๋นผู้นี้ได้
รุ่งขึ้นโซมอแต่งเครื่องรบออกมาอีก กุมภวาขึ้นไปยืนอยู่ที่หอคอยเฉยอยู่ โซมอท้าทายอยู่จนสายไม่มีคนไทออกไปสู้โซมอจึงขับม้ากลับไป
ในคืนนั้นกุมภวาถามสีเภาว่า " ในกองทัพของเราไม่มีใครมีฝีมือเท่ากุฉินกับธงผาแล้ว แต่สองคนรวมกันยังเอาชนะโซมอไม่ได้ สูจะมีทางแก้ประการใด หรือว่าจะยอมให้ฝ่ายจิ๋นดูหมิ่นเราเช่นนี้ "
สีเภาตอบว่า " ในกองทัพเรามีคนหนึ่งที่ปราบโซมอได้ "
กุมภวาถามว่า " ใคร "
สีเภาตอบว่า " จันเสน " กุมภวาถามซ้ำอีก สีเภาก็ตอบเช่นเดิม
กุมภวาก็กลับไปยังกระโจมของตน
รุ่งขึ้นโซมอแต่งเครื่องรบหนักขี่ม้าออกไปหน้าค่ายของฝ่ายไท เช่นวันก่อนโซมอสวมหมวกเกราะและเสื้อเกราะเป็นเกล็ดปลาทำด้วยทองแดงจากไหล่จดเท้า มีขนนกกระจอกเทศปักข้างหมวกทั้งสองข้าง มือทั้งสองจับบังเหียน หลังเหยียดตรงด้านซ้ายของตัวม้ามีโล่ทำด้วยหนังห้าชั้น และมีทวนปักไว้ข้างโกลน ส่วนด้านขวาโซมอห้อยขวานใหญ่ไว้ข้างตัว และมีจิ๋นสองคนแบกเปลตามมาห่างๆ เพื่อจะเก็บเอาศพคนไทที่จะถูกฆ่าในวันนี้ และคนไทที่อยู่บนหอคอยได้เห็นความสง่า และความใหญ่โตของโซมอเช่นนั้นก็ระย่อใจ
ขณะนั้นกุมภวากับจันเสนยืนอยู่ที่เชิงเทินด้วยกัน กุมภวาหันไปกล่าวแก่จันเสนว่า
" สูเคยเร่งข้าให้ส่งคนออกไปรบกับฝ่ายจิ๋นเพราะเขามาท้า บัดนี้ไม่มีใครสู้โซมอได้แล้ว สูจงออกไปสู้เถิด "
จันเสนสะอึก แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับหัวหน้าของตนว่า " ข้าตัวเท่านี้ สูจะให้ไปสู้กับยักษ์ตัวนั้นหรือ "
กุมภวาตอบว่า " ถูกแล้ว สีเภาบอกข้าว่าสูจะฆ่ายักษ์นั้นได้สูจงคิดดูเถิดว่าจะทำได้หรือไม่ "
จันเสนก็มองไปยังโซมอเฉยอยู่
โซมอร้องท้าทายอยู่นาน ฝ่ายไทก็เงียบ โซมอจึงขับม้ากลับไปมาอยู่หน้าค่ายของฝ่ายไท และร้องขึ้นว่า " ฮวนป่าพวกสูหาคนกล้าไม่ได้ จงกลับไปอยู่ป่าของสูตามเดิม "
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องจากเชิงเทินของฝ่ายไทว่า " โซมอข้าจะออกไปตัวหัวสู "
และคนไทบนเชิงเทินนั้นก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เพราะผู้ที่ตะโกนออกไปนั้นคือ จันเสนคนร่างเล็กที่สุดในกองทัพ
โซมอได้ยินเสียงตะโกนนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครและนักรบยักษ์ของจิ๋นก็หยุดม้ารออยู่
สักครู่ประตูค่ายของฝ่ายไทก็เปิดออก และจันเสนขี่กระบือค่อยๆ ออกไปจากค่าย ในมือถือแขนงไม้ และจันเสนใส่เสื้อด้ายดิบ ศีรษะเปล่า เมื่อเข้าไปถึงหน้าม้าของโซมอ จันเสนก็หยุดเฉยอยู่ และเมื่อสองคนเข้าใกล้กันก็เหมือนกับจอมปลวกอยู่ข้างภูผา จันเสนนั้นเล็กอยู่แล้ว เมื่ออยู่ใกล้โซมอก็ยิ่งดูเล็กลงไปอีก
โซมอถามขึ้นว่า " คนที่จะออกมาตัดหัวข้า เมื่อไรจะออกมา "
จันเสนก็ขับกระบือเข้าไปเทียบม้าของโซมอ และตอบว่า " ข้านี่แหละจะมาตัดหัวสู "
นักรบจิ๋นก้มลงมองจันเสน เขากัดกรามด้วยความโกรธจัดหันมองไปทางค่ายฝ่ายไทแล้วร้องขึ้นว่า " พวกสูเห็นข้าเป็นจำอวดหรือ "
โซมอไม่ทันจะกล่าวอะไรต่อ จันเสนก็โจนจากหลังกระบือไปยังม้าของโซมอ ทั้งสองตกจากหลังม้าแต่ขณะที่โซมอกำลังยันตัวเพื่อลุกขึ้น จันเสนโจนถีบโซมอคว่ำไปอีก แล้วจันเสนดึงขวานจากข้างตัวโซมอ และฟันลงไปด้วยมือทั้งสองสุดแรง
แล้วจันเสนขึ้นกระบือกลับมายังค่าย ทิ้งขวานใหญ่ให้ฝังไว้ในเสื้อเกราะทองแดงของโซมอ และทิ้งม้าใหญ่ให้เฝ้านายของตนอยู่ที่นั่น จิ๋นสองคนก็เข้ามาหามร่างไร้ชีวิตของโซมอใส่เปลกลับค่าย

๗...
รุ่งขึ้นกุมภวานำทหารออกตั้งกระบวนท้ารบ งันสุยก็นำทหารของตนออกมา แต่กุมภวาให้ทหารถอยกลับเข้าค่ายอีกทหารจิ๋นทั้งปวงก็คะนองใจตามเดิม
เมื่อกลับเข้าค่ายแล้ว กุมภวาให้จุไทนำทหารหมวดหนึ่งออกสอดแนม จุไทนำทหารเลียบไปในชายป่าข้างค่ายของงันสุย ก็ได้พบแอ่งน้ำแห่งหนึ่งจึงให้ทหารซุ่มอยู่ เย็นนั้นทหารจิ๋นยี่สิบคนออกมาเอาน้ำจากแอ่งนั้น จุไทนำทหารไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นตายไปสิบคน ที่เหลือสิบคนจุไทจับตัวมามอบให้กุมภวา
เมื่อซักถามทหารจิ๋น กุมภวาก็ได้รู้ว่างันสุยมีทหารราบแปดหมื่น และทัพม้าเก้าพันและทัพม้านั้นเป็นบุตรขุนนางในเมืองโลยางทั้งสิ้น ยังไม่เคยออกรบเลย
กุมภวาทราบดังนั้นก็มีความพอใจ
ครั้นรุ่งขึ้น งันสุยนำทหารออกสนามอีก ณ ที่นั้นเป็นทุ่งกว้าง งันสุยคุมทัพราบด้วยตนเองอยู่ด้านซ้ายและให้บ้วนฮุยคุมทัพม้าอยู่ด้านขวา และงันสุยให้ทิ้งว่างไว้กว้างมาก ระหว่างทัพราบกับทัพม้า สำหรับให้ทัพไทเข้ามาติดตั้งอยู่ระหว่างกลาง
ทัพจิ๋นตั้งขบวนรอทัพไทอยู่จนสาย ทัพไทก็ยังไม่ออกมา
กุมภวานั้นเมื่อเห็นฝ่ายจิ๋นออกมาตั้งขบวนรบ ก็ให้จุไทนำทหารหมวดหนึ่งไปตรวจขบวนทัพของจิ๋น และเขากับนายกองฝ่ายไทขึ้นไปสังเกตทัพจิ๋นอยู่บนหอยาม
ครั้นใกล้เที่ยง จุไทกลับมาแจ้งกุมภวาว่า ทัพราบของจิ๋นจัดขบวนแบบตั้งรับเพื่อให้ฝ่ายไทโจมตีแล้วฝ่ายจิ๋นจะได้โอบฝ่ายไทด้วยทัพม้า ส่วนทัพม้าของจิ๋นนั้นจุไทแจ้งว่าทหารใช้เกราะหนักและเครื่องรบหนักทั้งสิ้น
กุมภวาจึงกล่าวแก่นายกองต่างๆ ว่า " วันนี้เราจะต้องเอาความเบาเข้าสู้กับความหนัก งันสุยตั้งขบวนไว้เช่นนี้เพราะเขาเชื่อว่า เขาจะยันการโจมตีของเราได้ด้วยกำลังอันเหนือกว่าของเขาและด้วยเครื่องรบที่เหนือกว่า เราจะชนะกำลังอันเหนือกว่าได้ก็ด้วยความเร็วอันจะได้จากความเบา "
แล้วกุมภวาบอกแก่ธงผาว่า " ทัพม้าของจิ๋นมีประมาณเก้าพันเป็นม้าหนักและล้วนแต่เป็นคนหนุ่มลูกขุนนาง ความคิดของคนหนุ่มเหล่านี้คือ รักษาตัวไว้ก่อน ทุกคนจึงใช้เครื่องรบหนัก เรามีทัพม้าสี่พัน แต่เราจะทำลายทัพเก้าพันนั้นได้ ม้าแต่ละตัวสูจงใช้คนสองคนและให้ใช้หอกทั้งสิ้นและอย่าให้ผู้ใดใส่เสื้อ "
แล้วกุมภวาแนะต่อไปว่า " ลูกผู้ดีของจิ๋นที่มาเป็นทัพม้าเหล่านี้ชอบสวยงาม ทุกคนห่วงใบหน้าของตนเพราะไม่มีอะไรป้องกันและทุกคนกลัวเสียโฉม สูจงให้ทหารแทงไปที่หน้าของหนุ่มจิ๋นเหล่านี้ แล้วสูจะเห็นได้ในไม่ช้าว่าความเถื่อนของหนุ่มไทได้เปรียบความเป็นผู้ดีของหนุ่มจิ๋นในการรบ "
ธงผาออกมาแนะวิธีรบแก่ทัพม้าตามคำของกุมภวา และทัพม้าและราบของฝ่ายไทก็ออกจากค่าย มุ่งไปยังฝ่ายจิ๋น
กุมภวาให้ทัพราบเข้าโจมตีราบของจิ๋น ฝ่ายราบของจิ๋นนั้นตั้งเป็นขบวนรับ มิได้ใช้กำลังโถมเข้ามาเหมือนฝ่ายไท ดังนั้นถึงแม้มีจำนวนเหนือกว่า แต่ก็ขาดกำลังอันเกิดจากการเป็นฝ่ายรุกและน้ำใจทหารก็ไม่มีความฮึกเหิมเหมือนเมื่อวิ่งเข้าโจมตีข้าศึกราบของฝ่ายไทจึงยันฝ่ายจิ๋นไว้ได้ แต่มิอาจทำให้ราบของจิ๋นเสียขบวนไปได้
พร้อมกับที่ราบของฝ่ายไทเข้ายันราบฝ่ายจิ๋นนั้น ทัพม้าของธงผาก็พุ่งเข้าไปหาทัพม้าของจิ๋น ลูกขุนนางของจิ๋นที่เป็นขบวนม้าเมื่อเห็นม้าฝ่ายไทมีคนขี่คนหนึ่ง และมีคนยืนข้างหลังอีกหนึ่งโดยไม่ใส่แม้แต่เสื้อก็ฉงนยิ่งนัก และม้าของฝ่ายไทวิ่งเข้ามาปะทะฝ่ายจิ๋นพร้อมกับเสียงร้องที่หนุ่มชาวจิ๋นไม่เคยได้ยินมาก่อน แนวหน้าของม้าจิ๋นก็ตื่น และเพราะฝ่ายไทไม่มีเครื่องรบหนักและไม่มีเกราะป้องกันตัวเลย ความไวของฝ่ายไทจึงเหนือกว่า ก่อนที่ดาบของลูกขุนนางจิ๋นจะลงถึงตัวนักรบเปลือยของฝ่ายไท หอกของฝ่ายไทก็แทงไปที่ลูกขุนนางจิ๋นเสียแล้ว และฝ่ายไทพุ่งหอกแทงไปที่หน้าของลูกขุนนางเหล่านั้น หนุ่มจิ๋นเหล่านั้นก็เบือนหน้าหนี จากการเบือนหน้าหนีก็เป็นการชักม้าหนี และเมื่อแนวหน้าของม้าจิ๋นชักม้าหนี แนวที่อยู่หลังก็เสียขบวนตามไปด้วย เมื่อการรบชุลมุนคนไทที่ติดมากับม้าเมื่อลงมายังพื้นดินแล้ว ก็ทิ่มแทงม้าของจิ๋นเป็นการช่วยเพื่อนที่รบอยู่บนหลังม้า ในไม่ช้าทัพม้าของจิ๋นก็แตกกระจาย บ้วนฮุยไม่อาจจะยั้งลูกขุนนางให้หันสู้กับฝ่ายไทได้ก็ขับม้าหนีไปด้วย
ธงผาไล่ติดตามบ้วนฮุยไป เมื่อเข้าใกล้ก็ฟันบ้วนฮุยตกม้าแล้วตัดศีรษะบ้วนฮุยมาเสียบไว้ที่ปลายทวนและชูให้ทุกคนได้เห็น ทัพม้าของจิ๋นก็แตกตื่น ที่รอดตายก็ขับม้าหนีโดยไม่คำนึงถึงทิศทาง
เมื่อธงผาเห็นทัพม้าจิ๋นแตกกระจายไปไกลแล้ว ก็ให้ตีกลองเรียกทหารของตนมา แล้วธงผานำทัพม้าฝ่ายไทมุ่งตรงไปยังด้านข้างของทัพราบของงันสุย และบนปลายทวนของธงผามีศีรษะของแม่ทัพม้าฝ่ายจิ๋นปักอยู่
ทัพจิ๋นบัดนี้ถูกขนาบทั้งสองข้าง ขวัญทหารก็เสียไปและตั้งขบวนไม่ติด งันสุยจึงส่งซิฉุยไปยันทัพม้าของธงผาไว้ ส่วนงันสุยเองก็ขับทหารเข้าสู้กับทัพไท ถึงแม้ทหารจะล้มตายไปมากแต่งันสุยมิยอมถอย
ครั้นตะวันใกล้ตรงศีรษะ ทหารทางฝ่ายซิฉุยไม่อาจจะยันทัพม้าของธงผาไว้ต่อไปได้ ก็แตกตื่นมาปะทะกับทหารด้านของงันสุย และขณะที่งันสุยเงื้อดาบร้องสำทับทหารของตนมิให้แตกตื่นหนีข้าศึกอยู่นั้น ธงผาก็ควบม้าผ่านหน้าทัพของงันสุยไปโดยรวดเร็ว มือซ้ายจับบังเหียน มือขวาธงผาชูทวนซึ่งปักด้วยศีรษะบ้วนฮุย และอาการควบม้าของธงผานั้นน่ากลัวและเร็วยิ่งนัก แล้วธงผาพุ่งทวน ซึ่งมีศีรษะบ้วนฮุยติดอยู่นั้นไปตกเบื้องหน้างันสุย ทหารจิ๋นทั้งปวงก็เสียขบวนยิ่งขึ้นด้วยความกลัว ต่างถอยหนีและเหยียบกันตายก็มาก
งันสุยเห็นขบวนเสียไปแล้ว จึงให้เป่าแตรให้ทหารทั้งหมดถอยแล้วตั้งขบวนใหม่ เข้าโจมตีทัพไท ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันต่อไปอีก
งันสุยเห็นขบวนเสียไปแล้ว จึงให้เป่าแตรให้ทหารทั้งหมดถอยแล้วตั้งขบวนใหม่ เจ้าโจมตีทัพไท ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันต่อไปอีก
ครั้นตกบ่ายกุมภวาสังเกตว่าแดดกล้า และดวงตะวันอยู่ด้านซ้ายของทัพไท กุมภวาจึงให้โบกธงแปรขบวนให้ทหารปีกขวาถอย ทัพจิ๋นติดตามมา ในที่สุดดวงตะวันไปอยู่ด้านหลังของทัพไทและส่องเข้าเต็มหน้าของทหารจิ๋น ทหารจิ๋นไม่ชำนาญในการสู้รบเท่าทหารไทอยู่แล้ว และเสียกำลังมากกว่าฝ่ายไท เพราะออกมาอยู่กลางแดดตั้งแต่เช้า ส่วนฝ่ายไทนั้นเพิ่งออกมาเมื่อใกล้เที่ยง บัดนี้เมื่อดวงตะวันส่องหน้าเข้าอีกก็เสียเปรียบยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็แตกกระจายไป บุญปันกับธงผานำทหารไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นสิ้นชีวิตไปกว่าครึ่งพัน ที่เหลือก็แตกหนีไปคนละทิศทาง งันสุยเองก็จำต้องขับาม้าหนีไป

๘...
ครั้นมืดลง งันสุยกับทหารสองพันที่หนีมาด้วยกันมาถึงริมน้ำฟุกโหซึ่งคั่นระหว่างเขตเมืองน่ำจิวกับเมืองฟุกเจา และตรงนั้นแม่น้ำฟุกโหแยกเป็นอีกแควหนึ่งขึ้นไปทางเหนือ สู่เมืองเซ็งตูและเมืองไกวเจา งันสุยให้ทหารหยุดพักและทหารจิ๋นซึ่งแตกหนีทัพไทก็ตามมาสมทบ ณ ที่นั้นอีก
รุ่งเช้างันสุยให้นับจำนวนทหาร ปรากฎว่ามีเหลืออยู่หกพันงันสุยทราบแล้วก็ยื่นเอาศีรษะซบกับแขนพิงต้นไม้นิ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำ
ซิฉุยกับปอทงเห็นงันสุยยืนเฉยอยู่มิสั่งการประการใดก็เข้าไปหาและกล่าวว่า " แม่ทัพจงรีบนำทหารข้ามแม่น้ำไปเถิด มิฉะนั้นข้าศึกจะตามมาทัน "
งันสุยยังนิ่งอยู่ ซิฉุยจึงกล่าวขึ้นอีกว่า " แม่ทัพอย่าได้เสียใจเลย ถึงเราจะแพ้แต่สูได้ทำการสมที่เป็นแม่ทัพแล้ว จงรีบถอยไปที่ฟุกเจาเถิด "
งันสุยเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า " ซิฉุยเอย ที่เมืองฟุกเจามีชายคนหนึ่งชื่อเตียวเหลียง แต่ก่อนเป็นขุนนาง บัดนี้มาทำไร่อยู่นอกเมืองฟุกเจา สูเคยได้ยินชื่อชายผู้นี้หรือไม่ "
ซิฉุยตอบว่า " เตียวเหลียงผู้นี้ข้าเคยได้ยินชื่ออยู่ ชาวเมืองโลยางกล่าวกันว่าเขาถูกถอดจากตำแหน่งขุนนาง เพราะถูกลิบุ๋นใส่ความ "
งันสุยกล่าวว่า " ข้าพ่ายต่อกุมภวาครั้งนี้เพราะไม่ฟังคำของเตียวเหลียง สูจงนำทหารหกพันนี้ไปหาเตียวเหลียงจงบอกเขาว่าในเมืองหลวงนั้นกว่าจะเรียกทัพใหม่ได้จะเป็นเวลาอีกนาน หากไม่มีผู้ใดยันทัพไทไว้ได้ในครั้งนี้ ทัพไทจะเข้าเหยียบวังกษัตริย์ของเราเป็นแน่ ขอให้เตียวเหลียงรับทหารหกพันนี้ไว้ทำการเพื่อหยุดทัพไท หากเทพยดายังเห็นแก่ชาวจิ๋น
อยู่ โลยางคงจะพ้นภัย "
ซิฉุยกล่าวว่า " สูยังคุมทัพได้อยู่ ไฉนจะกระทำดังนี้เล่า "
งันสุยกล่าวว่า " วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของข้าแล้ว เมื่อข้าอาสานำทัพ ข้ากล่าวต่อหน้ากษัตริย์จิ้นอ๋องและขุนนางทั้งปวง ว่าหากทำลายทัพไทไม่ได้ ข้าจะไม่กลับไปโลยาง แต่แทนที่จะทำลายทัพไท บัดนี้ข้าทำลายทัพของตนเองเสียหมดสิ้น เช่นนี้แล้วข้าไม่ขอมีชีวิตอีกต่อไป "
แล้วงันสุยหันไปทางซิฉุยกับปอทง และกล่าวว่า " สูจงช่วยกันแทงข้าให้ตายเสียบัดนี้เถิด "
ซิฉุยกับปอทงก็หันหน้ากลับและร้องไห้ และผละไปจากงันสุย งันสุยตามไปจับบ่าซิฉุยไว้ และกล่าวว่า " เมื่อข้าตายแล้วขอให้ฝังศพข้าไว้ที่ฝั่งน้ำข้างหน้า และเขียนบอกไว้ที่หลุมศพว่าข้าไม่ต้องการหนีข้าศึกต่อไปจึงได้ฆ่าตัวตาย " กล่าวเช่นนั้นแล้วงันสุยก็ชักดาบออกแทงตรงที่หัวใจตนเอง
เมื่องันสุยสิ้นใจแล้ว ทหารทั้งปวงก็เข้ามาคำนับไว้อาลัยนายทัพของตน
ซิฉุยให้นำศพข้ามไปฝังไว้ตรงหัวแหลมและเขียนบอกไว้บนหลุมศพตามที่งันสุยสั่ง แล้วซิฉุยนำทหารเดินทางไปเมืองฟุกเจา ครั้นถึงตรงไปยังเตียวเหลียง และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทุกประการตั้งแต่พบกับทัพไทจนกระทั่งงันสุยฆ่าตัวตาย
แล้วซิฉุยกล่าวว่า " บัดนี้ทัพจิ๋นที่แตกหนีมามิต่างจากฝูงสัตว์ป่าที่จ่าฝูงสิ้นไปแล้ว จงช่วยเราไว้เถิด หาไม่แล้วทัพไทจะตามฆ่าฟันเราไปถึงโลยาง "
และซิฉุยแจ้งแก่เตียวเหลียงถึงคำอ้อนวอนของงันสุย และกล่าวต่อไปว่า " เราอ้อนวอนขอสูอย่าได้ขัดข้องเลย ถึงแม้ปอทงกับข้าจะยังนำทัพที่เหลือได้อยู่ แต่ทหารเหล่านี้จะเชื่อเราต่อเมื่อเรานำเขาไปห่างจากข้าศึกเท่านั้น ที่จะนำเขาไปพบข้าศึกอีกนั้นพวกทหารจะไม่ฟังเราแล้ว "
เตียวเหลียงก็นิ่งอยู่นาน ในที่สุดเขากล่าวว่า " ถึงแม้งันสุยจะตายสมที่เป็นแม่ทัพ แต่ข้าเสียดายเขานัก แคว้นจิ๋นหาคนเช่นนี้ได้ยากแล้ว แต่เมื่อความจำเป็นมีเช่นนี้ข้าจะยอมรับงานของงันสุยทำต่อไป "
แล้วเตียวเหลียงให้ทหารที่หนีรอดมาได้พักผ่อน ต่อมามีทหารจิ๋น หนีรอดมายังเมืองฟุกเจาอีกเป็นอันมากเตียวเหลียงให้เข้ามารวมในทัพอีก เมื่อสำรวจแล้วปรากฏว่าเหลือทหารรอดมาสองหมื่น
ชาวเมืองฟุกเจาเมื่อทราบว่าทัพของงันสุยถูกทำลาย และทหารที่มาอยู่ในฟุกเจาเป็นทหารที่หนีมาทั้งสิ้น ส่วนแม่ทัพขณะนี้ก็เป็นเพียงชาวไร่ที่นั่นเอง ชาวเมืองทั้งชายและหญิงก็ขวัญเสียและเตรียมจะอพยพหนีทัพไท
เตียวเหลียงเห็นชาวเมืองเสียขวัญหมดเช่นนั้น จึงกล่าวแก่ปอทงว่า " บัดนี้ชาวเมืองกลัวทัพไทจนไม่เป็นอันจะอยู่ในเมืองต่อไปแล้ว หากเราจะกักเอาไว้ ก็มีแต่จะทำให้การป้องกันเมืองยากขึ้น ขอให้สูจัดทหารสองพันแล้วไปป่าวร้องแจ้งแก่ชาวเมืองว่าทัพจะไปจะมาถึงเร็ววันนี้ให้ทุกคนอพยพออกจากเมือง แล้วสูจงให้ทหารนำชาวเมืองหนีไปเถิด ชาวเมืองจะไปสู เพราะทุกคนเชื่อว่าคนไทเป็นคนโหดร้าย เมืองฟุกเจานี้ถ้าเหลือแต่พวกถืออาวุธเราจะยันข้าศึกไว้ได้ "
ปอทงก็นำทหารออกไปแจ้งแก่ช่าวเมืองตามที่เตียวเหลียงสั่ง ชาวเมืองก็พากันติดตามไปกับทหารของปอทงจนในเมืองฟุกเจาไม่มีชาวเมืองเหลืออยู่เลย
ต่อมา กองตระเวณกลับมาแจ้งแก่เตียวเหลียงว่าบุญปันกำลังนำทัพประมาณหนึ่งหมื่นมุ่งมาทางเมืองฟุกเจา เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า " ข้าจะนำทหารสองพันไปยังแม่น้ำฟุกโหเพื่อรังควานฝ่ายไททหารที่เหลือให้สูควบคุมอยู่ที่นี่ แต่ะซุ่มทหารของสูไว้นอกเมืองข้าไม่ต้องการให้ฝ่ายไทรู้ว่าเรายังมีกำลังพอสำหรับการรบประจำที่ "
แล้วเตียวเหลียงเองแจ้งตำแหน่งที่ซ่อนทหารให้แก่ซิฉุย และเตียวเหลียงคัดเลือกทหารสองพันที่ว่องไวและอดทน พอจะสู้ความรุนแรงของอากาศและความวิบากต่างๆ ได้ เขาแบ่งสองพันคนนี้ออกเป็นห้าสิบหมู่ แล้วเตียวเหลียงกล่าวแก่ทหารทั้งห้าสิบหมู่นี้ว่า
" ทัพไทหนึ่งหมื่นกำลังเดินทางมาเพื่อจะตีเมืองฟุกเจา แต่พวกสูจะมีส่วนทำให้กระแสของการศึกเปลี่ยนได้เราจะไปพบทัพไท แต่เราจะใช้วิธีโจมตีแล้วถอย พวกสูจงเคลื่อนไปโดยรอบของทัพไท มีโอกาสเมื่อใดจึงเข้าโจมตี ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ไม่ว่าในป่าหรือหุบเขา แต่จงโจมตีเมื่อเห็นว่าไม่เป็นภัย ทุกคนอย่าให้ถูกจับเป็นอันขาด "
แล้วเตียวเหลียงนำทหารสองพันมุ่งไปทางแม่น้ำฟุกโห อากาศกำลังเริ่มหนาวจัด
หทารได้รับความลำบากมาก เพราะต้องคอยหลบซ่อนตัวและเพราะความหนาว

๙...
เมื่อทัพจิ๋นพ่ายไปแล้ว ฝ่ายไทเก็บอาวุธและสิ่งของในค่ายทหารจิ๋นได้เป็นอันมาก ทุกคนมีความฮึกเหิมที่มีชัยต่อทัพหลวงของจิ๋น แต่ว่าสองวันต่อมาเกิดแผ่นดินไหวค่ายพักของทัพไทสั่นสะเทือนอย่างแรง
นับตั้งแต่กุมภวานำทัพออกจากเขตไทมาจนบัดนี้เป็นเวลาห้าเดือน ช้างที่นำมาด้วยไม่เคยต่ออากาศได้ตายไปยี่สิบห้าตัวและทหารเสียชีวิตไปสี่พัน กุมภวาจึงกล่าวแก่บุญปันว่า " บัดนี้เราใกล้เมืองโลยางมากแล้ว แต่ทหารของเรานี้กว่าจะถึงเมืองโลยางก็จะสิ้นไปอีกบ้าง และคงไม่พอที่จะทำลายเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ของจิ๋น ม้าเร็วของเรามาแจ้งว่ากำลังคนที่ข้าให้กรมการเมืองส่งเพิ่มเติมมาหนึ่งหมื่นได้มาถึงเมืองกังไสแล้ว เราควรจะรอกองหนุนของเราอยู่ที่นี่ก่อน "
บุญปันกล่าวว่า " สูรออยู่ที่นี่เถิด แต่ให้ข้าไปยังเมืองฟุกเจา ซึ่งขวางทางเราอยู่ข้างหน้า ข้าจะนำทหารหนึ่งหมื่นไปยึดฟุกเจารอสูอยู่ที่นั่น หากช้าไป งันสุยจะรวมกำลังป้องกันเมืองได้ทัน "
กุมภวากล่าวว่า " บุญปันเอย สูเป็นเจ้าเมืองที่ราษฎรรักและเชื่อฟังยิ่งกว่าคนทั้งปวง ข้าไม่อยากเห็นสูเอาตัวเข้าสู้ภัยมากนักเท่าที่สูนำหน้าทหารออกศึกมา สูได้เสี่ยงชีวิตมากอยู่แล้ว ข้าจึงไม่อยากให้สูไปตีเมืองฟุกเจา อนึ่งเมื่อคืนข้าฝันเห็นสูนุ่งห่มขาวแต่ไปอยู่คนละฟากฝั่งน้ำกับข้า เสมือนว่าสูปลีกตัวมิร่วมศึกกับเราแล้ว แต่ไปอยู่ในดินแดนแห่งหนึ่งอันมีแต่ความสงบ ไม่มีความหยาบช้าแห่งการต่อสู้ด้วยกำลัง ไม่มีเสียงกลองศึกและเสียงโหยหวนของชีวิตที่กำลังรับความทรมานอย่างที่เรากำลังได้เห็นอยู่ในระหว่างนี้ แม้ในฝันนั้นข้าจะพอใจที่เห็นสูอยู่ในดินแดนเช่นนั้น แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็หวั่นใจเสมือนว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นแก่สูข้าจึงไม่อยากจะให้สูยกทัพไปที่ใด อนึ่งเล่าแผ่นดินไหวเมื่อคืนควรเป็นเหตุเตือนให้เราคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นแก่เรา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากรอให้ทัพหนุนของเรามาเสียก่อน "
บุญปันกล่าวว่า " สหายของข้าเหน็ดเหนื่อยเพราะงานศึกมาก และเมื่อคืนอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นเย็นจัดความฝันก็อาจจะไม่ดีไปบ้าง ขออย่าได้ห่วงเลย ถึงแม้ข้าจะประสบเคราะห์ก็เป็นธรรมดาของผู้ออกสนามรบ เหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างใดก็ตามเถิดเราได้มาเหยียบแผ่นดินจิ๋นแล้ว ที่ข้าอยากไปตีเมืองฟุกเจาโดยเร็ว ก็เพื่อว่าการศึกของเราจะเร็วขึ้น ฝ่ายจิ๋นจะได้ตั้งตั้วมิทัน ส่วนที่สูเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงซึ่งผืนแผ่นดินบอกให้เรารู้ล่วงหน้านั้นข้าคิดว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของจิ๋นยิ่งกว่า เพราะเรามาอยู่ในดินแดนจิ๋น จงให้ข้าไปเถิด "
กุมภวาจำต้องยอมต่อบุญปันแล้วบุญปันนำทหารหนึ่งหมื่นเดินทางไปโดยมีจันเสนเป็นผู้ช่วย ขณะนั้นอากาศเย็นจัดยิ่งขึ้นทหารไทไม่เคยพบกับความเย็นเช่นนั้นมาก่อนจึงป่วยกันมาก
เมื่อบุญปันมาถึงแม่น้ำฟุกโห ตรงที่แยกเป็นสองแคว เขาสั่งให้ทหารข้ามไป ทหารที่เตียวเหลียงจัดให้ติดตามทัพไทก็ระดมยิงธนูมา ในขณะที่ทัพไทข้ามแม่น้ำไม่มีทัพราบของจิ๋นมาขวางแต่ว่าจากนั้นเรื่อยมาทัพของบุญปันก็ถูกลอบโจมตีไปตลอดทางและไม่อาจจะจับฝ่ายโจมตีได้เลย และทัพของบุญปันลำบากยิ่งนักเพราะอากาศหนาวจัด
เมื่อบุญปันนำทัพไทมาถึงเมืองฟุกเจา เห็นภายในกำแพงเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่เลย เห็นแต่ฝูงกาบินว่อนอยู่บนหลังคาบ้านเรือน บุญปันก็ให้ทหารออกไปสอดแนม ทหารกลับมาแจ้งว่าภายในกำแพงไม่มีคนเลย บุญปันยังไม่ไว้ใจ ก็ให้ทหารตั้งค่ายพักอยู่ที่ทุ่งหน้าเมืองและให้ทหารยืนยามระวังเหตุอย่างเข้มงวด
จันเสนจึงไปที่บุญปันและกล่าวว่า " ชาวเมืองฟุกเจาหนีไปสิ้นแล้ว เหตุใดสูไม่นำทหารเข้าพักในเมืองเล่า ในทุ่งนี้ลมพัดจัดทหารของเราสู้กับทหารจิ๋นมาก็สาหัสอยู่แล้ว เมื่อไม่พบทหารจิ๋นทหารยังต้องมาสู้กับพายุและความหนาวอีก เสมือนว่าความเหนื่อยยากของเขาจะไม่มีที่สิ้นสุด "
บุญปันตอบว่า " จันเสนเอย ข้าเห็นอยู่ว่าในทุ่งนี้พายุจัดและลมก็เย็นยิ่งนัก ข้าเองก็รู้สึกอยู่ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเราเข้าไปในเมือง แทนที่เราจะเป็นฝ่ายโจมตี เราจะเป็นฝ่ายถูกโจมตีก็ได้ ข้าจึงให้รออยู่ "
คืนนั้นลมยิ่งจัดขึ้น กระโจมของทัพไทถูกพัดพังแล้วพังอีก และอากาศเย็นจนน้ำแข็งและหิมะตก ทหารไทได้รับความลำบากมาก บุญปันจึงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " ที่ข้ามินำพวกสูเข้าพักในเมืองด้วยเกรงว่าที่ชาวฟุกเจาทิ้งเมืองไปนี้อาจจะเป็นอุบาย ขอให้พวกเราทนความลำบากไปก่อน เมื่อทัพกุมภวามาถึงแล้วจึงค่อยคิดการต่อไป "
ทหารทั้งปวงก็กล่าวแก่บุญปันว่า " ขอให้สูนำพวกข้าเข้าพักในเมืองเถิด พวกเราสู้กับทหารจิ๋นจนเป็นธรรมดาแล้ว หากลัวไม่เพราะได้เห็นตัวกัน แต่พายุบ้าและความหนาวเช่นนี้เราจะจับดาบสู้ก็มิได้ และตลอดทางที่เรามาก็มีแต่กองโจรรบกวนเราเท่านั้น จะมีเป็นกองทัพก็หาไม่ "
ทหารทั้งปวงก็อ้อนวอนบุญปัน และเมื่อบุญปันเห็นสีหน้าของทหารที่เป็นไข้และมิได้พักผ่อนก็สงสารยิ่งนัก จึงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า " รุ่งเช้าข้าจะนำสูไปพักในเมือง "
ทหารไททั้งปวงก็โห่ร้องด้วยความยินดี

๑๐...
รุ่งขึ้น พายุก็ไม่สงบ บุญปันจึงนำทหารเข้าพักในเมืองและให้ม้าเร็วถือหนังสือไปแจ้งแก่กุมภวาว่าทหารจิ๋นทิ้งเมืองฟุกเจา และชาวเมืองอพยพหนีไปสิ้น เวลานี้ทัพไทเข้าพักอยู่ในเมือง รอกุมภวาอยู่
ก่อนอพยพออกจากเมือง เตียวเหลียงได้ฝังดินดำไว้ในที่ต่างๆ ภายในเมือง และในหลังคาบ้าน เมื่อทราบว่าทัพไทเข้าพักเมืองฟุกเจาแล้ว เตียวเหลียงจึงนำทหารมายังเมือง เมื่อมาถึงกำแพงเป็นเวลายามสาม เตียวเหลียงให้ทหารคลานเข้าไปใกล้เชิงกำแพงและจุดชนวนที่ฝังไว้ข้างนอกกำแพงนั้น แล้วทหารจิ๋นก็ปีนขึ้นเรียงรายอยู่บนกำแพง และระดมยิงธนูเพลิงไปยังบ้านเรือนต่างๆ ไฟลุกลามทั่วไป และเมื่อไปลงมาที่ดินใต้ติดก็ระเบิดขึ้นอีกด้วย คนไทแตกตื่นออกมารวมกันอยู่จิ๋นก็ระดมยิง ฝ่ายไทเสียชีวิตเป็นอันมาก บ้างก็เพราะถูกธนู บ้างก็ตายด้วยไฟ บุญปันให้ทหารเปิดประตูเมืองด้านเหนือเพื่อจะพากันหนีไป แต่ถูกฝ่ายจิ๋นขัดขวางไว้ และจิ๋นบนกำแพงเมืองระดมยิงรบกวนอยู่เบื้องหลัง ฝ่ายไทจึงไม่อาจหนีออกไปได้
บุญปันร้องบอกจันเสนว่า " สูจงนำทหารครึ่งหนึ่งหนีออกไปทางประตูด้านใต้ ข้าจะตีออกไปทางนี้ "
ไฟลุกลามบ้านเรือนไปอย่างรวดเร็ว จันเสนนำทหารแยกไปทางด้านใต้ ผ่านบ้านเรือนที่กำลังลุกเป็นเพลิงอยู่ และทหารไทบางคนก็วิ่งกระจัดกระจายไปถูกไฟคลอกตาย ที่ถูกบ้านเรือนพังทับตายก็มาก จันเสนเองก็ถูกเปลวไฟบาดเจ็บไปทั่วร่าง
เมื่อถึงประตูด้านใต้ จันเสนให้ทหารเปิดประตูแต่ทหารจิ๋นขวางอยู่ จันเสนนำทหารบุกออกไป ซิฉุยซึ่งคุมทหารจิ๋นอยู่ด้านนั้นก็ให้ทหารระดมยิงธนูไปยังฝ่ายไท ธนูลูกหนึ่งปักตาจันเสน จันเสนดึงลูกธนูออก ลูกตาก็ติดออกมาด้วย ทหารไทที่อยู่ข้างจันเสนเห็นดังนั้นก็ใจเสีย และร้องบอกจันเสนว่า " เรายอมแพ้เสียเถิด "
จันเสนขว้างลูกธนูที่มีลูกตาติดอยู่นั้นไปยังคนไทผู้นั้นพร้อมกับกล่าวว่า " สูเป็นลูกหมาหรือ " แล้วจันเสนก็ชูดาบและร้องบอกทหารของตนว่า " จิ๋นอยู่ข้างหน้าจงฆ่าเสีย เราจะได้ออกไปจากเมืองนี้ "
คนไทเมื่อเห็นหัวหน้าตนน้ำใจไม่กลัวภัยเช่นนั้น ตนเองก็หมดกลัวไปด้วย ทุกคนบุกไปข้างหน้า คนที่อยู่ข้างหน้าเมื่อถูกทหารจิ๋นฟันล้มลงจะร้องเรียกเพื่อนของตนให้สู้กับทหารจิ๋นต่อไป
ต่อมาทหารจิ๋นบนกำแพงยิงธนูมาถูกมือขวาของจันเสน จันเสนจึงย้ายดาบมาถือในมือซ้าย แต่ว่าทหารจิ๋นได้เข้ามาล้อมจันเสนไว้ และกลุ้มรุมฟันจันเสนจนขาดใจ
คนไทเป็นอันมากถูกฆ่าตายที่ประตูด้านใต้นั้น แต่ส่วนที่เหลือตีฝ่าออกไปได้

๑๑...
บุญปันเองก็ตีฝ่าทหารจิ๋นพ้นที่ล้อมไปได้ เตียวเหลียงนำทหารติดตามไป ครั้นรุ่งเช้าบุญปันมาถึงแม่น้ำฟุกโหตรงที่เป็นมุมกับแคว บุญปันกำลังจะส่งทหารข้ามน้ำไปก็พอดีเห็นป้ายบนหลุมศพของงันสุย บุญปันจึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับหลุมศพนั้นว่า " งันสุย สูไม่หนีไปจากที่นี่ ข้าก็จะไม่หนีบ้าง "
เมื่อมองไปเบื้องหลัง บุญปันเห็นว่าทัพจิ๋นตามมา บุญปันจึงกล่าวแก่ทหารว่า " หากเราจะหนีข้ามน้ำไปอีก เราจะถูกทหารจิ๋นติดตามไล่ฆ่าฟันไปถึงกุมภวา ข้าจะรับศึกและคอยทัพกุมภวาอยู่ที่นี่ ส่วนผู้ใดจะข้ามน้ำไปก็ตามใจเถิด "
ทหารทั้งปวงก็พร้อมใจกันไม่ข้ามน้ำไป บุญปันจึงให้ม้าเร็วถือหนังสือไปยังกุมภวาเป็นความว่า ได้แตกทัพมาจากเมืองฟุกเจาขณะนี้ยันทัพจิ๋นอยู่ริมแม่น้ำฟุกโห
และเมื่อบุญปันทราบว่าจันเสนตายแล้วก็เสียใจยิ่งนัก แล้วบุญปันให้ทหารขุดคูตัดข้ามหัวแหลมนั้น และคอยการโจมตีของทหารจิ๋นอยู่ ขณะนั้นเขาเหลือทหารอยู่พันห้าร้อย
เมื่อเตียวเหลียงมาถึงก็ให้ทหารของตนเข้าโจมตีทั้งด้วยหอกซัด ทวนและธนู ฝ่ายจิ๋นทำลายกองทหารไทไปเรื่อยๆ จนในที่สุดบุญปันเหลือทหารเพียงสี่ร้อย แล้วเตียวเหลียงให้ทหารหยุดโจมตีและร้องบอกบุญปันว่า " เจ้าเมืองลือจงยอมแพ้เสียจะได้ไม่ตายกันสิ้น "
บุญปันเห็นเตียวเหลียงก็จำได้ และบุญปันร้องออกไปว่า " เตียวเหลียง เราไม่ยอมแพ้แม้แต่ความตาย สูจะขู่เราได้หรือ "
เตียวเหลียงก็ให้ทหารเข้าโจมตีต่อไป จนทหารของบุญปันเหลือสองร้อยคนเศษ บุญปันบาดเจ็บด้วยลูกธนูหลายแห่ง และเมื่อเขากระหายน้ำเพราะโลหิตออกมาก เมื่อยกกระบอกน้ำขึ้นดื่ม ก็ถูกลูกธนูที่หน้าอกอีกสองลูก เขาไม่สามารถจะยืนได้อีกก็ทรุดตัวลงข้างกระโจม ทหารเข้าไปประคองและจะนำหัวหน้าของตนเข้าไปในกระโจม บุญปันห้ามไว้และกล่าวว่า " ข้าจะไม่หลบหนีเข้าไป ให้ข้าได้เป็นเพื่อนสูอยู่ข้างนอกกระโจมนี้เถิด " แล้วบุญปันเอามือยันร่างตนไว้มิให้ฟุบลง พวกคนไทก็หันไปสู้กับทหารจิ๋นต่อไป
ครั้นตกเย็นเตียวเหลียงให้ทหารของตนถอยออกมาเพื่อเข้าโจมตีใหม่ในวันรุ่งขึ้น และเตียวเหลียงสั่นศีรษะในความทรหดของฝ่ายไท เขากล่าวแก่ทหารของเขาว่า " ที่จูโกเหลียง ปล่อยตัวหัวหน้าคนไทครั้งแล้วครั้งอีก แต่คนไทยยังหวนมาสู้อีกนั้นไม่น่าประหลาด คนพวกนี้ดูจะไม่ยอมแพ้ "
ฝ่ายม้าเร็วคนแรกของบุญปันที่ถือหนังสือแจ้งการเข้าเมืองฟุกเจา เมื่อเดินทางมาถึงทัพใหญ่ ก็ยื่นหนังสือแก่แม่ทัพ กุมภวาเมื่อทราบจากหนังสือนั้นว่าชาวเมืองฟุกเจาปล่อยให้เมืองร้าง และบุญปันนำทหารเข้าไปพักในเมืองก็เป็นห่วงบุญปัน กุมภวาจึงให้ทหารเดินทางโดยไม่รอทัพหนุน เมื่อมาได้ครึ่งวันก็พบกับม้าเร็วคนที่สอง ซึ่งนำข่าวความพ่ายแพ้มาแจ้ง ทหารทั้งปวงเมื่อทราบว่าบุญปันกำลังสู้ศึกอยู่ในที่คับขันก็เป็นห่วงเจ้าเมืองของตน และทุกคนเดินทางไปอย่างเร็วจนเกือบจะเป็นวิ่ง เมื่อไปถึงริมแม่น้ำฟุกโห เห็นฝ่ายจิ๋นกำลังโจมตีฝ่ายไทอยู่ ทหารไทก็ข้ามน้ำไปช่วยฝ่ายตน ขณะนั้นบุญปันเกือบจะหมดกำลังอยู่แล้ว แต่ออกมานั่งคุมทหารต่อสู้อยู่
เตียวเหลียง เมื่อเห็นฝ่ายไทมีกำลังหนุนมาช่วยก็รู้ว่าเป็นทัพของกุมภวา เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า " ครูของฝ่ายไทมาแล้ว เราต้องถอยไปก่อน เพราะกำลังของเราน้อยกว่า"
แล้วเตียวเหลียงเขียนหนังสือผูกธนูยิงไปยังที่มั่นของฝ่ายไท หนังสือนั้นมีความว่า
" ข้าเตียวเหลียงขออวยพรมายังกุมภวาข้าจะล่วงหน้าไปก่อน หากสูเดินทัพไปทางเหนือ หกวันจะพบเมืองไกวเจา ข้าจะรออยู่ที่นั่น "
แล้วเตียวเหลียงถอนทหารมุ่งไปยังเมืองไกวเจา และให้ม้าเร็วเดินทางไปโลยางเพื่อแจ้งข่าวการรบ ทัพเตียวเหลียงเดินทางมาได้สี่วันก็ถึงเมืองเชียงอัน เมืองนี้บริบูรณ์ยิ่งนัก
มีทะเลสาบอยู่ริมเมือง พื้นดินและอากาศดี อาหารอุดม พืชพันธุ์ต่างๆ งอกงามในฤดูหนาวชาวเมืองจะใช้ผ้าขนแกะ ในฤดูร้อนทั้งหญิงและชายจะใช้ผ้าไหมปักเป็นรูปต่างๆ
เตียวเหลียงเดินทัพหน้าผ่านเมืองนี้ไปโดยไม่หยุดพัก แต่เมื่อพันตัวเมืองไปเล็กน้อยก็มีชาวเมืองเชียงอันกลุ่มใหญ่วิ่งตามมา เตียวเหลียงจึงหยุดรออยู่ แต่ให้ทหารของตนเดินทางต่อไป
ชาวเชียงอันที่ออกมานั้นเข้าไปหาเตียวเหลียง และกล่าวว่า " สูกำลังนำความพิบัติมาให้เรา หากสูจะเดินทัพไปทางอื่นทัพไทก็จะไม่มาทางนี้ คนไทเป็นคนโหดร้าย ยิ่งกว่านั้นสูยังทำลายส่วนหนึ่งของทัพไทอีกเล่า เช่นนี้หากว่าทัพฮวนป่านี้มาถึง พวกเราชาวเชียงอันจะรับเคราะห์หนัก แล้วเหตุใดสูไม่หยุดช่วยพวกเรา "
เตียวเหลียงกล่าวแก่ชาวเชียงอันเหล่านั้นว่า " สูไม่ต้องกลัวว่าจะเดือดร้อน กุมภวาที่นำทัพไทเข้ามานี้ เขาจะทำร้ายเฉพาะผู้ที่ขัดขวางเขาเท่านั้น อนึ่งเล่าหากพวกสูจะขนสมบัติหนีคนไท คนไทจะตามโจมตีให้เป็นที่เดือดร้อน เพราะว่าผู้ที่ถอยหนียังนับเป็นคู่ศึกอยู่ แต่ถ้าสูอยู่ในความสงบภายในเมือง และต้อนรับทัพไทโดยดีมีสิ่งใดที่จะแบ่งปันให้เขาได้ก็ให้เขาไป อย่าได้ขัดขืน เช่นนี้แล้วเขาจะไม่ทำร้าย จงเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้เถิด "
ชาวเชียงอันกล่าวว่า " สูว่าเขาจะไม่ทำร้ายพวกเรา แต่เราจะไว้ใจคนที่รุกรานเราได้หรือ "
เตียวเหลียงตอบว่า " คนไทเขาเข้ามาทำศึกในแดนจิ๋นก็จริงอยู่ แต่เขาทำศึกอย่างผู้ป้องกันตัวเท่านั้น ทัพใหญ่ของจิ๋นเข้าไปรุกรานเขาก่อน เมื่อเขาทำลายทัพนั้นได้แล้วเขาก็รุกเข้ามาในแดนจิ๋นการศึกยังติดพันอยู่เช่นนี้ เขามิได้รุกราน จงเชื่อเถิดว่าคนไทจะไม่ทำร้ายพวกสู "
พวกชาวเชียงอันก็กลับเข้าไปในเมืองตามเดิม ซิฉุยเมื่อได้ฟังเตียวเหลียงแนะชาวเชียงอันเช่นนั้น จึงกล่าวว่า " ในแคว้นจิ๋นนี้จะหาเมืองใดอุดมเท่าเมืองเชียงอันหาได้ยาก เหตุใดสูจึงยอมให้เมืองนี้ตกเป็นของทัพไทเสียเล่า "
เตียวเหลียง " เราต้องไปตั้งมั่นที่เมืองไกวเจาเพราะว่าทัพไทจะยึดเมืองไกวเจาได้ยากกว่าเมืองเชียงอัน ถ้าทัพไทเสียเวลานานวันเพียงใดที่ไกวเจา โลยางก็จะรวบรวมคนได้มากขึ้นสำหรับมาทำลายทัพไท เมืองเชียงอันถึงแม้จะอุดม แต่เหมาะสำหรับให้ข้าศึกยึดไว้"
แล้วเตียวเหลียงก็พาทหารเดินทางต่อไป กุมภวาเห็นบุญปันและทหารอีกมากบาดเจ็บสาหัส จึงให้กองทัพพักอยู่ไม่ให้ติดตามเตียวเหลียงไป
คืนนั้นนายกองทั้งปวงมาที่บุญปันและเมื่อเห็นบุญปันจะมีชีวิตไม่ข้ามคืน ทุกคนก็มีสีหน้าเศร้าหมอง บุญปันจึงกล่าวว่า " สหายทุกคนคงรู้ว่าข้าจะต้องจากไปในคืนนี้ แต่ไม่มีเหตุที่สูจะเสียใจ เป็นโชคดีของข้าแล้วที่ได้มาจบชีวิตขณะขับไล่ผู้กดขี่แผ่นดินของเรา แทนที่ข้าจะทนเฉยอยู่ให้เขากดขี่เรื่อยไป "
แล้วบุญปันหันไปจับมือกุมภวาไว้และกล่าวว่า " ข้าทำผิดมากในคราวนี้ "
กุมภวากล่าวว่า " บุญปัน ที่สูนำทหารเข้าพักในเมืองในยามอากาศวิปริตเช่นนั้นสูไม่ได้ทำผิดจากที่ควรทำเลย ใครเล่าจะคิดว่าเตียวเหลียงมาคุมทัพอยู่ที่ฟุกเจา เตียวเหลียงที่เราพยายามจะทำให้หมดอำนาจไปแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่าเขากลับมานำทัพอีก บุญปันเอยไม่มีผู้ใดตำหนิสูได้ เราเห็นอยู่แต่ว่าสูเป็นผู้นำของเราโดยแท้ สูเป็นเจ้าเมืองแต่สูยอมอยู่ใต้คำสั่งของข้า ชาวไททั้งปวงเห็นตัวอย่าง เช่นนี้จึงร่วมกันทำงานด้วยความเต็มใจ เรามีชัยต่อข้าศึกตลอดมาเพราะสูทำให้เกิดความพร้อมใจในหมู่คนไท แล้วเหตุไฉนสูจึงคิดว่าสูทำสิ่งใดผิดเล่า "
แต่สีหน้าของกุมภวาเศร้าหมอง เพราะบุญปันสหายของเขาจะจากไป บุญปันสังเกตเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า " กุมภวาเอย เราเคยสนทนากันบ่อยๆ ถึงโลกนี่และโลกหน้า เราเคยพูดว่า คนที่ไม่มีความชั่วในชีวิตไม่ควรจะพบความตายด้วยความเสียใจในชีวิตส่วนตัวข้ากระทำทุกอย่างด้วยความรักและความยุติธรรม ในชีวิตแห่งการเป็นเจ้าเมืองข้าถือความสุขของราษฎรเป็นจุดหมาย และในกิจการระหว่างแคว้นนั้นเล่า ข้าถือความสงบเป็นที่ตั้ง เมื่อข้าจำต้องจับดาบ ข้าก็ทำหน้าที่จนถึงเวลาสุดท้าย เมื่อโชคกำหนดให้ข้าต้องสิ้นชีวิตเพราะดาบของข้าศึกก็หามีสิ่งใดที่สูควรจะเสียใจไม่ "
แล้วบุญปันหันไปกล่าวแก่นายกองทั้งปวงว่า " ข้าไม่อาจจะพูดกับสหายทุกคนได้ แต่ข้าหวังว่าเมื่อข้าจากไปแล้วชาวไทจะเลือกคนเป็นเจ้าเมืองได้ถูกต้อง "
แลัวบุญปันก็สิ้นใจ นายกองทั้งปวงร้องไห้อาลัยบุญปันทั่วกัน
คืนนั้นกุมภวานั่งอยู่หน้าศพบุญปันและร้องไห้อยู่ ในกองทัพมีนายกองผู้หนึ่งชื่อ
สันตา เป็นคนพูดไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อสันตาเห็นกุมภวาเสียใจอยู่กับการตายของบุญตา สันตาจึงเข้าไปหา และกล่าวว่า " ที่ข้าเห็นเบื้องหน้านี้คือกุมภวาหรือ สูทำลายทหารจิ๋นไปแล้วนับไม่ถ้วน ไฉนมาร้องไห้แก่ชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต เสมือนกองทัพไทหมดคนเสียแล้ว "
กุมภวากล่าวว่า " สันตาเอย คนที่สูเห็นร้องไห้อยู่นี่หาใช่แม่ทัพไม่ เป็นเพียงคนคนหนึ่งที่เสียเพื่อนของเขาไป เมื่อก่อนข้าได้เห็นเพื่อนข้าพร้อมกับความดีของเขาที่ข้านิยม พรุ่งนี้เขาจะเหลือแต่ชื่อและความดีให้เราระลึกถึง เราจะได้เห็นร่างของเขาแต่เพียงวันนี้เท่านั้น สูจะไม่อาลัยเขาบ้างหรือ อนึ่งเล่าเราเสียทหารไปเป็นอันมาก จันเสนก็สิ้นชีวิตไปด้วย ข้าอาลัยคนเหล่านี้ทุกคน "
สันตาได้ฟังก็พลอยนั่งนิ่งอยู่ที่นั่น
และในคืนรุ่งขึ้นมีการร้องรำกันตามประเพณีงานศพของคนไท แล้วกุมภวาให้เผาศพบุญปันและทำพิธีให้แก่จันเสน พร้อมทั้งทหารทั้งปวงที่เสียชีวิตในคราวนั้น และนำอัฐิส่วนหนึ่งโปรยลงในแม่น้ำฟุกโห อีกส่วนหนึ่งเก็บใส่ผอบเพื่อนำกลับแคว้นไท

๑๒...
ต่อมาเมื่พทัพหนุนมาถึง กุมภวาก็ให้เดินทัพไปยังเมืองไกวเจา เมื่อถึงเมืองเชียงอัน ทหารไททั้งปวงโห่ร้องประดาเข้าไปเพื่อจะโจมตีเมือง แต่ว่ายังไม่ทันถึงกำแพงเมือง ประตูเมืองเชียงอันก็เปิดออก และฝ่ายคนไทเห็นชาวเมืองกลุ่มหนึ่งทั้งหญิงและชายเดินเข้ามา กุมภวาจึงให้คนของเขาหยุดอยู่
ชาวเมืองเชียงอันตรงมาที่กุมภวา และกล่าวว่า " พวกสูไม่จำต้องใช้กำลังต่อพวกเรา เรายอมยกเมืองให้โดยดี เมืองเรานี้อุดมนัก หากว่าสูต้องการสิ่งใดเราจะจัดให้ทั้งสิ้น ขอให้ไปพักผ่อนในเมืองให้สบายเถิดหลังจากสูเหน็ดเหนื่อยตลอดมา "
กุมภวาซักถามโดยละเอียดและได้รู้ว่าเตียวเหลียงผ่านเมืองไปโดยมิเข้าพักในเมือง และชาวเมืองมิได้อพยพไปเลย กุมภวาจึงกล่าวแก่ชาวเมืองว่า " ที่เมืองฟุกเจา เตียวเหลียงอพยพคนออกจากเมือง ทิ้งให้เป็นเมืองร้าง และเมื่อทหารของเราเข้าไปพักในเมือง เตียวเหลียงก็ย้อนมาทำลายคนของเราเสียหายเป็นจำนวนมาก มาบัดนี้เตียวเหลียงปล่อยให้ชาวเชียงอันทั้งสิ้นอยู่ในเมืองและออกมาต้อนรับเราโดยดี เตียวเหลียงกับสูมีอุบายแก่เราหรือ "
ชาวเชียงอันกล่าวว่า " เราจะให้เตียวเหลียงมาทำอันตรายสูไม่ได้ พวกเราชาวเชียงอันจะให้เตียวเหลียงกลับมาเผาเมือง เพื่อคลอกเราให้ตายทั้งหมดหรือ "
กุมภวาให้นายกองออกตระเวณทั่วเมืองเชียงอัน ก็แน่ใจว่าการพักในเมืองจะไม่มีภัย กุมภวาจึงแบ่งทหารครึ่งหนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยให้สีเภานำเข้าไปพักในเมือง อีกครั้งหนึ่งกุมภวานำติดตามเตียวเหลียงต่อไป
พวกชาวไทที่พักในเมืองเชียงอันนั้น จะต้องการสิ่งใดชาวเมืองก็จัดให้ทั้งสิ้น ทุกคนมีความสำราญและความสบายยิ่งนัก และต่างอยากจะพักให้สมกับที่ตรากตรำในการศึกมานานความโกรธแค้นที่เพื่อนของตนสิ้นชีวิตไปเป็นอันมากที่เมืองฟุกเจา เพราะอุบายของเตียวเหลียงก็คลายลง
ทัพไทอยู่ในเมืองเชียงอันได้ห้าวัน สีเภาก็เรียกประชุมนายกองทั้งปวงและกล่าวว่า
" บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเตียวเหลียงจึงไม่หยุดทหารที่เมืองนี้และสู้กับทัพของเราที่นี่ แต่กลับยอมยกเมืองเชียงอันให้เราโดยดี ขอให้พวกสูเตรียมถอนทหารพรุ่งนี้เถิด เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ทหารของเราเข้มแข็งและมีชัยในการรบตลอดมา แต่ว่าตั้งแต่มาอยู่ในเมืองนี้ได้ห้าวันทหาาของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก หากเราพักในเมืองนี้ต่อไปอีก ทหารของเราจะไม่อาจชนะศึกได้ "
แล้วรุ่งขึ้นสีเภาก็นำทหารออกจากเมืองเชียงอัน ติดตามทัพกุมภวาไป เมื่อกุมภวาถึงเมืองไกวเจา เขาให้ทหารออกสำรวจก็รู้ว่าเมืองนี้มีแม่น้ำกว้างและลึกล้อมสามด้าน ด้านเหนือเท่านั้นมีกำแพงป้องกัน และมีประตูเมืองอยู่สอง มีหอคอยมั่นคง กุมภวาก็กล่าวขึ้นแก่ตนเองว่า " บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเตียวเหลียงจึงปล่อยเมืองเชียงอันแล้วมายันเราไว้ที่นี่ การโจมตีเมืองไกวเจานี้ทำได้ยาก ถ้าเราต้องเสียเวลาที่เมืองนี้นาน เราจะต้องถอยกลับแคว้นไทโดยมีทัพจิ๋นไล่โจมตีไปตลอดทาง "
แล้วกุมภวาให้ตั้งค่ายห่างออกมาจากหน้าเมืองและตั้งโดยไม่มีระเบียบ ไม่มีหอคอย เพียงวันเดียวค่ายก็เสร็จ แล้วกุมภวาขี่ม้าออกมาหน้าเมืองพร้อมกับกุฉินและธงผา และร้องบอกจิ๋นที่รักษาเชิงเทินว่า " ให้เตียวเหลียงออกมาเจรจากับเรา "
เตียวเหลียงออกมายังเชิงเทิน แล้วร้องกล่าวแก่กุมภวาว่า " แม่ทัพไทจะเข้าตีเมืองไกวเจาก็เร่งกระทำเถิด เราคอยอยู่หลายวันแล้ว "
กุมภวากล่าวว่า " การป้องกันเมืองที่มีกำแพงนั้นเด็กทำก็ได้ แต่กลางสนามเท่านั้น จะพิสูจน์ว่าสูสมควรเป็นแม่ทัพหรือไม่เตียวเหลียง ถ้าสูละอายต่อทหาร จงออกมากลางแปลงเถิด อย่าหลบอยู่หลังกำแพงเมือง "
เตียวเหลียงหัวเราะและกล่าวว่า " กุมภวา กำแพยงเมืองไกวเจากำลังท้าทายสูอยู่ จงปราบมันเสียก่อนแล้วเราจะได้พบกัน "
กุมภวาก็นำทหารเข้าโจมตี และกองช้างของไทเข้าบุกเพื่อทลายกำแพงเมือง เตียวเหลียงกับเตียวลกเร่งทหารให้ป้องกันเมือง และทหารจิ๋นเหวี่ยงลูกไฟไป ช้างก็ถอยหนีจากกำแพงเมืองคราวนี้กุมภวาให้กองม้าลากซุงไปข้างหน้าด้วยล้อเลื่อน เพื่อพังประตูเมือง ทหารจิ๋นก็ยิงไปถูกคนไทคนที่เดินนำหน้าล้อเลื่อนล้มลงแต่คนไทอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ ทหารจิ๋นยิงธนูไปถูกชาวไทคนนั้นล้มลงอีกแต่ก็มีคนหนึ่งเข้ามาแทน
เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ทหารของตนว่า " สูได้เห็นแล้วว่า ถ้าเรายิงไปที่คน ท่อนซุงที่จะทำลายประตูก็จะเข้ามาใกล้เราทุกที สูจงยิงไปที่ม้าซึ่งลากล้อเลื่อนนั้น "
ทหารจิ๋นพากันยิงธนูไปที่ม้า เมื่อม้าได้รับบาดเจ็บก็แตกตื่นไปทางอื่น ล้อเลื่อนเข้ามาถึงประตูเมืองไม่ได้ กุมภวาจึงให้ทหารหยุดโจมตี
ฝ่ายเตียวเหลียงนั้นเลือกทหารที่แข็งแรงไปประจำอยู่เหนือประตูเมือง ทุกคนมีแรงที่จะยกก้อนหินใหญ่ทุ่มลงมาที่พื้นดินได้และเตียวเหลียงให้เตรียมเคี่ยวน้ำมันยางไว้
เมื่อกุมภวากลับเข้าค่ายแล้ว เขาให้ทำเครื่องทำลายกำแพงสามอัน ทำด้วยซุงใหญ่ตรงกลางซุงผูกไว้กับคานเป็นรูปกากบาทหัวซุงที่จะใช้กระแทกกำแพงทำด้วยเหล็กเป็นรูปค้อน ท้ายซุงเป็นที่เหวี่ยง คนไทช่วยกันลากค้อนซุงทั้งสามไปยังกำแพงเมืองมีโล่ยาวกำบังตัว เมื่อทหารจิ๋นยิงมาธนูก็แฉลบไป เมื่อคนไทเคลื่อนค้อนซุงนี้มาชิดกำแพงแล้ว คนไทก็โห่ร้องเป็นจังหวะและช่วยกันเหวี่ยงค้อนซุงนั้น ค้อนก็ตีลงบนกำแพง หินที่กำแพงค่อยๆ พังไปทีละน้อย บรรดาหญิงในเมืองเมื่อได้ยินเสียงฝ่ายไทโห่ร้องและเสียงค้อนกระทบกำแพง ต่างก็ร้องอื้ออึงว่าฮวนจะเข้าเมืองแล้วเตียวเหลียงก็ให้ทหารเอาน้ำมันยางที่เคี่ยวไว้สาดลงมา ฝ่ายไทก็ยิงธนูขึ้นไป กำแพงเป็นรูไปบ้าง แต่จนตกเย็นก็ยังไม่แตก
กุมภวาจึงให้ทหารของเขาถอยกลับมา และเตรียมทหารไว้สำหรับเข้ารบในเมืองเมื่อกำแพงแตกแล้ว
ในคืนนั้นเตียวเหลียงให้เอากระสอบป่านจำนวนมากมาเย็บซ้อนติดกัน แล้วผูกติดไว้กับสายเชือก วันรุ่งขึ้นเมื่อฝ่ายไทนำค้อนซุงมาเจาะกำแพงอีก ฝ่ายจิ๋นก็หย่อนกระสอบหนาลงมาขวางหัวค้อน เมื่อหัวค้อนกระทบกระสอบ กำแพงนั้นก็ไม่กร่อนไป ฝ่ายไทช่วยกันเหวี่ยงค้อนซ้ำเท่าใดกำแพงก็ไม่แตก ตกเย็นฝ่ายไทพากันกลับเข้าค่ายและฝ่ายจิ๋นร้องเยาะเย้ยตามหลังไป
วันรุ่งขึ้นฝ่ายไทนำค้อนซุงออกมาอีก และเมื่อฝ่ายจิ๋นหย่อนกระสอบลงมา ฝ่ายไทก็เอาเคียวที่ผูกติดกับปลายไม้มาเกี่ยวสายเชือก ทำให้กระสอบเป็นอันมากขาดไปและคนไทช่วยกันเหวี่ยงค้อนเจาะกำแพงต่อไป แต่ฝ่ายจิ๋นหย่อนกระสอบใหม่มาขวางค้อนอีก และฝ่ายจิ๋นเทน้ำมันร้อนลงมาบ้างทำให้ฝ่ายไทเหยียบดินไม่ได้ และฝ่ายจิ๋นยิงธนูและพุ่งแหลนหลาวลงมาบ้างกุมภวาจึงให้เลิกโจมตี
วันรุ่งขึ้น กุมภวาให้ทหารโจมตีอีกและให้ทหารยิงธนูและโยนคบเพลิงเข้าไปในเมือง เตียวเหลียงก็ให้ทหารของตนยกแผงหนังสัตว์ที่เตรียมไว้เป็นอันมากขึ้นตั้งชิดกับกำแพง ลูกธนูและคบเพลิงไปไม่ถึงบ้านเรือน แต่ติดอยู่ที่แผงหนังสัตว์เหล่านั้น กุมภวาจึงให้ทหารหยุดโจมตี ฝ่ายจิ๋นก็เยาะเย้ยฝ่ายไทต่างๆ และชาวเมืองเล่นมโหรีกันเซ็งแซ่
กุมภวาให้ทัพของเขาตั้งเฉยอยู่หลายวัน และที่หน้าเมืองไกวเจานี้มีลูกเขาเล็กอยู่ลูกหนึ่ง มีต้นไม้ปกคลุม กุมภวาให้ทหารของเขาขึ้นไปสังเกตภายในเมืองไกวเจาอยู่บนลูกเขานี้ ระหว่างนั้นเสบียงอาหารภายในเมืองไกวเจาขาดแคลน เพราะพ่อค้ากักไว้ ไม่นำออกขาย ส่วนที่นำออกขาย พ่อค้าก็โก่งราคา จนคนยากจนไม่อาจซื้อไปเลี้ยงดูครอบครัวได้ ทำให้เกิดการแย่งชิงภายในเมือง และเตียวเหลียงเองไม่มีเงินพอจะซื้ออาหารให้ทหารของเขาในราคาที่พ่อค้าเรียก เตียวเหลียงจึงไปแจ้งแก่เจียนเผงผู้เป็นเจ้าเมืองว่า " ขอให้สูไปบอกพ่อค้าให้นำเสบียงอาหารออกขายในราคาเดิม อย่าได้กักไว้เพราะว่าการทำเช่นนั้นจะนำความฉิบหายมาให้แก่เมืองไกวเจาได้ "
เจียวเผงก็ไปประกาศตามคำของเตียวเหลียง แต่เสบียงอาหารกลับหายไปจากร้าน ส่วนที่นำออกขากก็ราคาแพงมาก เตียวเหลียงให้คนสอดส่องอยู่ เมื่อรู้เช่นนั้น เขาจึงให้ทหารไปค้นและริบเสบียงอาหารทั้งหมดมาจากบรรดาพ่อค้า และนำมาปันส่วนให้แก่ชาวเมืองและทหารของเขา บรรดาพ่อค้าก็พากันเกลียดเตียวเหลียง
ทหารที่กุมภวาให้สังเกตอยู่บนลูกเขา ได้เห็นชาวเมืองยืนเรียงแถวเข้ารับปันส่วนเช่นนั้น จึงมาแจ้งแก่กุมภวา กุมภวาให้เรียกประชุมกองทัพ และแจ้งให้รู้ถึงอุบายที่จะใช้ต่อไป
ตั้งแต่นั้นมา ฝ่ายไทไม่เข้าโจมตีเมืองไกวเจา แต่กุมภวาส่งทหารออกไปจากค่ายทุกวัน ให้ไปยึดเสบียงและทรัพย์สินจากหมู่บ้านข้างเคียงและนำชาวบ้านมาทำงานในค่าย และตอนเย็นของทุกวัน ฝ่ายไทจะดื่มสุรากัน บ้างก็เดินเปะปะไปมาจนเกือบถึงกำแพงเมือง ไม่มีการระวังยาม ชาวบ้านที่ถูกจับมา เมื่อตกกลางคืนก็หนีออกไปเป็นจำนวนมาก หลายคนหนีเข้าไปในเมืองทางด้านแม่น้ำ ชาวเมืองนำตัวชาวบ้านเหล่านี้ไปยังเจียวเผง และชาวบ้านแจ้งแก่เจียวเผงว่าภายในค่ายของฝ่ายไทมีเสบียงและทรัพย์สินสะสมไว้มาก แต่ไม่มีระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น ใครจะนอนจะตื่นหรือจะกินเมื่อใดก็ได้ ไม่มีการฝึกซ้อมรั้วค่ายของคนไทก็ไม่แข็งแรง ทุกคนสกปรกมีท่าทางเป็นคนล้าหลังกว่าจิ๋นมาก และในกลางวันคนไทจะแยกย้ายกันไปปล้นตามหมู่บ้านและทิ้งค่ายไว้ไม่มีการป้องกัน
ชาวเมืองจึงกล่าวแก่เจียวเผงว่า " เตียวเหลียงนำทหารมาหลบอยู่ในเมืองเราเช่นนี้ทำให้เราเดือดร้อนมาก เสบียงขาดแคลนลงทุกที ทัพไทไม่ใช่ทัพที่เข้มแข็ง เป็นทัพของคนป่าโดยแท้จริง ควรที่เตียวเหลียงจะออกไปโจมตีค่ายของฝ่ายไท แล้วการศึกจะได้เสร็จสิ้น เท่าที่ชาวบ้านมาบอกเรานี้ แสดงว่าฮวนพวกนี้ชนะศึกมาได้จนบัดนี้ก็ด้วยโชคและด้วยความกล้าอย่างสัตว์ป่าเท่านั้น จะรู้จักกระบวนการรบใดๆ ก็หาไม่ ขอให้สูไปบอกเตียวเหลียงให้ออกไปแย่งเสบียงจากข้าศึก มิควรจะมานั่งเฉยอยู่ในเมือง ให้ข้าศึกโจมตีอันทำให้เดือดร้อนแก่เรา "
เจียวเผงกับชาวเมืองก็ไปแจ้งแก่เตียวเหลียง เตียวเหลียงกล่าวว่า " ทหารของฝ่ายไทช่ำชองการรบยิ่งกว่าทหารของเรามากหากเราออกไปรบกลางแปลงเราจะต้องถูกทำลายเป็นแน่นอน ขอให้เรารอต่อไปเถิด เมื่อใดโลยางรวบรวมทัพใหม่ได้ ฝ่ายไทจะต้องถอยกลับไปเอง "
ชาวเมืองก็พากันพูดว่าเตียวเหลียงเป็นคนขลาดและอยากจะรักษาอำนาจของตนไว้จึงไม่กล้าออกไปรบ และชาวเมืองพากันยกย่องเจ้าเมืองของตน และกล่าวว่าหากเจียวเผงเป็นแม่ทัพแทนเตียวเหลียง ทัพไทจะถูกไล่ไปแล้ว เจียวเผงก็มีความลำพองใจ วันหนึ่งจึงพาชาวเมืองและนายทัพของตนไปยังเตียวเหลียงและกล่าวว่า " ที่สูนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ ชาวเมืองของข้าไม่พอใจ เรารู้ว่าสูไม่กล้าเดินทัพต่อไป เพราะกลัวพวกฮวนโจมตีตามทาง สูจึงมายึดเมืองของเราไว้เพื่อป้องกันชีวิตตนเองเท่านั้น มิได้คิดถึงความเดือดร้อนของชาวเมืองที่นี่ ยิ่งกว่านั้นสูยังนำทหารมาแย่งอาหารของพวกเราและปล่อยให้ทัพฮวนปล้นสะดมชาวบ้าน เมื่อสูไม่กล้าออกไป พวกเราชาวเมืองไกวเจาจะออกไปสู้กับพวกฮวนเอง เราอับอายนักที่ถูกพวกคนป่าล้อมไว้เช่นนี้ "
เตียวเหลียงกล่าวแก่เจียวเผงว่า " สูกำลังหาภัยร้ายแรงให้แก่ตนเองแล้ว สูต้องรู้ว่าเมื่อกุมภวาเห็นว่าเขาโจมตีเมืองนี้ไม่สำเร็จ และเขารู้ว่าฝ่ายเรากำลังฮึกเหิมและดูหมิ่นฝ่ายเขา เขาจึงทำอุบายล่อให้เราออกไปโจมตี สูอย่าได้บอกไปเลย "
ทหารชาวไกวเจากล่าวแก่เตียวเหลียงว่า " สูริบเอาเสบียงของเราไปแจกจ่ายแก่ทหารของสู แต่สูไม่กล้าออกไปยึดเสบียงที่คนไทปล้นไปจากชาวบ้าน สูพอใจที่จะมาเป็นนายของพวกเราในเมืองนี้ แต่ไม่กล้าออกไปสู้กับคนป่าที่ทำความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านอยู่ทุกวัน ครั้นเราจะออกไปโจมตีข้าศึก สูก็ไม่ช่วยเหลือเช่นนี้เราอยู่ในเมืองเดียวกันไม่ได้แล้ว "
แล้วทหารชาวไกวเจากับเจียวเผงก็ออกมายุยงชาวเมืองทั่วไปว่าเตียวเหลียงไม่ยอมนำทหารของตนออกสู้คนฮวน ทั้งไม่ยอมให้ทหารชาวไกวเจาเองออกไปทำลายพวกฮวน ชาวเมืองก็ยกขบวนมายังเตียวเหลียงและขว้างปาเตียวเหลียงและกล่าวว่า " ถ้าสูไม่ยอมเปิดประตูเมืองให้พวกข้า พวกข้าจะพังออกไป " แล้วชาวเมืองไปยึดประตูเมืองไว้จากทหารของเตียวเหลียง ทหารของเตียวเหลียงเองบางคนก็ไปเข้ากับชาวไกวเจา ในเมืองไกวเจาจึงแยกออกเป็นสองพวก
อีกสองวันต่อมาทัพของชาวเมืองไกวเจาและทหารของเตียวเหลียงเองบางส่วนที่อยากไปแย่งชิงทรัพย์สินจากค่ายฝ่ายไทก็เปิดประตูเมืองออกม มีเจียวเผงควบคุม ทัพชาวเมืองไกวเจาคุมกันแน่นเป็นระเบียบ กุมภวาเห็นดังนั้นก็ให้ทหารของตนวิ่งเข้าไปหาอย่างไม่เป็นขบวน และทหารเหล่านี้มีอาการประหนึ่งว่าทุกคนเมาสุรา และเมื่อมาใกล้กันฝ่ายไทก็ถอยหนีทหารไกวเจาติดตามมาถึงค่าย และเมื่อทหารจิ๋นเพียงแต่เอามือยัน รั้วค่ายของไทก็พังลงไป ทหารไกวเจาก็พากันวิ่งเข้าไปขับไล่คนไท คนไทวิ่งหนีกันสิ้นทหารไกวเจาพากันเก็บทรัพย์สิน และขนเสบียงในค่ายนั้นและพากันโห่ร้องด้วยความยินดี บางคนวิ่งไปบอกแก่ทหารภายในเมืองว่าฝ่ายไทหนีไปหมดแล้ว ให้ออกมาช่วยกันขนเสบียงทหารเตียวเหลียงเป็นอันมากก็ออกไปช่วย เตียวเหลียงห้ามก็ไม่ฟัง
ในระหว่างที่ทหารไกวเจากำลังชุลมุนเก็บทรัพย์สินและขนเสบียงในค่ายของฝ่ายไทนั้น ทัพม้าของฝ่ายไทก็พุ่งเข้ามาเป็นหน้ากระดานและทิ่มแทงทหารไกวเจาล้มตายเกลื่อนกลาดที่หนีกระจัดกระจายไปทางอื่นม้าของฝ่ายไทก็ตามไปใช้หอก และดาบทิ่มแทงจนตายกันสิ้น ที่หนีไปทางเมืองไกวเจาก็ไปตายที่หน้าเมืองเตียวเหลียงให้ทหารธนูของตนช่วยยิงขับไล่ฝ่ายไท ทหารไกวเจาบางคนจึงรอดตายกลับมาได้ แต่ว่าสิ้นชีวิตไปกว่าครึ่ง เจียวเผงขณะวิ่งหนีมายังประตูเมือง ถูกหอกที่หลังและล้มลงตายที่หน้าประตูเมือง
เมื่อถึงกำแพงเมือง ฝ่ายไทเอาโล่ยาวตั้งยันไว้กับกำแพงให้เพื่อนขึ้นไปเหยียบ แล้วคนนั้นก็เอาโล่ของตนยันกำแพงไว้อีกให้เพื่อนอีกคนหนึ่งปีนขึ้นไป แต่ทหารของเตียวเหลียงทิ่มแทงตกลงมา และที่ประตูเมืองเตียวเหลียงให้ทหารเทน้ำมันยางเดือดลงมาบ้าง ยิงธนูมาบ้าง และทหารที่เตียวเหลียงคัดเลือกไว้ก็ทุ่มก้อนหินใหญ่ลงมา ฝ่ายไทเข้าในเมืองไม่ได้ กุมภวาจึงให้เรียกทหารกลับ
บัดนี้ชาวเมืองไกวเจามีความกลัวฝ่ายไทยิ่งนัก และพากันร่ำร้องต่อเตียวเหลียงว่า
" ที่เราเข้าใจว่าฮวนพวกนี้เป็นคนล้าหลังกว่านั้น เราเข้าใจผิดเสียแล้ว เขามีปัญญาเกินกว่าที่เราคิด เวลานี้เรายังป้องกันเมืองไว้ได้ก็จริงอยู่ แต่ถ้าเมื่อใดเขาเข้ามาในเมืองได้ พวกเราจะพากันตายสิ้น และเราจะพลาดพลั้งเมื่อใดก็ไม่รู้ ความอดอยากในเมืองกำลังทวีขึ้น และโยลาง ก็ไม่ส่งกำลังมาช่วย ขอให้สูเจรจาสงบศึกกับฝ่ายไทเสียเถิด เรารู้มาว่าเมืองต่างๆ ที่ยอมจำนนโดยดี ไม่เคยได้รับอันตรายจากมือของคนไทเลย "
และชาวเมืองพากันคาดคั้นให้เตียวเหลียงส่งคนไปเจรจากับฝ่ายไท เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ชาวเมืองว่า " ข้าส่งคนไปขอกำลังจากโลยางแล้ว คงได้รับข่าวในไม่ช้า ขอให้พวกเราอดทนต่อไปก่อน "
แล้วเตียวเหลียงกล่าวต่อไปว่า " ที่ฝ่ายไททำกลแก่เรานั้น เพราะคนของเขาที่เฝ้าดูเราอยู่ที่ลูกเขาหน้าเมืองรู้ว่าภายในเมืองเรามีความอดอยากอย่างไร แต่เราพอจะซ้อนกลฝ่ายไทได้ขอให้พวกสูร่วมมือกับข้าในการโจมตีฝ่ายไทบ้าง "
แล้วเตียวเหลียงก็แจ้งแก่ชาวเมืองถึงวิธีที่จะตอบแทนฝ่ายไท
ตั้งแต่นั้นมา คนสอดแนมของฝ่ายไทที่ประจำอยู่บนลูกเขาได้เห็นภายในเมืองไกวเจามีการปะทะกันเองอยู่เสมอระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายชาวเมือง และชาวเมืองที่เข้าแถวรับปันส่วนก่อความวุ่นวายและแย่งชิงเสบียงไปจากทหาร แม้ที่บนกำแพงเมืองคนสอดแนมฝ่ายไทก็ได้เห็นชาวเมืองชายและหญิงขึ้นไป ขับไล่ทหารและเห็นทหารใช้ดาบฟันและแทงชาวเมืองล้มลง แต่ว่าเชิงเทินบังอยู่ คนไทจึงไม่รู้ว่าชาวเมืองบาดเจ็บจริงหรือไม่ และไม่รู้ว่าใต้เสื้อของชาวเมืองมีอะไรป้องกันคมอาวุธหรือไม่ และชาวเมืองยิงธนูผูกหนังสือมายังฝ่ายไท เป็นความว่าชาวเมืองขอยอมจำนน และพร้อมใจกันจะเปิดประตูเมืองให้แก่ทัพไท
ทหารฝ่ายไทได้ข่าวเช่นนี้ก็พูดกันว่าในไม่ช้าฝ่ายตนจะเข้าเมืองไกวเจาได้ แต่กุมภวากล่าวแก่ทหารของเขาว่า " พวกสูอย่าประมาท เตียวเหลียงอาจจะวางกับดับเราก็เป็นได้ "
ต่อมาเตียวเหลียงให้ชาวบ้านแต่งเป็นทหารขึ้นไปรักษากำแพยง และให้ทหารแต่งตัวเป็นชาวบ้านขึ้นไปขว้างปาและขับไล่ทหารปลอมเหล่านั้นจากกำแพง และพากันยึดกำแพงเมืองไว้อีกพวกหนึ่งก็เปิดประตูเมือง และมีคนถือธงขาวนำหน้า แต่ก็มีหทารจิ๋นมาขัดขวางและขับไล่ให้กลับเข้าไปในเมือง
ฝ่ายคนไทเห็นดังนั้นก็ร้องบอกกันว่า ชาวเมืองไกวเจาเปิดประตูเมืองให้แล้ว และคนไทพากันเตรียมจะยกกำลังเข้าไป แต่กุมภวาสั่งให้ทุกคนอยู่กับที่ แต่ว่าในขณะนั้นทหารของเมืองมงทุมอยู่หน้าค่าย ต่างก็จับอาวุธ และวิ่งไปจะโจมตีประตูเมืองไกวเจา พวกที่แต่งเป็นชาวเมืองก็หลีกทางให้ทหารเมืองมงทุมและพวกทหารจิ๋นเมื่อเห็นฝ่ายไทรุกเข้ามาต่างก็ถอยหนี แต่ว่าเมื่อทหารมงทุมตกอยู่ระหว่างกำแพงเมืองกับพวกทหารจิ๋นที่แต่งตัวเป็นชาวเมืองแล้ว พวกที่แต่งเป็นชาวเมืองก็หันกลับเข้าโจมตีชาวมงทุมและทหารจิ๋นอื่นๆ ก็ออกมายันทหารมงทุมไว้ ทหารมงทุมถูกขนาบทั้งสองด้าน ก็ล้มตายและบาดเจ็บเป็นอันมาก แต่ในที่สุดฝ่าวงล้อมออกมาได้ ฝ่ายทหารจิ๋นติดตามมาแต่กุมภวาให้กุฉินนำทหารออกไป ฝ่ายจิ๋นจึงถอยกลับไป ตั้งแต่นั้นมาขวัญของชาวเมืองไกวเจาก็ดีขึ้น
กุมภวาให้ทหารของตนโจมตีอีก ครั้งใดที่ทหารไทออกมาโจมตี ทหารไทจะส่งเสียงโห่ร้องได้ยินเข้าไปถึงใจกลางเมืองชาวเมืองก็ตกใจ เตียวเหลียงจึงบังคับให้หญิงและเด็กทุกคนอยู่แต่ภายในบ้าน และให้เอาสำลีอุดหูไว้ เมื่อคนไทโจมตี ทหารเตียวเหลียงก็ป้องกันเมืองได้ดีขึ้น ฝ่ายไทไม่อาจเข้าเมืองได้
ต่อมา ฝ่ายไทช่วยกันขนฟืนแห้งเป็นอันมากไปสุมไว้ที่หน้าประตูเมืองทั้งสอง แล้วโยนคบไฟเข้าไปเพื่อเผาประตูเมือง แต่ฝ่ายจิ๋นเตรียมน้ำไว้ก่อนแล้ว เมื่อไฟติดขึ้น ฝ่ายจิ๋นก็เทน้ำลงมาและใช้ธนูขับไล่ไม่ให้ฝ่ายไทเข้ามาใกล้ ฝ่ายจิ๋นก็รักษาประตูเมืองไว้ได้ แล้วทหารจิ๋นบอกทหารไทไปว่า " สูไปบอกกุมภวาเถิดว่าจงไปหัดบินเสียก่อนแล้วจึงมาตีเมืองไกวเจา "
ทหารไทก็มาแจ้งแก่กุมภวาเช่นนั้น กุมภวาหัวเราะแล้วก็ให้ตั้งมั่งเฉยอยู่ และคอยป้องกันมิให้ทหารจิ๋นออกจากกำแพงเมืองหรือข้ามแม่น้ำไปได้ และกุมภวาให้ทหารสอดแนมอยู่เสมอ ว่ามีทัพจากโลยางมาช่วยเมืองไกวเจาหรือไม่
อากาศปีนั้นหนาวจัดกว่าทุกปี ทหารจิ๋นเห็นฝ่ายไทตั้งมั่นอยู่ไม่เข้าโจมตีอีกก็ร้องเยาะเย้ยไปว่า " คนไทจะมาตั้งรกรากในแดนจิ๋นหรือ "
แต่ฝ่ายไทก็เฉยอยู่

๑๓...
ม้าเร็วซึ่งเตียวเหลียงให้ถือหนังสือไปเมืองหลวง เมื่อไปถึงก็เข้าเฝ้ากษัตริย์จิ้นอ๋อง และนำหนังสือของเตียวเหลียงส่งให้ขันทีหน้าบัลลังก์ เมื่อกษัตริย์จิ้นอ๋องทราบจากหนังสือนั้นว่าเตียวเหลียงนำกองทหารเหลือตายของงันสุยโจมตีทัพไท และทำลายทหารได้เป็นอันมาก ก็มีความยินดีและสำนึกผิดในการลงโทษเตียวเหลียงตามคำใส่ความของลิบุ๋น กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงให้ขันทีทำหนังสือตั้งเตียวเหลียงเป็นแม่ทัพเพื่อสู้กับทัพไทต่อไป
แต่ยังมิทันที่หนังสือตราตั้งจะเขียนเสร็จ ม้าเร็วจากตังเกี๋ยเข้ามาแจ้งว่า ทางตังเกี๋ยเมื่อรู้ว่างันสุยเสียทีแก่ทัพไทและงันสุยฆ่าตัวตายแล้ว ชาวตังเกี๋ยก็แข็งเมืองและต่อสู้กับทหารจิ๋นอยู่ ขอให้เมืองหลวงส่งกำลังไปช่วยโดยเร็ว กษัตริย์จิ้นอ๋องได้ทราบ ดังนั้นก็ถามขุนนางทั้งปวงว่า " เราเกิดศึกสองด้านเช่นนี้แล้วจะทำประการใด "
ซุนโปกล่าวว่า " ด้านตังเกี๋ยนั้นเป็นขบถ เราจำต้องปราบเสียก่อนโดยเร็ว เพื่อมิให้หัวเมืองอื่นขบถตาม ข้าเห็นว่าควรหาทางสงบศึกกับไทเสีย เตียวหลียงยันทัพไทไว้ได้อยู่แล้ว เราอาจจะต้องเสียทองให้ทัพไทบ้างก็เป็นการสมควรสำหรับความขับคันเช่นนี้ หากช้าไปและเกิดศึกด้านเหนือขึ้นอีก เราจะลำบากยิ่งขึ้น "
กษัตริย์จิ้นอ๋องเห็นด้วย จึงให้คนนำข่าวถือหนังสือแจ้งไปยังเตียวเหลียงว่า บัดนี้ทางตังเกี๋บแข็งเมือง ขอให้เตียวเหลียงเจรจาสงบศึกกับทัพไทเสียโดยเร็ว
คนนำข่าวขึ้นม้านำหนังสือนั้นไปเมืองไกวเจา และตกกลางคืนลมจากเหนือพัดจัด คนนำข่าวเอาหนังสือจากเมืองหลวงนั้นผูกกับว่าวไว้ และขึ้นว่าวให้ไปตกในเมือง ทหารจิ๋นนำหนังสือไปมอบให้เตียวเหลียง วันรุ่งขึ้นเตียวเหลียงให้ทหารไปยังค่ายของกุมภวาเพื่อขอเจรจา
กุมภวานั้นได้ข่าวร้ายจากแคว้นไทเช่นกัน ทางชายแดนเม็งที่ติดกับเขตแดนไต๋ ชาวบ้านพบแหล่งเกลือแห่งใหม่ เมื่อขุนสายได้ทราบเรื่อง ขุนสายก็ให้ทหารของตนเข้าไปยึดเมืองเกลือจากชาวเม็ง กรมการเมืองเม็งส่งทหารไปขับไล่ทหารเมืองไต๋ ก็ถูกทหารเมืองไต๋ตีพ่ายมา กรมการเมืองจึงมีใบบอกไปยังเมืองลือ กรมการเมืองลือส่งทหารไปช่วยแต่ก็พ่ายแก่ทหารไต๋มาอีก และทหารไต๋กลับรุกเข้ายึดดินแดนของแคว้นเม็งเพิ่มขึ้น กรมการเมืองลือเห็นจะต่อสู้มิได้ จึงให้ม้าเร็วเดินทางเข้าเมืองจิ๋น มาแจ้งแก่กุมภวา กุมภวาก็หนักใจอยู่ แต่เมื่อทหารจิ๋นเข้ามาแจ้งว่าเตียวเหลียงขอเปิดเจรจา กุมภวาก็คิดอยู่กับตัวเองว่า " เตียวเหลียงเพิ่งมีชัยแก่ทัพไทเมื่อเร็ววันนี้และ ขณะนี้ก็ป้องกันเมืองได้อยู่ไฉนจึงมาขอเจรจาชะรอยทางฝ่ายจิ๋นจะมีหัวเมืองบางแห่งขบถขึ้น แต่ถ้าเราจะขืนขับเคี่ยวกับทัพจิ๋นต่อไป ทางแคว้นไทลือออาจจะลำบากเพราะขุนสายได้ อนึ่งเล่าทหารของเรามาพบกับอากาศซึ่งไม่เคยรุนแรงเช่นนี้มาก่อน "
กุมภวาจึงกล่าวแก่คนข่าวของจิ๋นว่า " ข้ารู้ว่าเตียวเหลียงต้องการสงบศึก แต่ข้ามาครั้งนี้หมายจะนำม้าเข้าไปเหยียบวังของเจ้ากรุงจิ๋นให้ได้ เพียงแต่ว่าเวลานี้อากาศยังขัดขวางอยู่ ข้าจะไปสนทนากับเตียวเหลียงเป็นการพักผ่อนไปก่อน "
ทหารจิ๋นก็นำคำของกุมภวาไปแจ้งแก่เตียวเหลียง เตียวเหลียงจึงให้ไปเชิญกุมภวาออกมาเจรจากันที่หน้าเมืองไกวเจา กุมภวาก็ออกมา
แล้วแม่ทัพทั้งสองทักทายกันเป็นอันดี กุมภวาถามเตียวเหลียงว่า " เหตุใดเมื่อทัพลิตงเจียพ่ายแล้วสูจึงถูกขับออกจากโลยาง "
เตียวเหลียงตอบว่า " ข้าถูกขับเพราะถูกหาว่าเป็นมิตรกับคนไทเกินไป แต่สูก็ได้ปล่อยน้องข้ากลับมา "
แล้วเตียวเหลียงถามกุมภวาว่า " สูรู้หรือไม่ว่าใครช่วยให้ข้าพ้นเขตไทมาได้ "
กุมภวาตอบว่า " เมื่อครั้งข้าเป็นทูตไปเมืองโลยางได้แวะที่วัดป่าลายเพื่อเยี่ยมสีบุญพี่ชายข้า สีบุญบอกถึงลักษณะของชาวจิ๋นคนหนึ่งซึ่งเขาช่วยไว้และปล่อยตัวไป ข้าเข้าใจคงจะเป็นสู ข้าไม่ชอบที่เขาทำเช่นนั้น แต่เขาอยู่ในคำสาบานที่จะทำอันตรายใครไม่ได้ เขาจึงต้องทำเช่นนั้น แต่ที่เรามาพบกันนี้ก็ดีแล้ว จะได้คุยกันให้สนุก " แล้วกุมภวาพูดเรื่องต่างๆ เรื่อยไปเหมือนมาพบเพื่อนเก่า และไม่เอ่ยถึงการศึกเลย เตียวเหลียงร้อนใจอยู่ในที่สุดเมื่อมีโอกาส เตียวเหลียงกล่าวขึ้นว่า " สูยกทัพมาครั้งนี้คิดหรือว่าจะยึดแคว้นจิ๋นไว้ในอำนาจได้ "
กุมภวากล่าวว่า " ข้ารู้อยู่ว่าคนเผ่าใดที่เข้าไปอยู่ในกำแพงของจิ๋น คนเผ่านั้นในที่สุดจะกลายเป็นชาวจิ๋นไปสิ้น ดังคำที่ว่า ทะเลหลวงของจิ๋นทำให้ทุกแม่น้ำต้องเค็มไป เราจึงไม่เคยคิดว่าจะยึดแคว้นจิ๋นไว้ในอำนาจ แต่การศึกนั้นสูก็รู้อยู่ว่ามีสองประการ หนึ่งคือการยึด และสองคือการทำลาย "
เตียวเหลียง " เมื่อสูไม่อาจจะยึดแคว้นจิ๋นไว้ในอำนาจได้ และจะทำได้ก็แต่การทำลาย ดังนี้แล้วสูมิคิดบ้างหรือว่า จิ๋นจะกลับไปทำลายแคว้นไทเป็นการตอบแทนบ้างในกาลข้างหน้า อนึ่งนอกจากเราจะไปทำลายทรัพย์สินของคนไทแล้ว เรายังจะทำลายความเป็นไทของคนไทอีก สูควรจะยกทัพกลับดีกว่าที่จะสู้รบกับจิ๋นต่อไปอีก "
กุมภวาตอบไปว่า " เตียวเหลียงเอย ถ้าชาวไทและชาวจิ๋นกระทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเหตุผล ชาวจิ๋นคงไม่เข้าไปรุกรานไทและชาวไทจะไม่ติดตามเข้ามาแก้แค้น อนึ่ง ที่สูกล่าวถึงความเป็นไทของคนไทว่า อาจจะถูกชาวจิ๋นทำลายในกาลข้างหน้านั้น เราหาวิตกไม่ ความเป็นไทมิได้ติดอยู่กับพื้นดิน คนใดที่รักความเป็นไท คนนั้นย่อมจะหาความเป็นไทได้ ทางใต้ของแคว้นของเรายังมีแผ่นดินอีกมากที่เราจะไปอยู่ได้ สูอย่าได้คิดว่าคำขู่ของสูจะทำให้เราถอยทัพกลับโดยดี เราปรารถนาจะทำศึกต่อไป "
แล้วกุมภวากล่าวต่อไปว่า " คนไกวเจาชอบมโหรีมิใช่หรือ ข้าจะเอาเครื่องสายไทมาเล่นให้ชมกลางแปลงนี้บ้าง เพราะเราพักรบกันอยู่ "
แล้วกุมภวาก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป
เตียวเหลียงรั้งกุมภวาไว้และกล่าวว่า " สูรู้อยู่แล้วว่าที่ข้าเชิญมานี้ก็เพื่อเจรจาสงบศึกซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ทัพจิ๋นได้เข้าไปทำความเสียหายให้แก่คนไทมาก เราจะชดใช้ความเสียหายนั้น และขอให้สูเลิกทัพกลับไป "
กุมภวาจึงถามว่า " สูจะยอมซื้อการเลิกทัพของเราเพียงใด "
เตียวเหลียง " ไททุกแคว้นที่มาร่วมการศึก จะได้ทองแท่งไปเท่าจำนวนทหาร และเราจะส่งม้าพันธุ์ดีให้แก่ฝ่ายไทแปดพันตัว "
กุมภวาจึงกล่าวว่า " ข้าต้องไปปรึกษาคนของข้าก่อน "
แล้วกุมภวากลับไปแจ้งแก่ทหารทั้งปวงถึงความยินยอมของฝ่ายจิ๋น และกุมภวาว่า
" เวลานี้ทางแดนไทกำลังแตกร้าวกันเพราะ ขุนสายผู้รักษาเมืองไต๋เข้าไปรุกรานแคว้นเม็ง เราจำเป็นต้องกลับอยู่แล้ว เมื่อเตียวเหลียงมาจ้างให้เรากลับอีก ก็เป็นโอกาสของเราอยู่ "
ทหารทั้งปวงโดยเฉพาะสีเมฆเจ้าเมืองเม็งก็เห็นด้วย กุมภวาจึงกลับออกไปพร้อมกับธงผา เมื่อถึงเตียวเหลียง กุมภวากล่าวว่า " ฝ่ายไทยินยอมตามข้อตกลงของสู แต่สูจะต้องจัดบิดาของขุนนางจิ๋นมาสามร้อยคน ให้ไปเป็นประกันอยู่ในแคว้นไท จนกว่าฝ่ายจิ่นจะจ่ายทองและม้าให้ได้ทั้งหมด "
เตียวเหลียงก็จัดหาบิดาของขุนนางจิ๋นได้สามร้อยคนมามอบให้กุมภวา โดยเอามาจากเมืองเซ็งตูสองร้อยห้าสิบ เมืองนี้เป็นเมืองหลวงตะวันตกของจิ๋นอยู่เหนือไกวเจาไปสองพันเส้นอีกห้าสิบคนเตียวเหลียงเลือกจากในเมืองไกวเจา ธงผาจึงกล่าวแก่กุมภวาว่า
" ครั้งหนึ่งเมื่อเราขับไล่ลิตงเจียออกจากเมืองลือ เตียวเหลียงรับเด็กไทไว้เป็นประกัน เพื่อมิให้เราผิดข้อตกลง แต่เมื่อเราประสงค์จะให้ฝ่ายจิ๋นรักษาข้อตกลงบ้าง เหตุใดสูจึงเอาคนชราเป็นประกันเล่า "
กุมภวากล่าวว่า " เตียวเหลียงเอาเด็กไทเป็นประกันเพราะเขารู้ว่าคนไทจะไม่ทอดทิ้งลูก แต่ข้าต้องเอาคนชราเป็นประกัน เพราะคนจิ๋นจะไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ "
นายกองทั้งปวงก็เห็นด้วย แล้วกุมภวาให้เดินทัพกลับเตียวเหลียงนั้นให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่ทุกเมืองที่ทัพไทจะผ่านไปมิให้รบกวนทัพไท และเมื่อกุมภวาผ่านเมืองใดก็มอบเชลยคืนให้แก่เมืองนั้นรวมทั้งกุยวังบุตรกุยเยียนเจ้าเมืองกังไส
กุยเยียนมีความยินดีนักที่บุตรของตนกลับมาโดยปลอดภัยจึงไปหากุมภวา และนำจานเงินและถ้วยทองไปให้กุมภวาสิบชิ้น กุมภวามิได้รับไว้ กุยเยียนเข้าใจว่าตนนำสิ่งของมาน้อยจึงกล่าวว่า " ข้าขออภัยที่ข้าเหลือจานและถ้วยเพียงสิบชิ้นเท่าที่นำมานี้ ขุนนางผู้ใหญ่จากจิ๋นมาตรวจราชการที่กังไสครั้งใด ข้าต้องมอบจานเงินและถ้วยทองให้ไปทุกครั้งจนเหลือเพียงเท่านี้ สูอย่าได้รังเกียจสิ่งของเล็กน้อยนี้เลย "
กุมภวา " ข้าจะรังเกียจที่เป็นของเล็กน้อยนั้นมิไดด้แต่เมืองของเรายากจน เราจึงห้ามมิให้หัวหน้าราษฎรใช้สิ่งของฟุ่มเฟือย มีราคาแพง ข้ามิอาจรับของกำนัลราคาสูงของสูได้ "
แล้วกุมภวาขอไข่ไหม พันธุ์หม่อนและพันธุ์ไม้อื่นจากกุยเยียนแทน ของเหล่านี้นกุยเยียนก็หาให้ แล้วกุมภวาเดินทางต่อไป
เมื่อถึงช่องเขาจินไต กุมภวาหันไปมองแผ่นดินจิ๋นเบื้องล่าง และกล่าวแก่สีเภาว่า
" ที่เรารุกไปจนถึงเมืองไกวเจาครั้งนี้ใช่ว่าเราจะรุกรานดินแดนจิ๋นก็หาไม่ แท้จริงเผ่าไทเคยอยู่ในดินแดนเหล่านี้มาก่อน แต่ถูกจิ๋นรุกราน เมื่อไทอ่อนแอ ชาวจิ๋นจะรุกรานด้วยการรบ เมื่อไทยังเข้มแข็งอยู่ชาวจิ๋นจะรุกรานด้วยวิธีสงบต่อไปหากแคว้นไทแตกแยกัน แผ่นดินที่ชาวไทตั้งถิ่นฐานอยู่ขณะนี้ก็จะเป็นของชาวจิ๋นอีก แล้วเราชาวไทจะต้องกระจัดกระจายไปอยู่ที่อื่น "
สีเภาถามว่า " เราเคยเป็นเผ่าที่เข้มแข็งเคยรวมกันเป็นปึกแผ่น เหตุใดจึงพ่ายต่อการรุกรานง่ายนัก "
กุมภวาตอบว่า " สีเภาเอย สูได้เห็นแล้วว่าเหล็กกับทองของจิ๋นไม่อาจจะทำลายไทได้ แต่บางครั้งเราจะวิวาทกันเหมือนคนที่จะอดตายแย่งกันกิน คนไทไม่มองว่าถ้าเขารวมกันแล้วจะดีแก่ทุกๆ คนอย่างไร ต่างคนต่างไม่ยอมขึ้นต่อกัน เราจึงเป็นชาติอ่อนแอตลอดมา เราอย่าเอาความผิดแก่คนอื่นเลย ขอให้โทษตัวเราเองเถิด "
เมื่อฝ่ายไทถอนทัพไปแล้ว เตียวเหลียงก็รีบเดินทางไปโลยาง ระหว่างทางเตียวลก
กล่าวว่า " ฝ่ายไทบุกเข้ามาในแดนจิ๋นและชนะศึกเรื่อยมา แต่ยอมสงบศึกโดยง่าย ชะรอยกุมภวาจะได้ข่าวความยุ่งยากในดินแดนของไท ถึงแม้สูไม่ไห้ทองและม้า เขาก็อาจจะถอนทัพกลับไปเอง สูเสียอุบายกุมภวาแล้วก็เป็นได้ "
เตียวเหลียงตอบว่า " กุมภวาคิดว่าที่ข้าซื้อการถอนทัพนั้นเขาลวงข้าได้ แต่ถึงแม่ทัพไทอยากจะถอนไปอยู่แล้ว ข้าไม่รู้สึกถูกลวง ข้าจึงออกปากจ่ายม้าและทองให้กุมภวาไปโดยดี "
และเมื่อถึงโลยางแล้ว เตียวเหลียงกับเตียวลกก็เข้าเป็นขุนนางตามเดิม และกษัตริย์จิ้นอ๋องก็ส่งสองพี่น้องไปปราบขบถที่ตังเกี๋ย
และเมื่อปราบขบถเสร็จสิ้นไปแล้ว เตียวเหลียงมีหนังสือไปยังกษัตริย์จิ้นอ๋องขอให้ยกเมืองตังเกี๋ยเป็นเมืองเท่าเทียมกับเมืองอื่นๆ ของจิ๋น กษัตริย์จิ้นอ๋องทำตามและตั้งเตียวเหลียงให้เป็นเจ้าเมืองที่นั่น ทั้งเตียวเหลียงและเตียวลกก็พำนักที่ตังเกี๋ยต่อไป และที่ตังเกี๋ยนี้มีสำเภามาจากแคว้นกำพุชและแดนไกลอื่นๆ เตียวเหลียงดูแลให้นายวาณิชต่างแดนเหล่านั้นปลอดภัย บางคนเตียวเหลียงจัดให้เดินทางไปโลยางด้วยเรือที่แล่นไปตามลำคลอง นายวานิชได้เห็นคลองอันยาวเชื่อมแม่น้ำต่างๆ ของจิ๋นก็มีความนับถืออำนาจของชาวจิ๋น

จบภาค ๔
(ทัพไทเข้าแดนจิ๋น)

1 ความคิดเห็น:

  1. หนังสือนี้มีขายที่ไหนครับ หรืออ่านได้จากที่ไหนครับ

    ตอบลบ

ก็ลองติดตามดูนะครับเหตุการณ์ ของเรื่องราว ภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)ตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยปัจจุบันมากที่สุด ย้อนรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต คล้ายกับว่า ยามศึกเรารบ ยามสงบเราทะเลาะกัน อ่านแบบตัวอักษรต่ออักษร แล้วท่านจะได้ข้อคิดอย่างไร ก็พิจารณาเอาเองเถิด อิสระชน แห่งยุคประชาธิปไตย ยุคความคิดที่เป็นประโยชต่อมนุษยชาติที่ไร้ขอบเขต