วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนไท ทิ้ง แผ่นดิน (ภาค ๑ กู้เมือง )

สวัสดีดรับ
เป็นคำทักทายสั้นๆ แต่มีความหมายสำหรับคนไทย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันมีค่าของท่านผู้อ่าน ขอนำท่านสู่เนื้อเรื่องเลยก็แล้วกัน ทำไมผมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า " เสียดาย ถ้าคนไทยไม่ได้อ่าน " เหตุผลเดียวในห้วงเวลานี้คือ เหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ของคนในโลกใบนี้ มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิ่งเด่นกัน แสวงหาอำนาจ ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคนเห็นแก่ตัวเองมากกว่าส่วนรวม ในขณะที่ความแปรปรวนของธรรมชาติ เหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง แล้วเราจะไม่เหลียวมองดูรอบ ๆ ตัวเราบ้างหรือ หมายถึงสังเกตดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวเอง เพื่อที่จะลดความเห็นแก่ตัว อุทิศตนทำประโยชน์ให้ส่วนรวมและเพื่อนมนุษย์ แต่สิ่งที่กระผมกล่าวมาทั้งหมดนั้นมันเป็นภาพรวมอาจถือว่ากว้างเกินไป สำหรับผู้อ่านหรือมนุษย์ไซเบอร์อย่างพวกเรา ลองหันมามองใกล้ตัวกันดีกว่า ตีกรอบแค่ประเทศไทยก็น่าจะช่วยโลกได้บ้าง คือต้องรักบ้านของเราก่อน คำว่า " บ้าน " ไม่ใช่แค่ตัวเราเอง แต่รวมถึง พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติกาทั้งหลาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเล่น ประกอบกันเข้ากลายเป็นชุมชน กลุ่มก้อน ประชากร เผ่าพันธุ์ จนกลายมาเป็นบ้านเมืองของเรา ไม่มีใครไม่รักบ้านตัวเอง เพียงแต่ความอยากและเห็นแก่ตัวมาบังตาชั่วขณะ ตื่นเถิดครับ พวกเราชาวไทยเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เตือนกายและแนวคิดที่จะทำให้คนไทยรักกัน ขอพาท่านเจาะเวลาย้อนอดีตก่อนมีประเทศไทย
เมื่อหลายพันปี ปลายสมัยสงครามสามก๊กของจีนแผ่นดินใหญ่ ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ไทยก็อยู่ในตำนานนี้ด้วย ก่อนเข้าสู่เนื้อหาเพื่อแสดงให้เห็นสำนึกอย่างสูงและปณิธานของบรรพบุรุษ บูรพกษัตริย์ไทย
โดยเริ่มด้วยพระราชปณิธานและพระบรมราชานุสาวรีย์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระเจ้ากรุงธนบุรี บทเพลงพระราชนิพนธ์ เราสู้ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ โคลงสยามมานุสสติ พระราชนิพนธ์ ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ ๖

พระราชปณิธานด้วยน้ำพระทัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสดา สมณะ พุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

จารึกในศาลพระเจ้าตากสินมหาราชวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

สยามานุสติ

รักราชย์จงจิดน้อม ภักดี ท่านนา
รักชาติกอปรกรณีย์ แน่วไว้
รักศาสน์กอปรบุญตรี สุจริด ถ้วนเทอญ
รักศักดิ์จงจิตให้ โลกซร้องสรรเสริญ
ยามยืนเดินนั้่งน้อม กระมล
รำลึกถึงเทศตน อยู่ยั้ง
เป็นรัฐมณฑล ไทยอยู่ สราญแฮ
ควรถนอมแน่นตั้ง อยู่เพี้ยงอวสาน
หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤา
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้น สกุลไทย
ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเลือดเนื้อหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแฮ
เสียชีพไป่เสียสิ้น ชื่อก้อง เกียรติงาม

พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


เราสู้

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ
ปกบ้านป้องเมืองคุุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อทิใช่เบา
หน้าที่เรารักษาสืบไป
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า
จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย
มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
ถึงขู่ฆ่าล้างโคตรก็ไม่หวั่น
จะสู้กันไม่หลบหนีหาย
สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ สู้จนตาย
ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู
บ้านเมืองเรา เราต้องรักษา
อยากทำงายเชิญมาเราสู้
เกียรติศักดิ์ของเรา เราเชิดชู
เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว

พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช



คนไททิ้งแผ่นดิน

จำนวนพิมพ์เผยแพร่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๒

ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ๓,๐๐๐ เล่ม

ตำหนักล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร


คำปรารภ

ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือไทยทิ้งแผ่นดินเมื่อต้นปี ๒๕๓๖แต่จำเดือนไม่ได้ คุณนนท์ ธรรมสถิตย์ นำมาให้อ่าน ข้าพเจ้ามีความดีใจจริงๆ บอกไม่ได้ว่าความดีใจนั้นมีกิริยาอาการอย่างไร บอกได้อย่างเดียวว่าสบายใจโปร่งใจมากทีเดียว เพราะข้าพเจ้าคนหนึ่งมีความสนใจกับความเป็นไทยของชนชาติไทยมานานแล้ว ได้พยายามศึกษาหาความรู้จากหนังสือบ้าง, ประวัติศาสตร์บ้าง จากการคุยกับท่านผูรู้บ้างท่านเหล่านั้นก็ให้ความเห็นที่ถูกต้องไม่ได้ บางท่านบอกว่าพวกเราเป็นเชื้อสายมองโกลบ้าง อยูทางแม่น้ำแยงซีเจียงบ้าง เป็นเชื้อสายแมนจูบ้าง ฟังแล้วมันสับสน เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจมองเห็นภาพญาติพี่น้องและบรรพบุรุษของคนไทยนั้นอยู่ในประเทศจีนแน่นอน แต่คนละแคว้น และเชื่อว่าบรรพบุรุษของไทยเป็นชาตินักรบมาก่อน ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเรื่องสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบที่แต่งไว้ สนใจกับกษัตริย์หม่านหรือหม่านอ๋อง ชื่อ เบ้งเฮ้ง แ้ถึง ๗ ครั้ง ขงเบ้งจับจับได้ทุกครั้งไม่ฆ่า กษัตริย์หม่านจึงยอมแพ้อย่างราบคาบไม่คิดสู้ต่อไป และยอมเป็นข้าเป็นเมืองขึ้นตลอดชีวิต และสร้างศาลเจ้าตั้งรูปขงเบ้งให้ชาวเมืองกราบไหว้ ได้จารึกอักษรไว้ใต้รูปว่า บิดาของชาวเมือง ข้าพเจ้าเชืออย่างแน่ใจว่า เบ้งเฮ็ก นั้นคือบรรพบุรุษของคนไทยอย่างแน่นอน เพราะคนไทยมีนิสัยรู้จักคุณคนไม่เหมือนคนชาติอื่น หลังจากสิ้นบุญพระเจ้าเล่าปี่และขลเบ้งแล้ว จีนรวมอาณาจักรเป็นอาณาจักรเดียว กษัตริย์จีนก็เริ่มขับไล่คนไทยให้ออกนอกอณาจักรของจีน เพราะเขากลัวความเป็นนักรบของคนไทย เขาเรียกคนไทยว่า ฮวนนั้ง แปลว่า คนป่า ข้าพเจ้าต้องการให้คนไทยรู้จักชื่อเดิมของบรรพบุรุษของไทย เรียกว่า ไต๋ ส่วนจีนเรียกว่า จิ๋น เมื่อท่านอ่านหนังสือคนไทยทิ้งแผ่นดินแล้วแล้ว จะมีความรู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเราได้เสียเลือดเสียเนื้อแลกความเป็นไทยนั้นถูกเขาฆ่ากี่ล้านคนแล้ว ก็รักษาความเป็นไทยจนถึงทุกวันนี้พวกเราไม่คิดบ้างหรือที่เรามีแผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ต่อสู้เสียเลือดเนื้อไปมิใช่น้อยกว่าจะตั้งบ้านเมืองอยู่ได้ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงไตร่ตรองให้ดี อย่าได้เชื่อคนคิดร้ายต่อแผ่นดินเลย และจงรักษาความเป็นไทย ด้วยการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์เถิด ชาติไทยจะดำรงอยู่ได้ตลอดไป โดยไม่ต้องเป็นทาสใคร ถ้าหากขาดพระมหากษัตริย์ลงในวันใด วันนั้นชาติไทยต้องสูญสิ้นชาติไทย เหมือนชาติมอญที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ขอให้คนไทยที่เป็นไทยจงจำไว้ว่า ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่กับแผ่นดินไทยต่อไป


พระธรรมศิริชัย

เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม


คนไทยทิ้งแผ่นดิน

จากถิ่นเกิดของเราไกลขึ้นไปทางเหนือ เราอพยพลงมาเพราะเราพ่ายต่อจิ๋น เรามากันแปดหมื่นห้าพันคน เวลานั้นข้าอายุเก้าขวบ ข้าไม่ต้องบอกชื่อว่าข้าชื่อใด เพราะว่าไม่มีส่วนในเรื่องเราที่จดไว้นี้ พ่อข้าชื่อสีเภา เข้าร่วมในการศึก แม่ข้าชื่อสร้อยสน นางเป็นหญิงที่ไม่ยอมแพ้ต่อความลำบากจึงพาข้าเดินทางมาได้ถึงที่นี่เราถอยลงมาโดยไม่รู้ว่าจะไปอยู่แห่งใด มีแต่ดวงดาวเป็นที่หมายระหว่างเดินทาง และเรามาด้วยความลำบากยิ่งนักเหลือมาถึงที่นี่สามหมื่นคน นอกนั้นส่วนหนึ่งสิ้นชีวิตระหว่างทาง ด้วยโรคบ้าง ด้วยภัยต่าง ๆ บ้าง และที่พลัดพรากจากกันไปก็มาก เพราะเราต้องแยกการเดินทางเนื่องจากจำนวนอันมากของเรา และที่แยกไปตั้งหลักแหล่งที่อื่นก็มี ขุนหยวมนำคนไปทิศตะวันออก ลาวอ้ายนั้น ข้าได้ยินว่าไปตั้งเมืองอยู่ริมแม่น้ำโขงตอนล่าง ล่างลงไปจากที่นี่มีดินแดนว่างอยู่อีกมาก แต่ชาวขอมอ้างว่าเป็นดินแดนของเขา เราจึงหยุดอยู่ที่นี่
เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นในดินแดนเดิมของเรา เริ่มตั้งแต่คนไทลุกขึ้นต่อสู้กับทัพจิ๋นที่เข้ามาครอบครองแคว้นไท ขณะนั้นเป็นเวลาที่ยี่สิบปีหลังจากที่กองทัพจิ๋นยึดครองแคว้นไทไว้ เขาเข้าครอบครองด้วยกำลังอันเหนือกว่า และเขาปกครองเหมือนกับว่าเราไม่แตกต่างจากพืชพันธุ์ไม้บนดิน และสัตว์ป่าความหยาบช้ามีถึงเพียงนี้ คนไทจึงลุกขึ้นต่อสู้จนทำให้เกิดศึกอันโหดร้าย ข้าไม่เป็นสุขเลยที่จะเล่าถึงความทุกข์และความตายของชาวจิ๋น และชาวไทอันเนื่องมาจากการศึก แต่ว่าความดีของทั้งฝ่ายไท และฝ่ายจิ๋นไม่อาจจะแยกออกจากความชั่ว และความโหดร้ายของการศึกได้ ข้าต้องจดไว้ตามที่เกิดขึ้น ข้ารู้เรื่องจากพ่อข้าที่เล่าถึงเพื่อนของเขาที่ตายไปในการศึก ข้าได้ฟังจากแม่ข้าถึกการวิวาทกันระหว่างแคว้นไทคนไทอื่อ ๆ เล่าให้ฟังถึงการศึกที่เขาร่วมอยูาด้วย ข้ารู้เรื่องเป็นมากจากคนเดินทางชาวจิ๋น เพราะเราต้อนรับผู้มายังบ้านเราแม้เขาจะเป็นศัตรู จะมีเผ่าใดชอบเดินทางเหมือนคนจิ๋นเห็นจะไม่มีเเล้ว และแท้จริงแล้วขุนทัพของจิ๋นเท่านั้นที่เป็นศัตรูแก่เรา ราษฎรชาวจิ๋นติดต่อกับเราอย่างเพื่อนบ้านที่ดีเสมอ
ในดินแดนใหม่นี้ เราอยู่ไกลจากจิ๋นมากแล้ว ภัยเวลานี้ของเราจึงมิได้อยู่เบื้องหลัง แต่จะอยู่เบื้องหน้าจากขุนทัพของขอม ที่ถือว่าดินแดนอันรกร้างแถบนี้เป็นดินแดนของเขา บางทีเราต้องสู้กับจรเข้เหมือนดังที่เราเคยสู้กับเสือมาแล้ว
ขอให้คนไทยอยู่กันอย่างพี่น้องเถิด อย่าได้จับอาวุธอันหยาบช้าเข้าทำลายกัน และขอให้เมืองอื่นถือว่าคนไท เป็นเพื่อนเถิดเพราะเราต้องการอยู่อย่างสงบกับเพื่อนบ้าน


ภาค ๑
กู้เมือง


๑...

ที่แคว้นลือ เมื่อลกซุนเป็นแม่ทัพยึดแคว้นลืออยู่ ชาวไทในแคว้นนี้แม้ใจจะไม่สุข แต่กายไม่เดือดร้อนนัก เพราะลกซุนสอดส่องมิให้ทหารจิ๋นกดขี่ชาวไท และลกซุนสร้างเรือนใหญ่หลังหนึ่งไว้นอกค่ายจิ๋นเพื่อชำระคดีให้แก่คนไทที่ร้องทุกข์ว่าถูกทหารจิ๋นข่มเหง คนไทเรียกเรือนนี้ว่า "เรือนลกซุน" และลกซุนเห็นว่า ทั้งแคว้นลือ และแคว้นไทอื่น ๆ เป็นแคว้นกันดาร ลกซุนจึงเก็บภาษีเท่าที่คนไทจะทนได้ เหตุนี้ทำให้ขุนนางใน โลยาง เมืองหลวงของจิ๋นเบียดบังส่วยจากแคว้นไทได้น้อย เมื่อส่วยที่ลกซุนส่งมานั้นไม่เพิ่มขึ้นเลย ลิบุ๋น ผู้สำเร็จราชการทหารจึงแจ้งให้ลกซุนเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ลกซุนเขียนหนังสือตอบไปว่า "ส่วยที่ส่งมานั้นเป็นจำนวนที่สูงสุดแล้วที่จะเก็บได้จากคนไท"
ลิบุ๋นแจ้งมาอีกว่า "คนไทเกียจคร้าน จึงเสียภาษีได้น้อยจงเก็บภาษีให้มากขึ้น คนไทจะได้ขยันขึ้นอีก
ลกซุนตอบลิบุ๋นไปว่า "ผู้สำเร็จราชการทหารไม่เคยเห็นแคว้นไทก็อาจเข้าใจว่าแผ่นดินไทอุดมกว่าแผ่นดินจิ๋น แต่แท้จริงนั้นคนไทอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันกับชาวจิ๋น และมีฤดูเดียว เราไม่อาจจะเพิ่มฤดูฝนให้เขาได้เพื่อให้พืชผลมากขึ้น เวลานี้เราเก็บภาษีจากเหงื่อของเขาอยู่แล้ว อย่าได้เก็บภาษีจากน้ำตาจากเขาอีกเลย"
ลิบุ๋น ผู้สำเร็จราชการของจิ๋น โกรธลกซุนยิ่งนักจึงให้ โจสิด ปลัดทัพของลกซุนเขียนคำฟ้องไปยังกษัตริย์ จิ้นอ๋องเป็นความว่า "ลกซุนยักยอกส่วยจากแคว้นไท ส่วยจากทางตะวันตก จึงเก็บได้น้อย
กษัตริย์จิ๋นจึงให้ลิบุ๋นไต่สวน ลิบุ๋นจึงเรียกทหารจิ๋นจากแคว้นลือมาให้ถ้อยคำ แต่เรียกมาเฉพาะทหารที่เคยถูกลกซุนลงโทษเพราะทำผิดต่อคนไท ลกซุนถูกเรียกตัวกลับ และถูกจองจำจนตายในปีนั้นเอง แล้ว ลิบุ๋น จึงส่ง ลิตงเจีย ผู้เป็นน้องชายมาปกครองแคว้นลือ
และตั้งแต่นั้นมาชาวลือได้รับความเดือดร้อนยิ่งนัก ต้องเสียภาษีเป็นสองเท่าของสมัยลกซุน ผู้ใดไม่มีให้ ทหารจิ๋นก็ก็จับไปทำงานในเหมืองบ้าง ถูกนำตัวไปยังแคว้นจิ๋นเพื่อขายเป็นทาสต่อไปบ้าง มิหนำซ้ำ ลิตงเจีย ปล่อยให้ทหารจิ๋นปล้นสดมและทำหยาบช้าต่อชาวไทนานาประการ "เรือนลกซุนนั้น" ลิตงเจียให้ปิดเสีย ไม่ให้คนไทไปร้องทุกข์ที่นั่นต่อไป
ลิตงเจียปกครองแคว้นลือได้ปีเศษ ชาวลือสุดจะทนต่อไป แต่ไม่รู้จะขัดขืนด้วยวิธีใด และลิตงเจียแจ้งแก่ทหารจิ๋นทั้งปวงว่า " คนไทที่ตายแล้วดีกว่าคนไทที่ถืออาวุธ " ทหารจิ๋วจึงตรวจค้นอยู่เสมอ และถ้าพบคนไทมีอาวุธก็ฆ่าเสีย ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองบางคนที่สูญสิ้นทรัพย์สมบัติไป เพราะความโลภของทหารจิ๋น และบางคนที่บุตรสาวหรือภรรยาถูกทหารจิ๋นฉุดคร่าไป จึงเขียนคำร้องทุกข์ไปยังลิตงเจีย แต่มิได้ผล และเมื่อลิตงเจียรับหนังสือร้องบ่อยครั้งเข้าจึงให้ทหารประกาศว่า บัดนี้แม่ทัพจะออกฟังความทุกข์สุขของชาวลือ ผู้ใดเดือนร้อนจงเขียนหนังสือยื่น เมื่อแม่ทัพผ่านไป
ชาวเมืองฟังประกาศดังนั้นก็ดีใจ ต่างทำหนังสือร้องเพื่อให้ลิตงเจียลดภาษีให้เหลือเท่าสมัยลกซุน และให้ทหารชาวจิ๋นมีน้ำใจต่อชาวลือบ้าง อย่าได้ฉุดคร่าผู้หญิงไปตามอำเภอใจเมื่อขบวนของลิตงเจียผ่านไปก็ได้รับหนังสือร้องเป็นจำนวนมาก ลิตงเจียบอกแก่ชาวลือที่ยื่นหนังสือว่า " สูจงตามข้าไปฟังคำตัดสิน" ชาวลือก็เดินตามขบวนนั้นไป ครั้นถึงสะพานข้ามคูหน้าค่าย ลิตงเจียให้เปิดหนังสือขึ้นอ่านสองใบ แล้วหันมากล่าวแก่ชาวลือที่ยืนรออยู่ว่า " หนังสือร้องมีมากนักที่ข้าให้อ่านแล้วสองใบมีข้อที่พวกสูร้องสองข้อ ข้อหนึ่งคือแคว้นจิ๋นเก็บภาษีมากไป ข้อสองคือทหารจิ๋นฉุดคร่าหญิงไท หนังสือร้องที่ข้ายังไม่ได้อ่านยังมีเรื่องใดอีก ข้าจะได้ตัดสินเสียพร้อมกัน "
ชาวลือก็ดีใจ และกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า " สูช่วยพวกข้าตามหนังสือสองใบนั้นก็พอ ลูกหลานของพวกข้าในภายหน้าจะนึกถึงน้ำใจดีของสูตลอดไป
ลิตงเจียก็โยนหนังสือร้องทุกข์ลงน้ำไปสิ้น และหันมากล่าวกับชาวลือว่า " ข้าจะได้ตัดสินใจให้เกี่ยวกับภาษีข้าจะลดไม่ได้ เพราะแผ่นดินลือนี้สูมิได้ยกให้เรา เราซื้อมาด้วยเลือด กว่าจะได้มาก็ยากนักเพราะความเถื่อนของพวกสูที่ขืนรบโดยไม่ประมาณกำลังของตนเอง เราได้เสียเลือดในแผ่นดินลือ ชาวลือจึงต้องแบ่งพืชให้แก่เรา ลกซุนเจ้าเมืองคนก่อนเคยบอกไปยังแผ่นดินจิ๋นว่าพวกสูต้องเสียภาษีจากเหงื่ออยู่แล้ว อย่าต้องให้เสียภาษีจากน้ำตาอีกเลย ลกซุนกล่าวเช่นนี้หารู้ไม่ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เรามาเก็บภาษีจากแผ่นดินของเราเอง เราหาได้เก็บจากเหงื่อของพวกสูดังลกซุนกล่าวไม่ สูยังไม่รู้อีกหรือว่าแผ่นดินนี้เป็นของจิ๋น " แล้วลิตงเจียกล่าวต่อไปว่า " สำหรับการฉุดคร่าหญิงขาวลือนั้นเล่า เมื่อยี่สิบปีก่อนครั้งที่พวกสูขืนต่อสู้กับพวกเรา หญิงชาวจิ๋นต้องรับทุกข์สาหัสนัก บางคนต้องไร้ลูก บางคนต้องไร้ผัว ไร้พ่อ เป็นดังนี้เพราะเหตุใดเล่า เพราะความเถื่อนของพวกสูมิใช่หรือ เมื่อหญิงชาวจิ๋นเดือดร้อนเพราะชายชาวไท ก็ควรที่หญิงชาวไทจะต้องเดือดร้อนเพราะชายชาวจิ๋น นี่เป็นคำตัดสินของข้า ต่อไปนี้เป็นคำสั่งของข้า เมื่อพวกสูมากวนข้า เพราะไม่รู้จักความสมควร ข้าจะต้องเพิ่มภาษีขึ้นอีก ต่อไปนี้ทุกบ้านภายในกำแพงเมืองที่จิ๋นมาสร้างไว้นี้ จะต้องเสียภาษีสำหรับให้ภรรยาข้าซื้อน้ำหอมจากโลยางมาใช้ หากสูกวนใจข้าอีกสูจะรู้ว่ามีภาษีแบบใหม่อยู่เสมอ


๒...

จากนัั้นมาชาวลือก็ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสำหรับนางฮ้วนสีภรรยาของลิตงเจีย และวันหนึ่งนางฮ่วนสีนั่งรถผ่านตัวเมืองชาวลือพากันหันหลังให้ นางฮ่วนสีมีความโกรธ เมื่อกลับถึงค่าย นางตรงไปยังลิตงเจียและกล่าวว่า " ชาวลือโอหังนัก ข้านี้ ชาวลือทั้งปวงก็รู้อยู่ว่าเป็นภรรยาของสู แต่เมื่อข้าผ่านไปที่ใดชาวลือกลับหันหลังให้ หากปล่อยคนเมืองนี้ให้กระด้างต่อไปสูจะปกครองเขาได้หรือ
ลิตงเจียจึงถามนายกองทั้งปวงว่า "เราจะทำประการใด จึงจะปราบความกระด้างของชาวลือได้
" โจสิตกล่าวว่า " ชาวไทยังเถื่อนอยู่ น้ำใจจึงกระด้างหากปล่อยไปเช่นนี้ จะยากแก่การปกครอง ในเมืองของเราผู้น้อยและทาสจะต้องคุกเข่าแก่ผู้ใหญ่ ในเมืองลือนี้สูและฮูหยินเป็นผู้ใหญ่ เมื่อสูหรือฮูหยินผ่านไป ณ ที่ใด พึงให้ชาวลือคุกเข่าเอาศรีษะจดพื้นจนกว่าสูหรือฮูหยินจะผ่านไป ด้วยวิธีนี้ น้ำใจอันกระด้างของชาวลือจะหมดไป การปกครองจะง่ายขึ้น
พวกนายทัพที่อยู่ ณ ที่นั้น ก็กล่าวคล้อยตามคำของโจสิด แต่เตียวเหลียงที่ปรึกษาประจำค่ายนั่งเฉยอยู่ ลิตงเจียจึงถามเตียวเหลียงว่า " สูมีวิธีอื่นดีกว่าของโจสิตหรือ จึงเฉยอยู่เหมือนไม่เห็นด้วย "
เตียวเหลียงตอบว่า " ในการปกครองเมืองไกลนั้น เราควรรักษาน้ำใจชาวเมืองไว้ ถ้าเราปล่อยให้เขาทำตามจารีตของเขาเราจะปกครองได้ดีขึ้น ในจารีตของเราผู้น้อยจะเอาศรีษะโขกพื้นก็แต่ในโอกาสและสถานที่อันสมควร แต่ชาวเมืองลือเขาไม่มีจารีตเช่นนี้ การอ่อนน้อมด้วยท่าทางต่อผู้ที่ใหญ่กว่ายังไม่มี แต่เขาคงมีน้ำใจ สูจะเรียกเรื่องเช่นนี้ว่าเป็นความเถื่อนก็ว่าไปเถิด แต่ที่เราจะบังคับให้ชาวลือคุกเข่าเอาศรีษะโขกพื้นให้แก่แม่ทัพ กับภรรยาในเมื่อพื้นนั้นเป็นพื้นดินข้าเกรงว่าน้ำใจชาวเมืองจะเกลียดการปกครองของจิ๋นยิ่งขึ้น "
โจสิตหัวเราะและกล่าวว่า " เตียวเหลียง สูเป็นที่ปรึกษาทัพ แต่สูมิรู้ว่าการปกครองคนเถื่อนนั้น ควรจะกระทำอย่างไรคนไทนั้นใจกระด้าง และขาดระเบียบในทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำให้เขาหายกระด้างและรู้จักระเบียบ เราบังคับคนไทให้คุกเข่าแก่แม่ทัพของเรา และฮูหยินก็เพื่อประโยชน์ของคนไทเองด้วย สูคงจะรู้ว่าครั้งหนึ่งชาติฮั่นเข้าปกครองจิ๋น ชาติฮั่นบังคับไม่ให้ชายชาวจิ๋นแต่งตัวเหมือนพวกเขา เขาบังคับเราเช่นนั้นเพื่อว่าเมื่อชาวจิ๋นยอมทำตามเขาในเรื่องเล็กแล้ว ในเรื่องใหญ่ชาวจิ๋นจะยอมง่ายขึ้น ชาวจิ๋นมีความฉลาด และรู้ว่าอ่อนให้แก่อำนาจ อำนาจนั้นก็จะอ่อนแก่เรา ชาติจิ๋นจึงรอดตัวมาได้ สำหรับชาวลือหากยังกระด้างต่อไป เราก็ต้องบังคับให้หนักขึ้น หากเพียงให้คุกเข่าเขาไม่อยากกระทำแล้วเราจะปกครองให้คนลืออยู่ในความสงบได้อย่างไร และคนไทจะเจริญตามเราได้อย่างไร"
เตียวเหลียงกล่าวว่า " ข้าเห็นว่าการใช้กำลังบังคับจะ ทำให้เราปกครองแคว้นไทต่างๆ ให้สงบอยู่ได้เพียงชั่วเวลา อำนาจจะบังคับน้ำใจคนได้หรือ หากความเกลียดชังมากขึ้นในน้ำใจชาวเมือง แรงต้านทานต่ออำนาจปกครองก็จะมากขึ้น เราจงเห็นแก่ความสงบเถิด"
ลิตงเจียแม่ทัพผู้มาปกครองแคว้นลือกล่าวว่า " เตียวเหลียง สูกล่าวดังนั้นไม่ถูกต้อง ประการแรก เพราะสูมิได้คำนึงว่าคนไทกระด้างเพียงใด น้ำใจคนไทนั้นคือน้ำใจของคนเถื่อน หากเราผ่อนตามดังที่สูกล่าว ชาวไทกลับจะคิดว่าเราอ่อนแอ และจะคิดแข็งเมือง เราต้องบังคับคนไทไว้เพื่อความสงบที่สูประสงค์นั่นเอง อีกประการหนึ่งสูมิได้คำนึงว่า เราได้แคว้นลือมาด้วยวิธีใด แคว้นนี้มิได้ยอมขึ้นกับเราโดยดีเหมือนแคว้นไทอื่นๆ กว่าเราจะยึดแคว้นนี้ได้ เลือดของชาวจิ๋นต้องอาบแผ่นดินมากนัก ดาบของจิ๋นเท่านั้นที่ทำให้เราได้แคว้นลือไว้ในอำนาจ เราก็จำต้องปกครองด้วยดาบต่อไปใช่ว่าข้าจะพอใจ การคุกเข่าของคนไทสกปรกพวกนี้ก็หาไม่ แต่ถ้าชาวลือยอมอ่อนต่ออำนาจของเรา ชาวลือจะได้รับความปรานีจากเรา หากเข้ายังกระด้าง เขาจะรู้ว่าเรามีอำนาจที่จะบังคับเขาได้ "
เตียวเหลียง ก็ก้มหน้านิ่งอยู่

๓...

ลิตงเจียให้ทหารนำประกาศออกปิด เป็นความว่า " เมื่อแม่ทัพจิ๋นหรือภรรยาผ่านที่ใด ให้ชาวไทคุกเข่าก้มศีรษะลงกับพื้นอยู่ถึงตายจนกว่าขบวนของแม่ทัพหรือของภรรยาจะผ่านไป ผู้ใดขัดขืนจะมีโทษถึงตาย " เมื่อชาวลือได้เห็นคำประกาศเช่นนั้นก็โกรธแค้นยิ่งนัก และเมื่อใดที่ได้ทราบว่าลิตงเจีย หรือนางฮ่วนสีจะผ่านที่ใด ชาวเมืองจะหลบไปเป็นอันมาก ส่วนที่ไม่อาจจะหลบได้ก็จำต้องคุกเข่า ก้มหน้า พร้อมกับความแคว้นในใจ
ต่อมาถึงวันสารทไท บ่ายวันนั้น นางฮ่วนสีผ่านตัวเมืองจะไปยังทะเลสาบ โจสิดนำทหารติดตามไปด้วยสามสิบคน ชาวลือกำลังรื่นเริงกันอยู่ก็จำต้องหยุดการเล่น และหันหน้ามานั่งคุกเข่าให้แก่ขบวนนางฮ่วนสี นางฮ่วนสีเห็นเช่นนั้นก็พอใจ และเมื่อจะพ้นประตูเมืองนางฮ่วนสีกล่าวขึ้นว่า " โจสิด สูรู้จักน้ำใจคนไทยิ่งนัก คนเหล่านี้เราต้องบังคับจึงจะหายกระด้าง "
ขณะนั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งม้าเข้ามาในเมือง ศีรษะโพกผ้าเหลือง เขามองขวามองซ้าย นัยน์ตาเบิกกว้างที่เห็นคนทั้งสองข้างทางนั่งคุกเข่าในขณะที่เขานั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า แต่พอเขาจะผ่านขบวนของชาวจิ๋นไป เขาได้ยินเสียงตวาดมาว่า " คนไทคนนั้นลงจากหลังม้าคุกเข่าให้ฮูหยินของเราเดี๋ยวนี้ "
ชายโพกผ้าเหลืองนั้นตอบมาว่า " ข้ามาที่นีไม่ต้องการวิวาทกับใคร ข้ามาเยี่ยมเพื่อนในเมืองนี้ แต่ที่สูจะให้ข้าคุกเข่านั้น ข้าไม่อยากจะลงจากหลังม้า "
โจสิดร้องบอกแก่คนของตนว่า " คนป่าคนนี้พูดโอหังนักฆ่าเสียให้ได้ "
ทหารจิ๋นสองคนตรงเข้าไปเอาทวนแทงชายนั้น ชายนั้นหลบจากปลายทวนของคนหนึ่ง และก่อนที่จิ๋นอีกคนหนึ่งจะเห็นว่าชายไทคนนั้นทำอย่างไร จิ๋นคนนั้นก็ตกจากหลังม้า และทวนของตนไปอยู่ในมือของไทคนนั้นเสียแล้ว ทหารจิ๋นอีกสี่คนประดาเข้ามาพร้อมกับเงื้อดาบฟัน ชายนั้นเอาทวนฟาดไป ทหารจิ๋นมองเห็นเหมือนชายนั้นมีทวนอยู่ในมือสี่เล่มพร้อมกัน และจิ๋นทั้งสี่คน หน้าอกขาดตกจากหลังม้า ทันใดนั้นทหารจิ๋นบนรถน้าวธนูหมายไปยังชายนั้น ชายนั้นก็พุ่งทวนไปยังหลังม้าที่เทียมรถ ม้าบาดเจ็บก็วิ่งวนไปจนรถคว่ำ นางฮ่วนสีถูกรถนั้นทับ ทหารวิ่งไปเอาตัวออกมาได้
ชายนั้นหยิบดาบของทหารจิ๋นซึ่งนอนตายมาถือไว้ และขณะทีพทหารจิ๋นชุลมุนอยู่ด้วยเหตุนางฮ่วนสีถูกรถทับชายนั้น หันไปกล่าวแก่ชาวเมืองที่กำลังตะลึงอยู่ว่า " ข้ามาผิดเวลาเสียแล้ว เหตุที่เกิดขึ้นนี้ให้เป็นเรื่องของข้าคนเดียว พวกสูบอกทหารจิ๋นได้ว่าข้าชื่อธงผา หัวหน้าชาวเขาธาไนย " แล้วเขาก็ขับม้าออกนอกเมืองไป
โจสิด บัดนี้พ้นจากตกตะลึงแล้ว จึงสั่งเตียกังกับบุ้นตงว่า " สูจงตามไปฆ่าฮวนคนนี้ให้ได้ "
เตียกังกับบุ้นตงนำทหารยี่สิบคนขับม้าติดตามธงผาไป เมื่อมาได้แปดสิบเส้น เห็นธงผาขี่ม้าเหยาะอยู่ข้างหน้า เตียกังแกว่งดาบควบม้าไปโดยเร็วพร้อมกับร้องว่า " ฮวนป่า กลับมาให้ข้าจับโดยดี "
ธงผาชักม้ากลับมา พอเตียกังมาถึง ธงผาเงื้อฟันร่างของเตียกังแยกออกเป็นสองซีกจากศีรษะถึงลำตัวท่อนล่างซึกหนึ่งลงไปดิ้นอยู่ที่พื้นดิน อีกซีกหนึ่งพับอยู่บนหลังม้า และม้าก็วิ่งพาร่างซีกนั้นกลับไปยังหมู่หทารจิ๋น
บุ้นตงและทหารจิ๋นยี่สิบคนเห็นเช่นนั้นก็ตะลึงอยู่กับที่ แล้วธงผาร้องบอกทหารจิ๋นที่ยืนม้าอยู่ว่า " คราวนี้ข้าจะผ่าเสียทั้งม้าทั้งคน จงเข้ามาเถิด "
บุ้นตงกับทหารจิ๋นที่งยี่สิบต่างมีความกลัว และเมื่อเห็นธงผาเหยาะม้าเข้ามา ฝ่ายจิ๋นก็กลับมาม้าหนี พร้อมกับร่างซีกหนึ่งของเตียกัง และเมื่อพบกับโจสิดก็แจ้งว่า " คนไทคนนี้มีกำลังผิดมนุษย์และร่างกายอยู่ยง อาวุธของพวกข้าทำอันตรายเขาไม่ได้เลย เตียกังเสียทีถูกฟันแยกเป็นสองซีก พวกข้านำกลับมาได้ซีกเดียว ดังที่เห็นอยู่นี้ "
โจสิดก็นำความไปแจ้งกับลิตงเจีย ลิตงเจียโกรธยิ่งนักร้องตวาดบุ้นตงว่า " เมื่อสูกลัวคนไท สูไม่ต้องเป็นคนจิ๋นต่อไป "
แล้วลิตงเจียให้นำบุ้นตงไปตัดศีรษะเสีย มิใยที่บุ้นเหม็งน้องชายของบุ้นตงจะอ้อนวอนขอชีวิตพี่ชายไว้ และลิตงเจียประกาศแก่นายกองทั้งปวงว่า " เราจะฆ่าชาวเขาธาไนยให้สิ้น ผู้ใดจะอาสาบ้าง "
ทหารทั้งปวงกลังธงผาอยู่ ในที่สุดหันตงลุกขึ้นกล่าวว่า " ข้าเป็นเพื่อนรักของเตียกับ ข้าขออาสาออกไปล่าสัตว์ป่าที่เขาธาไนยหล่านี้ให้สิ้นไป "
ลิตงเจียมอบทหารสองพันให้หันตง หันตงก็นำทหารมุ่งไปยังเขาธาไนย

๔...

เมื่อธงผามาถึงเขาธาไนยแล้ว เขาเรียกประชุมชาวเขาทั้งปวงให้เตรียมสู้ทหารจิ๋น เขาธาไนยนี้ด้านเหนือเป็นหน้าผาสูงมีความกว้างสิบเส้น ครั้นทัพจิ๋นยกมารุกรานแคว้นไทเมื่อยี่สิบปีก่อน ชาวเขาธาไนยเห็นหน้าผาเป็นที่หลบข้าศึกได้ จึงช่วยกันสกัดทำเป็นทางเดินแคบๆ ขึ้นไปและสกัดหน้าผาเป็นถ้ำเล็กๆ ไว้เป็นอันมาก และครั้นนั้นสันตองบิดาของธงผานำชาวธาไนยไปช่วยป้องกันแผ่นดินไท ทัพไทพินาศที่ทุ่งลาดขวัญ สันตองตายในที่รบ และเมื่อทัพจิ๋นผ่านมาทางเขาธาไนย ชาวเขาก็พาครอบครัวหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำเหล่านี้จนหมดสิ้น ทหารจิ๋นเข้ามจว่าชาวเขาธาไนยหลบหนีจากแคว้นไทไปสิ้นแล้ว จึงยกทัพกลับ
เมื่อธงผาจัดส่งเด็กและผู้หญิงขึ้นไปอยู่ในถ้ำบนหน้าผาแล้ว ก็ชุมนุมชายฉกรรจ์อยู่ที่ลานหน้าผา ขณะนั้นมีคนขับม้ามาแต่ไกล ธงผาจึงนำชายฉกรรจ์ทั้งปวงเข้าไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้าง
ในไม่ช้าผู้ที่ควบม้ามานั้นก็มาถึงลานหน้าผา ธงผาจำได้ว่าเป็นลำพูนสหายผู้ซึ่งเขาจะไปเยี่ยม แต่ได้เกิดเหตุกับทหารจิ๋นเสียก่อน ลำพูนนี้บิดาก็ตายในการรบกับทัพจิ๋นในครั้งสุดท้ายที่ทุ่งลาดขวัญเช่นเดียวกับบิดาของธงผา
ธงผาออกมาที่ลำพูนและเอ่ยว่า " สหายจะมาช่วยข้าต่อต้านทหารจิ๋นหรือ "
ลำพูนตอบว่า " ข้าไม่อยากเห็นสูสู้กับทหารจิ๋นเวลานี้ จึงมาที่นี่ ข้าได้เห็นหันตงนำทหารสองพันมุ่งมาทางนี้ หากสูจะสู้กับทหารสองพันนี้ก็พอจะสู้ได้ และชาวไทอีกมากก็จะช่วย แต่เวลานี้สูรู้อยู่แล้วว่าทหารจิ๋นเข้าไปอยู่ในใจกลางเมืองลือหากเราจำทำการรุนแรงประการใด ชาวเมืองจะถูกฆ่าฟันตายสิ้น หากสูทำลายกองทหารของตันหงได้ ลิตงเจียก็จะบอกไปยังเมืองหลวงของจิ๋นว่าไทขบถ ทหารจิ๋นจะเพิ่มเข้ามาแดนไท และทหารจิ๋นจะทารุณแก่ชาวไทยิ่งขึ้น สูจงนำชาวธาไนย หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำชั่วคราวเถิด เมื่อหันตงกลับแล้ว จึงออกมาอยู่อย่างเดิม แม้ชีวิตเรายังไม่สิ้น เราคงจะขับไล่ชาวจิ๋นออกไปได้ "
หันตงเมื่อมาถึงเขาธาไนยไม่เห็นผู้คนเลย และบ้านเรือนก็ถูกเผาทั้งสิ้น หันตงจึงให้ทหารตั้งค่ายอยู่ทางด้านเหนือของหน้าผา ครั้นตกกลางคืนมีเสียงโหยหวนมาจากบนหน้าผา ทหารจิ๋นพากันตกใจไม่เป็นอันหลับอันนอน เป็นอยู่เช่นนี้สามคืน วันรุ่งขึ้น ทหารจิ๋นจับชายชราคนไทมาได้คนหนึ่งและนำมายังหันตง หันตงถามว่า " สูเป็นชาวเขาธาไนยใช่หรือไม่ "
ชายชราผู้นั้นตอบว่า " ข้าเป็นชาวธาไนยชื่อสง ทุกคนเรียกข้าว่า เฒ่าสง เพราะข้าเป็นคนชราที่สุดในเขตนี้ "
หันตงกล่าวว่า " สูจงบอกมาว่าธงผานำชาวเขาธาไนยไปหลบอยู่ที่ใด "
เฒ่าสงตอบ " ชาวเขาธาไนยล้มตายไปเพราะโรคห่ากว่าครึ่งหมู่บ้าน ที่เหลือก็เผาบ้านเรือน อพยพไปอยู่ที่อื่่นหมดสิ้น ธงผานั้นจะหนีไปอยู่แห่งใดข้าไม่รู้ "
หันตงกล่าวว่า " คนแก่คนนี้โกหก เมื่อสูถูกจับในแถบนี้ ชาวเขาธาไนยก็คงจะหลบซ่อนอยู่แถบนี้ด้วย สูว่าโรคห่าทำลายพวกสูเสียกว่าครึ่ง เหตุใดสูเองจึงไม่หนีไปด้วยเล่า ถ้าไม่พูดความจริงสูจะไม่พบวันพรุ่งนี้ "
แล้วหันตงให้ทหารนำกระทะใหญ่ใส่น้ำมาตั้งไฟ และหันตงหันมากล่าวแก่เฒ่าสงว่า " หากไม่บอกว่าธงผานำชาวเขาไปซ่อนที่ใด สูจะถูกโยนลงในกระทะนี้ "
เฒ่าสงกล่าวว่า " ข้าบอกแก่สูได้เพียงเท่านี้ "
ทหารจิ๋นก็จับเฒ่าสงมัด และแช่ลงในกระทะใบใหญ่นั้น น้ำค่อยๆ ร้อนขึ้นจนเดือด แต่ทหารจิ๋นไม่ได้ยินอะไรจากเฒ่าสงเพิ่มเติม ทหารจิ๋นเอาศพเฒ่าสงไปฝังไว้นอกค่าย และหันตงให้ทหารออกตระเวณอยู่อีกสามวัน ก็ไม่พบร่องรอยว่าชาวเขาธาไนยซ่อนอยู่ที่ใด หันตงจึงนำทัพกลับและแจ้งแก่ลิตงเจียว่า " ชาวเขาธาไนยหลบหนีไปหมดสิ้นแล้ว คงจะหลบไปอยู่ทางใต้เหมือนชาวไทอื่นๆ เพราะข้าลาดตระเวณอยู่หลายวัน มิได้พบผู้ใดเลย "
ลิตงเจียจึงกล่าวว่า " เมื่อข้าไม่ได้ตัวธงผามาลงโทษ ข้าจะลงโทษคนไทคนอื่นๆ ไปก่อน " แล้วลิตงเจียให้ปิดประกาศทั่วไปว่าใครเอาธงผาหรือศีรษะของธงผาามาได้จะได้รางวัลทองร้อยตำลึง ใครแจ้งที่ซ่อนของธงผาให้ได้จะได้รางวัลทองร้อยตำลึงเช่นกัน และตั้งแต่นั้นมาลิตงเจียก็ปล่อยให้ทหารจิ๋นทารุณกับชาวลือยิ่งขึ้น

๕...

อาทิตย์ที่ ๒ นางฮ่วนสีภรรยาลิตงเจียตั้งแต่ถูกรถทับแล้ว หมอไม่อาจรักษาให้หายได้ ต่อมาก็สิ้นชีวิต เมื่อจัดการศพตามธรรมเนียมแล้ว ลิตงเจียให้นำทาสไทสิบสองคนจากเมืองเงิน มาฝังทั้งเป็นเพื่อเซ่นศพนางฮ่วนสี
อยู่มาลิตงเจียออกล่าสัตว์ แต่ล่าไม่ได้เลย ลิตงเจียจึงเรียกชาวป่ามาถามว่าเหตุใดสัตว์ป่าจึงหายไป ชาวป่าบอกว่า " เดิมป่านี้มีสัตว์อยู่มาก แต่ต่อมาชาวนาชาวไร่ถูกเก็บภาษีพืชผลจนแทบจะเหลือไม่พอเลี้ยงครองครัว ต่างก็ออกมาดักสัตว์ป่าเป็นอาหาร สัตว์ป่าจึงหมดไป "
ลิตงเจียได้ฟังก็หัวเราะและกล่าวว่า " ในแคว้นไทต้นไม้หรือสัตว์ห่า หรือคนเป็นของเกิดจากแผ่นดินทั้งสิ้น ไม่มีอะไรต่างกัน เมื่อสัตว์พื้นเมืองน้อยลงข้าจะล่าคนพื้นเมืองแทนเพื่อแก้รำคาญ "
อนิจจา ไฉนจิตใจลิตงเจียจึงหฤโหดถึงปานนี้
เมื่อลิตงเจียกลับยังค่ายแล้ว ลิตงเจียให้ทหารสร้างปะรำขึ้นหน้าสนามภายในค่าย แล้วให้นำคนไทร้อยคนที่เป็นทาสทำงานอยู่ในเหมืองมาปล่อยไว้ในสนาม
ลิตงเจียให้ทหารเปิดประตูค่ายปล่อยให้กุฉินออกไป แล้วอีกครู่หนึ่งต่อมา ลิตงเจียเรียกหันตงเข้าและกล่าว่า " คนไทเช่นกุฉินนี้ เราจะปล่อยไว้ไม่ได้ ข้ารับรองชีวิตเขาเพียงภายในค่ายนี้ เมื่อออกไปนอกค่ายแล้ว เขาต้องรักษาตัวเอง จงตามไปกำจัดเสีย "
หันตงจึงนำทหารห้าสิบคนออกตามหากุฉิน
ฝ่ายกุฉินเมื่อออกมานอกค่ายแล้ว มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา และชายนั้นกล่าววา " ข้าชื่อลำพูน ได้ข่าวว่าลิตงเจียนำคนไทร้อยคนมายิงเล่นในค่ายนี้ สูออกจากค่ายมาคงจะรู้ว่าเรื่องเหลือเชื่อนี้เป็นความจริงไม่ " กุฉินก็เล่าเหตุการณ์ให้ลำพูนฟัง
ลำพูนจึงกล่าวว่า " สูรีบไปกับข้าเถิด ทหารจิ๋นคงไม่ปล่อยสูไปโดยดีเป็นแน่ " แล้วลำพูนพากุฉินไปยังบ้านและให้นางบัวคำ น้องสาวจัดอาหารและเสื้อผ้ามาให้กุฉิน
คืนนั้น หันตงรู้ข่าวว่ากุฉินไปพักอยู่ที่บ้านของลำพูน หันตงก็นำทหารไปล้อมบ้านของลำพูนไว้ และจุดคบไฟสว่างรอบบ้านมิให้กุฉินหลบหนีได้
ลำพูนเห็นดังนั้น จึงร้องถามไปว่า " เหตุใดทหารจิ๋นมาล้อมบ้านเรา "
หันตงตอบว่า " สูคิดการร้ายต่อทหารจิ๋นื จึงรับเอากุฉินไว้ในบ้าน จงส่งตัวกุฉินมาให้ข้า "
กุฉินจึงกล่าวแก่ลำพูนว่า " ข้านำภัยมาให้แก่สู และน้องสาวของสูแล้ว ไม่บังควรเลย ข้าจะออกไปให้ทหารจิ๋นจับโดยดี " แล้วกุฉินก็จะเปิดประตูออกไปข้างนอก
นางบัวคำ ห้ามกุฉินไว้ และหันไปกล่าวแก่ลำพูนพี่ชายว่า " สูคงจะห่วงข้าจึงมิได้ทันทานกุฉินไว้ อย่าได้ห่วงข้าเลยพากันหลบหนีไปเถิด สูรับกุฉินมาในบ้านแล้วก็ต้องคุ้มภัยให้เขา ข้าเป็นหญิง ทหารจิ๋นคงไม่ทำอันตรายข้า สูจงช่วยกุฉินฝ่าทหารจิ๋นออกไปเถิด "
แล้วนางบัวคำหยิบดาบยื่นให้ลำพูนและกุฉิน และเปิดประตูให้ ทหารจิ๋นเห็นลำพูนกับกุฉินเดินออกมาก็กรูกันเข้าไปล้อมไว้ ทหารจิ๋นถูกดาบตายหลายคน เมื่อสองคนเข้าไปใกล้หันตง หันตงเงื้อดาบฟันลำพูน ลำพูนเอาดาบรับไว้และฟันหันตงตาย แล้วสองคนก็ฝ่าทหารจิ๋นออกมาได้
ขณะนั้นมืดมาก ทหารจิ๋นติดตามไม่ทันจึงพากันกลับยังค่ายพร้อมกับศพหันตง และจับนางบัวคำมาให้ลิตงเจียด้วย
ลิตงเจียเห็นนางบัวคำเป็นหญิงงาม ก็ใคร่จะได้ไว้จึงสั่งให้ทหารนำไปคุมไว้ยังเรือนตน แล้วให้จัดอาหารเลี้ยงดูกัน ครั้นตกดึกลิตงเจียเมาสุรา ก็เข้าไปปลุกปล้ำนางบัวคำ นางหนีจากห้องออกมาได้ และเมื่อเห็นทางหน้าเรือนมีทหารจิ่๋นเฝ้าอยู่ นางจึงหนีเข้าไปในห้องครัว ซึ่งมีเตาไฟใหญ่ตั้งอยู่ ลิตงเจียตามเข้าไป นางบัวคำหมดทางที่จะหนีต่อไป จึงโจนลงไปในเตาให้ไฟครอก ลิตงเจียเรียกให้ทหารเข้ามาช่วย แต่นางบัวคำตายเสียแล้ว ลิตงเจียจึงให้ทหารนำศพไปฝังไว้นอกเมือง และออกประกาศทั่วไปว่า ลำพูน กุฉิน กับนางบัวคำ คิดร้ายต่อทหารจิ๋น นางบัวคำจึงถูกจับมา และถูกลงโทษถึงตาย ส่วนลำพูนกับกุฉินนั้นหนีไปได้ อย่าให้คนใดให้ข้าวให้น้ำแก่คนทั้งสองนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษถึงตาย หากใครแจ้งที่อยู่สองคนนี้แก่ทหารจิ๋นหรือนำศีรษะสองคนนี้มาได้ จะให้ทองเป็นรางวัลร้อยตำลึงสำหรับแต่ละคนร้าย และลิตงเจียให้ทหารแยกย้ายกันค้นหาลำพูนกับกุฉินต่อไป

๖...

กุฉินจึงรั้งมือลำพูนไว้ และกล่าวว่า " ความตายเช่นนี้จะเกิดประโยชน์แก่ผู้ใดหรือ แม้ชีวิตจะลำบากแต่ถ้าคนไทท้อใจเสียเช่นนี้ เมื่อใดเล่าไทจะพ้นจากอำนาจของจิ๋นได้ ข้าเองยังมองไม่เห็นทางที่จะขับทหารจิ๋นออกไป แต่ข้าจะขออยู่ต่อไปจนกว่าจะแก้แค้นลิตงเจียได้ "
ลำพูนกล่าวว่า " ในแผ่นดินลือนี้ เวลานี้หากผู้ใดให้ข้าวให้น้ำแก่เรา ผู้นั้นอาจจะตายเพราะดาบชาวจิ๋น และยิ่งกว่านั้นคนไทที่ใจโลภบางคน เมื่อเห็นเราก็อาจจะเอาศีรษะเราไปแลกทองจากลิตงเจีย และเวลานี้ทหารจิ๋นออกตามหาเราทุกแห่งเราจะอยู่ไปได้อย่างไร "
กุฉินตอบว่า " ชาวไทในแดนอื่น อาจจะให้ที่อาศัยเราได้ทั้งแคว้นเชียงแส แคว้นเม็ง แคว้นไต๋ ล้วนแต่ต้องส่งส่วยให้แก่จิ๋นทั้งสิ้น ชาวเมืองในแคว้นเหล่านี้จะแค้นอำนาจของจิ๋นอยู่ เราควรจะหลบไปอยู่ในแคว้นใดแคว้นหนึ่งที่กล่าวนี้ "
ลำพูนเห็นด้วยและกล่าวว่า " แคว้นเม็งนั้นขุนจาดเจ้าเมืองเกรงกลัวอำนาจจิ๋น และหันยไปกดขี่ราษฎรซึ่งเป็นไทด้วยกันในเมืองเช่นนี้ถ้าเราไปอยู่เราจะไม่ปลอดภัย แคว้นไต๋นั้นเล่าถึงแม้เจ้าเมืองจะเป็นคนดี แต่ก็ไกลจากเมืองลือ ส่วนเมืองเชียงแสนั้น ข้าได้ข่าวว่าเลือกเจ้าเมืองใหม่ บุญปันได้เป็นเจ้าเมือง บุญปันนี้รู้จักข้า เราลองไปอาศัยเขาก่อน "
แล้วทั้งสองคนขึ้นม้ามุ่งไปทางเชียงแส ครั้นใกล้แม่โขงซึ่งกั้นระหว่างเชียงแสกับลือ มีทหารจิ๋นห้าสิบคนควบม้าตามทั้งสองคนขับม้าหนีตรงไปยังฝั่งแม่โขง และพาม้าว่ายน้ำข้ามไปทหารจิ๋นเห็นว่าตามคนทั้งสองไม่ทันแล้วก็กลับไป

๗...

ลำพุนกับกุฉินเมื่อไปถึงภูแหวนข้างเมืองเชียงแส และได้เห็นถ้ำๆหนึ่งมิดชิดดี เหมาะจะใช้ซ่อนตัว ลำพูนจึงกล่าวแก่กุฉินว่า " เราทั้งสองจะไปขอพักกับบุญปั้นนั้นยังไม่ควร เพราะจะเป็นภัยแก่บุญปันได้ แต่ถ้าเราไม่บอกให้เจ้าของบ้านรู้ว่า เราหลบอาศัยในเขตบ้านเขา ก็ไม่บังควร สูจงไปบอกแก่บุญปันว่าจะยอมให้เราทั้งสองอยู่ในแผ่นดินเชียงแสหรือไม่ข้าจะฟังข่าวอยู่ที่นี่ "
กุฉินเข้าไปหาบุญปันในเมือง บุญปันนี้บิดาเป็นคนมีทรัพย์ เมื่อบิดามารดาตายไปแล้ว บุญปันพอใจเอาทรัพย์ออกช่วยเหลือคนจน เมื่อถูกญาติตำหนิ บุญปันมักจะกล่าวว่า เมื่อตนมีหนทางทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้เป็นการดีแล้ว เมื่อเจ้าเมืองเชียงแสคนเดิมตายลง บุญปันถูกเลือกเป็นเจ้าเมืองแทน บุญปันได้ฟังอยู่เนืองๆ ถึงข่าวความเดือดร้อนของชาวลืออันเกิดจากลิตงเจีย เขาเห็นใจชาวลือยิ่งนัก แต่มิรู้จะทำประการใด แคว้นเชียงแสเป็นแคว้นเล็กไม่มีกำลังพอจะช่วยแคว้นลือได้ บัดนี้เขาได้ทราบความโหดร้ายของลิตงเจียมากขึ้นอีกจากคำของกุฉิน แต่เขาก็ได้แต่นิ่งฟัง
ในที่สุดบุญปันกล่าวแก่กุฉินว่า " สูกับลำพูนจงหลบตัวอยู่ในถ้ำนั้นก่อน ข้าเพิ่งได้รับเลือกเป็นเจ้าเมืองเพียงสองเดือน ยังไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นศัตรูต่อข้า และเอาใจไปช่วยฝ่ายจิ๋นบ้าง อนึ่งเล่าคนของลิตงเจียก็มาสอดแนมอยู่ในเมืองเชียงแสนี้ ต่อเมื่อถึงเวลาอันควรเราจึงค่อยคิดแก้ไขต่อไป ข้าเองคิดอยู่เสมอที่จะสลัดอำนาจของจิ๋น ส่วยที่เชียงแสให้แก่จิ๋นนั้น รุนแรงเสมือนชาวเชียงแสเกิดมาเพื่อเป็นทาสทำงานให้แก่ขุนนางจิ๋น แต่แคว้นไทต่างๆ ก็ไม่พร้อมที่จะรวมกันขับไล่อำนาจของจิ๋นไปจากแผ่นดินไท สูกับลำพูนมาในแคว้นเราก็ดีแล้ว จะได้ช่วยกันคิดกำจัดอำนาจของจิ๋นต่อไป ข้าจะให้คนนำอาหารและสิ่งของจำเป็นไปให้ที่ถ้ำภูแหวนนั้น "
กุฉินกล่าวขอบคุณบุญปันแล้วกลับไปแจ้งแก่ลำพูน บุญปันให้บ่าวนำอาหารไปวางไว้ปากถ้ำภูแหวนเป็นนิจ ลำพูนก็ออกมาหยิบอาหารนั้นเข้าไปในถ้ำ เป็นดังนี้อยู่หลายวัน และบุญปันกำชับบ่าวมิให้แพร่งพรายการนี้แก่ใคร นางบุญฉวีน้องสาวของบุญปันซึ่งชอบออกล่าสัตว์เห็นบ่าวของพี่ชายนำห่ออาหารไปที่ถ้ำภูแหวนหรือ จึงให้บ่าวนำอาหารไปยังถ้ำนั้นบ่อยๆ แต่อาหารนั้นข้าสังเกตว่า ผิดธรรมดาที่จะใช้เซ่นเทพยดาหรือจ้าวองค์ใด " บุญปันไม่อาจจะปิดบังน้องสาวได้แล้ว จึงเล่าเรื่องให้ฟัง นางบุญฉวีจึงกล่าวว่า " พี่ข้าทำถูก แต่ว่าทำพอแล้วหรือ แม้แต่คนร้ายที่ทำร้ายผู้อื่น เมื่อถูกจับมาขังยังได้อาหารและสิ่งจำเป็น แต่ลำพูนและกุฉินสองคนนี้ถูกคนจิ๋นทำร้ายจึงต้องหนีมา เขาควรได้รับความช่วยเหลือเกินกว่าสิ่งจำเป็นทางร่างกาย " บุญปันถามว่า " ข้าควรจะช่วยเหลือเขาอย่างไรอีก ถ้านำเขามาอยู่ในบ้าน อันตรายจะเกิดแก่เขาได้ และจะเกิดแก่เมืองเชียงแสด้วย " นางบุญฉวี " เมื่อยังรับเขามาอยู่ในเมืองไม่ได้ก็จงให้เขาคลายความทุกข์บ้าง เพราะเขามิใช่คนชั่ว แต่เขาต้องลำบาก เพราะสู้กับอำนาจชั่วของทัพจิ๋น สูจงหาบ่าวไปปรุงอาหารให้เขาในถ้ำจะได้เป็นเพื่อนแก้เหงาให้เขาได้บ้าง " บุญปันจึงกล่าวว่า " ข้าเห็นด้วยกับสู แต่การจะหาบ่าวไปเป็นเพื่อนชาวลือที่ตกยากทั้งสองนั้น สูจงทำแทนข้าเถิด " นางบุญฉวี จึงส่งนางคำดวงกับนางสร้อยทองไปยังถ้ำนั้น เมื่อนางทั้งสองเข้าไปเห็นลำพูนก็กล่าวว่า " บุญปันนายข้า ให้ข้ามาเป็นเพื่อนสู เพราะเห็นว่าสูจะออกไปที่ใดก็มิได้ "
ลำพูนตอบนางทั้งสองไปว่า " ข้าขอบใจนายของสูที่เห็นใจว่า ข้าต้องมาอยู่ในที่จำกัดเช่นนี้ แต่ข้ากับกุฉินหลบมาอยู่ในเชียงแสนี้ ใช่ว่าจะทุกข์ยากยิ่งกว่าพี่น้องไทที่เมืองลือก็หาไม่ อนึ่งน้องสาวข้าเพิ่งตายไป ข้าจึงไม่อยากจะรับสิ่งใดเกินกว่าที่จำเป็น สูจงกลับไปเถิดพร้อมกับคำขอบใจของเราทั้งสอง " นางทั้งสองกลับมาแจ้งแก่นางบุญฉวี นางบุญฉวีกล่าวว่า " ชายที่มีน้ำใจอย่างลำพูนนี้ข้าจะไปรู้จักไว้ " แล้วนางบุญฉวีก็ขับม้าไปทางภูแหวน เมื่อถึงแล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำนั้นภายในถ้ำมีแสงตะวันลอดมาจากปล่องข้างบน ลำพูนเห็นนางบุญฉวีถือคันธนูอยู่ในมือ และบนบ่าสะพายกล่องธนูเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้นว่า " ที่ข้าเห็นเบื้องหน้าเป็นนางไม้หรือ ท่วงทีจึงงามนัก " นางบุญฉวีพอใจในที่คำพูดของลำพูน และกล่าวตอบว่า " ข้าจะเป็นนางไม้หรือนางไพรก็หาไม่ ข้าเป็นน้องของบุญปัน สูทั้งสองคนต้องมาลำบากอยู่ในถ้ำนี้ เพราะความโหดร้ายของทหารจิ๋น ข้าจึงเข้ามาเยี่ยม " ลำพูนเมื่อรูว่านางบุญฉวีเป็นน้องบุญปันก็มีความยินดี แล้วต่างก็สนทนากัน ครั้นได้เวลาพอสมควร นางบุญฉวีจึงลากลับ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อนางบุญฉวีล่าเนื้อมาได้ก็นำมาให้ลำพูนกับกุฉินเป็นนิจ

๘...

ฝ่ายทหารจิ๋นที่ขับม้าตามลำพูนกับกุฉินมา และเห็นสองคนนี้ข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งเชียงแส จึงนำความไปแจ้งแก่ลิตงเจีย ลิตงเจียได้ทราบก็หัวเราะด้วยความพอใจ และกล่าวว่า " ก่อนที่ข้าจะมาปกครองแคว้นลือ พี่ชายข้าได้บอกไว้ว่าคำมั่นที่จูโกเหลียงให้กับแคว้นเชียงแสนั้นให้ข้าทำลายเสีย เพราะทองสามพันชั่งที่ได้จากเชียงแส เพียงแต่จะเอาไปเป็นค่าอาหารของขันทีในวังกษัตริย์จิ๋นอ๋องก็ไม่พอเสียแล้ว และแคว้นเชียงแสนี้มีแบบการปกครองที่ทำให้ราษฎรกำเริบได้ ที่จูโกเหลียงนำทหารเข้ายึดเพียงแคว้นลือไม่ยึดแคว้นอื่นด้วย เพราะกำลังทหารจิ๋นขณะนั้นอ่อนไปมาก จูโกเหลียงจึงทำสัญญากับเชียงแส เพียงให้เชียงแสส่งส่วย บัดนี้เป็นโอกาสของเราแล้วที่จะกล่าวหาว่า เชียงแสเป็นใจกับศัตรูของจิ๋น และรับคุ้มครองชาวลือที่เป็นขบถต่อจิ๋น เราจะได้เหยีบบเชียงแสในคราวนี้ "
ลิตงเจียก็หันไปกล่าวแก่ลิวฉุย นายกองผู้หนึ่งว่า " ลิวฉุย สูมีท่าทางองอาจพอจะข่มขวัญชาวเมืองเชียงแสได้จงไปยังเชียงแสบอกแก่บุญปันผู้เป็นนายของชาวเชียงแสว่า ลำพูน กุฉิน กับธงผาขบถต่อแผ่นดินจิ๋น และฆ่าทหารจิ๋นตาย บัดนี้ทหารของเราได้เห็นสามคนนี้มาอยู่กับเจ้าเมืองเชียงแส ให้เจ้าเมืองจับตัวส่งมาให้เราภายในหนึ่งเดือน หาไม่แล้วเราจะถือว่าเชียงแสขบถต่อจิ๋น แล้วเราจะนำกองทัพไปยึดเชียงแสเหมือนที่ยึดแคว้นลืออยู่เวลานี้ และจงบอกว่าที่ข้าให้รู้ล่วงหน้าไม่ยกกองทัพเข้าไปทันที เพราะยังเห็นแก่ไมตรีระหว่างกันอยู่ " ลิวฉุยเดินทางไปยังเชียงแส และเมื่อถึงก็เข้าไปข้างในจวน คนยามนำลิวฉุยเข้าไปหาบุญปัน ลิวฉุยเห็นกรมการเชียงแสนั่งอยู่ในที่เสมอกัน ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าเมือง จึงถามขึ้นว่า " ข้านำความเมืองมาจากลิตงเจียนายข้า ผู้ใดเป็นนายของเชียงแสที่จะพูดกับข้าได้ "
ลิวฉุยแต่งเครื่องทหารจิ๋นครบถ้วน กรมการเมืองเชียงแสรวมทั้งบุญปันได้เห็น และได้ฟังคำพูดของลิวฉุย ทุกคนก็รำคราญใจ บุญปันตอบไปว่า " พวกเราในห้องนี้เป็นบ่าวทั้งสิ้น นายของเราคือชาวเชียงแสทั้งปวง สูมีความประการใดแก่ชาวเชียงแส จงกล่าวมาเถิด " ฉิวลุยหัวเราะและกล่าวว่า " ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นในไม่ช้าชาวจิ๋นจะส่งนายมาให้ ลิตงเจียให้ข้ามาแจ้งว่าสูรับ ธงผา ลำพูน กับกุฉิน คนขบถต่อจิ๋นไว้ สูจะคิดร้ายต่อแผ่นดินจิ๋นหรือ ลิตงเจี๋ยยังมีไมตรีต่อเชียงแสอยู่ จึงให้เวลาสูหนึ่งเดือนเพื่อจับสามคนนี้ส่งให้เรา หากสูเพิกเฉยทหารจิ๋นจะมาเจรจา แต่มิใช่ด้วยคำพูด เราจะมาด้วยกำลัง " กล่าวแล้วลิวฉุยโยนลูกตุ้มหนามลงเบื้องหน้าบุญปัน และกล่าวว่า " อีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับมาเอาอาวุธนี้คืน " แล้วลิวฉุยก็ขี่ม้ากลับยังแคว้นลือ พร้อมกับทหารของตน
กรมการเมืองเชียงแสได้ฟังคำพูดของลิวฉุยก็โกรธแค้นจนเสนกรมการเมือง ซึ่งอายุน้อยที่สุด และร่างเล็กที่สุดในที่นั้นชักดาบออกฟันลูกตุ้มนั้น และกล่าวว่า " อาวุธของจิ๋นนั้นข้าไม่กลัว แต่เผ่าไทนี้เทพยดาลงโทษหรือจึงถูกข่มเหงเรื่อยมา " พนักงานทั้งปวงต่างก็นิ่งอยู่ บุญปันจึงกล่าวว่า " สำหรับลำพูนกบับกุฉินนั้น เวลานี้หนีความโหดร้ายของจิ๋นมาหลบอยู่ในถ้ำภูแหวน ผู้ใดจะจับส่งให้ลิตงเจียก็จงจัดการเองเถิด ข้าเองทำไม่ได้ เพราะมิได้กระทำผิดแก่ทหารจิ๋น ส่วนธงผานั้น ข้ารู้อยู่ว่ายังอยู่ที่เขาธาไนย ลิตงเจียประสงค์จะรุกรานแคว้นเชียงแสจึงบังคับเราในสิ่งที่เราทำไม่ได้ สูทั้งปวงมีความคิดประการใด จงกล่าวมาเถิด " จุไท กรมการเมืองผู้หนึ่งกล่าวว่า " เหตุการณ์ครั้งนี้ เราทั้งปวงก็มิอาจจะแก้ไขให้ได้ดียิ่งกว่าสู หากสูจะคิดประการใด จะสู้หรือจะยอมต่อจิ๋น ข้าเชื่อว่าทุกคนจะทำตามทั้งสิ้น "
เย็นวันนั้น บุญปันก็ไปเชิญลำพูนกับกุฉินมาจากภูแหวนและกล่าวว่า " สูไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวต่อไปแล้ว " แล้วบุญปันก็แจ้งข้อเรียกร้องของลิตงเจียให้คนทั้งสองทราบ ลำพูนกล่าวว่า " ข้ากับกุฉินรักน้ำใจของสูอยู่ หากชีวิตของข้าทั้งสองจะช่วยขจัดภัยแก่ชาวเชียงแสได้ สูจงจับเราไปให้ลิตงเจียเถิด เพื่อเชียงแสจะมิต้องเดือดร้อน แต่ถ้าสูจะคิดสู้กับลิตงเจีย ชาวลือทั้งปวงคงจะร่วมรบด้วย เราทนเป็นทาสต่อไปอีกไม่ได้แล้ว " บุญปันกล่าวว่า " ที่ข้าจะส่งสูทั้งสองไปให้ลิตงเจียนั้น ข้าทำไม่ได้ เพราะสูไม่ได้ทำผิดต่อใคร อนึ่งเล่า ที่ลิตงเจียเรียกมาครั้งนี้ ใช่ว่าเขาจะต้องการชีวิตของสูทั้งสองและธงผาเท่านั้น เขาต้องการชีวิตของเชียงแสทั้งปวง จึงได้หาเหตุเอากับเรา ส่วนที่สูไม่อยากจากให้เชียงแสเดือดร้อนนั้น เชียงแสเดือดร้อนอย่างยิ่งอยู่แล้ว เชียงแสเวลานี้เสมือนร่างกายที่ถูกสูบเลือด จะมีกำลังเหลือเพื่อความผาสุกบ้างก็หาไม่ ชาวเชียงแสทุกคนทำงานหนักเพื่อส่งส่วยให้จิ๋น เราไม่ผิดจากทาส แต่ถ้าเราขืนสู้กับจิ๋นโดยลำพัง เราก็มีกำลังน้อยเกินไป เมืองลือนั้นเล่าเสมือนถูกจิ๋นบีบโดยลำพัง เราก็มีกำลังน้อยเกินไป เมืองลือนั้นเล่าเสมือนถูกจิ๋นบีบอยู่ในมือ ครั้นเราจะไปบอกแคว้นเม็ง และแคว้นไต๋ให้ช่วย หากเขาไม่ช่วยก็เสมือนเราประกาศให้ลิตงเจีย รู้ว่าเรากำลังจะแข็งเมือง ภัยจะมีมากขึ้น เวลานี้ข้ามิรู้จะแก้อย่างไร " แล้วบุญปันให้ลำพูนและกุฉินพักในเรือนตน ส่วนนางบุญฉวีรับรองคนทั้งสองเป็นอันดี

๙...

อาทิตย์ที่ ๓ บุญปันเจ้าเมืองเชียงแส ลังเลใจอยู่หลายวัน อยู่มาคืนหนึ่ง บุญปันนอนไม่หลับเพราะเห็นภัยอันจะมาถึงชาวเมืองเชียงแส เมื่อสามเดือนก่อนเจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรมบัดนี้เขาเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา แต่เป็นเจ้าเมืองที่กำลังนำความทุกข์มาให้แก่ชาวเมือง บุญปันคิดแล้วก็หนักใจยิ่งนัก เขาออกจากบ้านเดินไปจนถึงทุ่งนานอกเมือง เวลานั้นท้องฟ้าสว่างอากาศเย็น บุญปันเดินไปมาอยู่ในทุ่งนาจนดึกแล้วก็นั่งลงบนคันนา ในที่สุดเขาลุกขึ้นยืนและอุทานว่า "คนไทยต้องสู้"
ทันใดนั้นมีเสียงมาจากข้างล่างว่า "คำนี้จะติดปากคนไทยตลอดไป"
บุญปันเหลียวเห็นชายอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากตนจึงถามว่า "ใครมานั่งอยู่ที่นี่"
ชายนั้นตอบว่า "ข้าเป็นไทเชียงแสด้วยผู้หนึ่ง ชื่อ กุมภวา ข้าไปอยู่แดนอื่นตั้งแต่เยาว์ บัดนี้ภัยร้ายแรงจะเกิดแก่เชียงแสแล้ว เจ้าเมืองจะใช้ข้าบ้างก็ได้ เชียงแสมีคนน้อยอยู่แล้ว ในยามนี้ทุกคนจะต้องช่วยกัน" บุญปันได้ซักถามกุมภวาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าเป็นผู่้วางใจได้ บุญปันจึงเล่าความคับขันของเชียงแสให้กุมภวาฟัง
กุมภวากำพร้าบิดาตั้งแต่ยังเยาว์ มีพี่ชายชื่อ "สีบุญ" สองพี่น้องช่วยมารดาทำไร่อยู่ชานเมืองเชียงแส และสองพี่น้องมีนิสัยต่างกัน กุมภวาสนใจในการบ้านเมือง เมื่อจูโกเหลียงยกทัพมาในแดนไทขณะกุมภวายังเยาว์อยู่นั้น เมื่อใครผ่านไปมาทางไร่มารดาตน กุมภวาจะซักถามถึงการศึกษาระหว่างไทกับทัพจูโกเหลียง และทุกครั้งที่กุมภวาได้ฟังถึงความพ่ายแพ้ของทัพไทต่ออุบายของจูโกเหลียง กุมภวาจะตบเข่าตนเองและรำพึงว่า "เสียดายที่ข้าโตช้าไป" ส่วนสีบุญผู้พี่นั้นหาสนใจเรื่องของจูโกเหลียง หรือของการรบใดๆ ไม่ แต่สนใจนักบวชประเภทหนึ่ง ซึ่งผ่านไปมาทางเมืองเชียงแสเป็นครั้งคราวนักบวชพวกนี้ครองผ้าสีไพรและโกนศีรษะ สองพี่น้องนี้ถึงจะรักกันแต่มีความนิยมไปคนละทาง เมื่อกุมภวาเอ่ยกับสีบุญผู้พี่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะสู้กับจิ๋น สีบุญจะกล่าวว่านักบวชที่ครองผ้าสีไพรบอกไว้ว่า อย่าได้ใช้กำลังทำร้ายกัน และในครั้งใดเมื่อเด็กน้อยกุมภวาเห็นทหารจิ๋นผ่านมา เขาจะกล่าวแก่พี่ชายตนว่า เขาเกลียดความโหดร้ายของทหารจิ๋น แต่สีบุญจะตอบว่านักบวชผู้ครองผ้าสีไพรบอกว่า จงมีไมตรี อย่าได้เกลียดผู้ใด ถึงแม้ความคิดจะไม่ตรงกัน แต่ว่าทั้งสองพี่น้องดูแลมารดาของตนเป็นอันดี และเมื่อมารดาสิ้นแล้ว สองพี่น้องก็ออกจากไร่ของตนไป สี่บุญบอกผู้น้องว่าตนจะไปทางตะวันตกยังดินแดนแห่งแรกของพวกนักบวชครองผ้าสีไพร กุมภวาออกจากเชียงแสไปเช่นกัน เมื่อเขาผ่านศาลหลักเมืองเขาเข้าไปกล่าวแก่รูปจ้าวหลักเมืองว่า "ข้าจะไปรู้จักศัตรูให้ดีขึ้นแล้วข้าจะกลับมา" สีบุญนั้นต่อมาได้มาอยู่ที่ป่าลาย และกลายเป็นผู้ครองผ้าสีไพร ส่วนกุมภวาจะไปที่ใดบ้างไม่มีใครรู้ บัดนี้เขากลับมายังบ้านเดิมอีกครั้งหนึ่ง และมาเห็นบุญปันในทุ่งหญ้าไร่เดิมของเขา เมื่อกุมภวาฟังเรื่องจากบุญปันแล้ว เขากล่าวขึ้นว่า "สูมีน้ำใจเช่นนี้" ชาวเชียงแสจึงเลือกสูเป็นเจ้าเมือง แต่เราควรเอาคนยี่สิบคนคนไปขับไล่ทัพลิตงเจียให้พ้นจากแคว้นลือก่อนที่เราจะรบกับจิ๋นกลางสนาม"
บุญปันลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า "ข้าไม่ฟังสูแล้ว ทุกข์ของเชียงแสครั้งนี้หนักยิ่งนัก แต่สูกลับเห็นเป็นของเล่น" แล้วบุญปันลุกขึ้นเดินไป กุมภวาก็รั้งให้กลับมานั่งที่เดิม และกล่าวว่า "ยามที่เชียงแสเข้าตาจนเช่นนี้ ข้าจะกล่าวเล่นแก่สูไม่ได้ ที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความตั้งใจของข้า หากเทพยดายังไม่ลืมชาวไท คนยี่สิบคนจะขับทัพลิตงเจียไปได้ แต่ว่าในการนี้ นางบุญฉวีน้องสูบางที่จะช่วยได้" บุญปันกล่าวว่า "สูจะให้ข้าส่งนางบุญฉวีเป็นกำนัลแก่ลิตงเจียหรือ น้องข้าถือตัวนัก นางแข่งความกล้ากับชาย และนางแข่งความดีกับหญิง ขณะนี้ข้ารู้ว่านางพอใจลำพูนอยู่ และนางรู้ว่าบัวคำน้องของลำพูนโจนเข้ากองไฟตาย เพื่อให้พ้นอำนาจลิตงเจีย นางหรือจะยองต่อลิตงเจีย บางที่นางจะตายเสียก่อนเวลานั้น หรือนางจะฆ่าลิตงเจียก่อนก็เป็นได้ เช่นนี้แล้ว ภัยแก่ชาวไททั้งปวงจะหนักยิ่งขึ้น"
กุมภวาตอบบุญปันว่า "ที่จะส่งนางไปเป็นทาสในห้องนอนของลิตงเจียนั้น จะเป็นผลดีแก่ชาวเชียงแสก็หาไม่ สูส่งนางไปเป็นฑูตเจรจาความเมืองกับลิตงเจียเถิด เมื่อภัยจะเกิดแก่ชาวเชียงแสทั้งปวง หญิงควรจะได้เข้าช่วยในการขับทัพจิ๋นด้วย" แล้วกุมภวาชี้แจงวิธีแก่บุญปัน เจ้าเมืองแห่งเชียงแสได้ฟังแล้วก็กล่าวว่า "ในยามอับจนเช่นนี้ วิธีของสูอาจช่วยชาวเชียงแสได้ ถ้าเทพยดาไม่ทิ้งเรา เราจะหายใจอย่างเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง" แล้วบุญปันก็ลากุมภวากลับไป และในวันรุ่งขึ้นบัญปันแจ้งให้นางบุญฉวี กุฉิน และลำพูนรู้ถึงอุบายของกุมภวา นางบุญฉวีกล่าวว่า "งานนี้ข้าพอใจยิ่งกว่าที่จะออกเที่ยวในป่า สูจงรีบส่งข้าไปเมืองลืเถิด" บุญปันจึงทำหนังสือถึงลิตงเจีย นางบุญฉวีก็ถือหนังสือนั้นเดินทางไปยังเมืองลือ มีนางคำดวง และนางสร้อยทองติดตามไปด้วย

๑๐...

ที่แค้วนลือวันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ในค่าย ลิตงเจียเห็นทหารออกไปยืน เรียงรายกันที่เชิงเทินเป็นอันมาก และบ้างก็ผิวปากบ้างก็ตบมือด้วยควาวสงสัย ลิตงเจียจึงออกไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ที่พื้นดินข้างล่างนั้น ลิตงเจียเห็นหญิงสาวสามนางในเสื้อผ้าที่รัดตัว กำลังขี่ม้าไปมาอยู่อย่างน่าหวาดเสียวด้วยความช่ำชอง และนางที่นำหน้านั้นขับขี่ได้ผาดโผนกว่าอีกสองคนและสูงกว่าและงามยิ่งกว่า และงามยิ่งนัก ลิตงเจียรูสึกว่านางผู้นี้ไม่ว่าจะเวลาวิ่งม้า หรือหยุดม้าจะมองมาที่เขาเสมอ
ขณะที่สายตาจ้องอยูที่นางผู้นี้ ลิตงเจียกล่าวต่อโจสิด ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า "ข้าเห็นหญิงในวังต่างๆ ของจิ๋นมาก็มากก็งามดีอยู่ แต่ข้าไม่ค่อยเห็นหญิงใดงามเท่านางฮวนนี้เลย ช่างเขียนฝีมือเอกของจิ๋น อาจจะเอาความงามของนางผู้นี้ลงในภาพได้เพียงบางส่วน แล้วความสง่าและความช่ำชองของนางเล่าจะนำลงในภาพให้ถูกต้องได้อย่างไร ข้ามมาอยู่ในแดนกันดารเช่นนี้ ความสูขที่เคยมีในเมืองหลวงก็หมดไป หากข้าได้นางฮวนผู้นี้ไว้รับใช้ความเงียบเหงาจะบรรเทาลงบ้าง"
แล้วจากกำแพงนั้น ลิตงเจียก็ส่งเสียงลงไปว่า "นางฮวน พวกสูมาจากที่ใด สูมาแสดงความช่ำชองเช่นนี้มีประสงค์อะไร"
นางที่อยู่ข้างหน้าตอบไปว่า "เรามาจากเชียงแส เราต้องการจะพบลิตงเจีย แต่คนยามไม่ให้ข้าเข้าพบเว้นแต่จะได้ค้นตัวเสียก่อน พวกข้าจึงแสดงเช่นนี้เพื่อให้ลิตงเจียออกมา พวกว่า ข้าแต่งตัวเช่นนี้แล้วจะซ่อนอาวุธไว้ได้อย่างไร" แล้วนางทั้งสามก็ยืดอกให้เสื้อรัดตัวมากขึ้น
ลิตงเจียยิ่มด้วยความพอใจ แล้วสั่งให้ทหารยามเปิดประตูให้สามนาง เมื่อมาอยู่ต่อหน้าตนแล้ว ลิตงเจียถามนางที่สูงที่สุดว่า "สูต้องการพบข้าเพื่ออะไร ข้าคือลิตงเจีย"
"ข้าชื่อบุญฉวี" นางกล่าวพร้อมกับแนะนำเพื่อนทั้งสองของนาง "บุญปันเจ้าเมืองเชียงแสนเป็นพี่ชายข้า ข้ามาเพื่อตกลงในข้อพิพาท เพราะว่าสูกำลังขู่เชียงแสอยู่" แล้วนางยื่นหนังสือให้ลิตงเจียอ่าน ในนั้นมีข้อความว่า "ข้า เจ้าเมืองเชียงแสอวยพรมายังลิตงเจียแม่ทัพจิ๋น สูให้ข้าส่งตัวธงผา ลำพูน และกุฉิน ข้าทำให้สูไม่ได้ เพราะพ้นความสามารถของข้า หากสูต้องการเชียงแส เราก็ไม่มีทางเลี่ยงนอกจากจะต้องสู้จนถึงที่สุดของเรา และเราจะไม่สู้โดยลำพัง แคว้นเม็งกับแคว้นไต๋ และโดยเฉพาะชาวลือจะลุกขึ้นและช่วยเรา แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการจากสูนั้นคือ ความสงบและไมตรี เพื่อให้ได้สิ่งที่เราประสงค์นี้ เราเต็มใจจะเพิ่มส่วยรายปีให้มากขึ้นจากที่กำลังส่งอยู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงส่งนางบุญฉวีมาเป็นประกันความซื่อตรงของข้า สูอาจจะยึดนางไว้ในดินแดนกันดารเช่นนี้ หญิงที่มีฝีมือเช่นนางหาไม่ได้ง่าย" ลิตงเจียเงยหน้ามองนางบุญฉวี นางก็มองตอบอย่างไม่กลัวและยิ้มให้ ขณะที่ลิตงเจียพิเคราะห์นางอยู่นั้น นางรู้ได้ว่าแม่ทัพจิ๋นพอใจนางอยู่ ในที่สุดลิตงเจียกล่าวว่า "พี่ชายของสูตกลงกับข้าโดยดีแล้วในเรื่องพิพาทและเพื่อเป็นประกันข้อตกลง เขาให้ข้ายึดสูไว้" ยิ้มของนางฮวนงามหายไปทันที และกลายเป็นความฉงนและความตกใจ แต่กลับทำให้ลิตงเจียต้องการนางยิ่งขึ้น เมื่อกลับสำรวมตัวได้แล้ว นางบุญฉวีกล่าวว่า "เจ้าเมืองเชียงแสจะตกลงกับสูอย่างไรนั้นเขาทำได้ แต่ที่จะให้เอาข้าเป็นประกันข้อตกลง เขาจะต้องให้ข้ายอมด้วย เขาไม่ได้บอกข้าในเรื่องนี้" แล้วนางลุกขึ้นเดินออกไป ลิตงเจียเข้าไปขวางนางไว้ และกล่าวว่า "สูขัดขืนอำนาจของข้าหรือ" นางบุญฉวีกล่าวแก่แม่ทัพจิ๋น "ครั้งหนึ่งนางบัวคำร่างน้อยหนีจากสูไปสู่ความตาย ข้ารู้เรื่องนี้ดี แต่ข้าไม่เหมือนนางบัวคำ ใครข่มเหงน้ำใจข้า ข้าจะสู ไม่ว่าที่นี่หรือที่ใด ไม่ว่าจะด้วยมือหรือด้วยอาวุธ ข้าพอใจที่ความสงบจะมีระหว่้างทัพจิ๋นกับแคว้นเชียงแส เช่นนี้แล้วสูจะตกลงกัีบข้าโดยดีมิได้หรือ ข้ายินดีมาเป็นประกันเพื่อรับใช้สูในยามที่สูต้องไกลจากความเพลิดเพลินในโลยาง แต่ขออย่าให้ข้าได้อาย ขอให้ข้ากลับไปเชียงแสก่อนเพื่อเตรียมตัว" แล้วนางบุญฉวีจับมือลิตงเจียไว้ พร้อมกับกล่าวว่า "แม้แต่แผ่นดินดเชียงแสยังขอพึ่งสู ข้าเองถ้าสูเอ็นดู ข้าจะเป็นสุขนัก แต่ให้ข้ากลับไปก่อน สำหรับสูเล่า ตัวประกันที่ยอมโดยสมัครใจจะดียิ่งกว่าตัวประกันที่ถูกฝืนใจมิใช่หรือ" ลิตงเจียพอใจท่าทีของนางยิ่งนัก และสั่งให้ยามเปิดประตูกำแพงให้หญิงทั้งสาม

๑๑...

เมื่อมาถึงเชียงแสแล้ว นางบุญฉวีก็แจ้งเหตุการณ์ให้กุมภวาและบุญปันทราบ กุมภวาจึงกล่าวแก่บุญปันว่า "นางบุญทวีทำการสำเร็จแล้ว อันเป็นก้าวที่สำคัญของงานครั้งนี้ เราจงทำขั้นสองเถิด ถ้าเทพยดายังสงสารคนไทอยู่ คนไทจะเป็นอิสระในคราวนี้" บุญปันก็ทำหนังสือถึงลิตงเจียเป็นความว่า "ที่นางบุญฉวีขัดขืนอำนาจของสูนั้น ข้ามความเสียใจอยู่ แต่นางบอกข้าว่า หากสูจะรับนางเป็นภริยาและจัดการตามประเพณีนางจะมิขัดข้อง หากสูตกลงได้ตามนี้จงกำหนดวันวิวาห์ แล้วข้าจะนำนางไปเมืองลือ และเพื่อแสดงไมตรีของสูต่อเรา ขอให้ทำพิธีในเรือนลกซุนอันเป็นที่ซึ่งฝ่ายจิ๋นใช้พบกับฝ่ายไทมาแต่ก่อน เมื่อเสร็จพิธีแล้วสูจะได้รับนางเข้าไปยังค่าย หากสูไม่รังเกียจที่จะยกย่องน้องสาวข้า เชียงแสก็จะได้สูเป็นที่พึ่งต่อไป" แล้วบุญปันให้คนถือหนังสือไปยังลิตงเจีย เมื่อลิตงเจียทราบข้อความแล้ว จึงถามนายกองทั้งปวงว่า"ที่บุญปันแจ้งมาดังนี้ พวกสูเห็นเป็นประการใด" เตียวเหลียงกล่าวว่า "ข้าสงสัยว่้าบุญปันจะมีอุบาย จึงไม่เข้ามาทำพิธีวิวาห์ภายในค่ายนี้" ลิตงเจียหัวเราะและกล่าวว่า "สูมีความสงสัยและหวาดต่อภัยอยู่เสมอ ลกซุนพบกับคนไทที่นั่น อันการวิวาห์ครั้งนี้ใช่ว่าข้าจะทำเป็นเรื่องส่วนตัวก็หาไม่ถึงแม้นางบุญฉวีจะงามเพียงใดก็เป็นคนฮวน แต่ถ้าเราได้นางไว้เป็นประกัน เราบังคับบุญปันได้ง่ายขึ้น การจะนำทหารออกไปกินเลี้ยงนอกค่ายยังเรือนลกซุนนั้น หากข้าไม่ไปทั้งคนจิ๋นและคนไทจะดูหมิ่นข้า เราเป็นชาวจิ๋นควรหรือจะสำแดงความกลัวให้คนไทเห็น" แล้วลิตงเจียกล่าวต่อไปว่า "ข้านี้คืออำนาจของจิ๋นในแคว้นไท หากข้าเป็นอันตรายไป ลิบุ๋นพี่ข้าก็จะมาสังหารชาวไทจนสูญสิ้นไป บุญปันจะกล้าทำร้ายข้าหรือ เมื่อสูมีความกลัว สูจงเก็บตัวอยู่ในค่ายเถิด" แล้วลิตงเจียก็ทำหนังสือให้ม้าเร็วถือไปยังบุญปันเป็นความว่า ยอมตกลงตามที่นางบุญฉวีต้องการ และกำหนดพิธีในวันแรมสิบสี่ค่ำของเดือนนั้น บุญปันเมื่อได้รับหนังสือของลิตงเจียแล้วก็ไปพบกุมภวาและกล่าวว่า "งานขั้นที่สองสำเร็จไปแล้ว เราจงรีบจัดการต่อไปเถิด" แล้วกุมภวาให้ลำพูนไปยังเขาธาไนยและแจ้งให้ธงผาทราบถึงอุบายที่จะจับลิตงเจีย ธงผาก็ยินดีนัก และสั่งให้ชายฉกรรจ์แห่งเขาธาไนยแยกย้ายลอบเดินทางเข้าเมือง เมื่อได้เห็นสัญญาณไฟก็ให้ทุกคนไปช่วยทันที แล้วลำพูนกับธงผาก็มายังเมืองเชียงแส ครั้นได้เวลา บุญปันกับนางบุญฉวีก็ออกเดินทางไปยังเืมืองลือ กุมภวา จักเสน จุไท กุฉิน สีเภา ซึ่่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่หลบจากเมืองลือมาอยู่ในเชียงแส และชาวเมืองเชียงแสที่มีฝีมืออีกบางคนแต่งตัวเป็นบ่าวตามขบวนไปด้วย บางคนแต่งตัวเป็นหญิงไปในขบวนของนางบุญฉวี และหัดออกเสียงเป็นหญิง ครั้นถึงวันแรมสิบสามค่ำกลางคืนขบวนของบุญปันถึงเมืองลือ และเข้าพักในเรือนลกซุน แล้ววันรุ่งขึ้นจันเสนไปแจ้งแก่ลิตงเจียว่า "บัดนี้บุญปันนำนางบุญฉวีมาแล้ว คืนนี้จงจัดพิธีวิวาห์เสียเถิด บุญปันจะได้กลับยังเมืองเชียงแส" ลิตงเจียถามว่า "ทหารมาแจ้งแก่ข้าว่าขบวนของบุญปันมีหญิงมามาก นางบุญฉวีมีบ่าวหญิงมากนักหรือ" จันเสนตอบว่า "หญิงที่ตามขบวนมานั้นเป็นบ่าวของนางบุญฉวีก็มี เป็นหญิงฟ้อนรำก็มี เชียงแสมีชื่อนักในการฟ้อนรำ ในงานมงคลสูควรได้ชมการฟ้อนรำของเชียงแสบ้าง เราจึงได้จัดมาให้สูชม" ลิตงเจียได้ฟังก็พอใจและกล่าวว่า "สูจงบอกนางบุญฉวีเถิดว่า คืนนี้ข้าจะนำพวกนายกองไปชมการฟ้อนรำ และเมื่อเสร็จพิธีแล้วข้าจะรับนางมาไว้ในค่ายต่อไป" จันเสนก็ไปแจ้งแก่บัญปัน และในค่ำวันนั้นลิตงเจียนำโจสิดกับนายกองจิ๋นอีกเก้าคนไปยังเรือนลกซุน บัญปันออกมาคำนับลิตงเจีย แล้วให้หญิงสาวสิบคนออกมารินสุราให้ทหารจิ๋น และบุญปันกล่าวแก่ลิตงเจียว่า "ตามจารีตไทนั้นหญิงเท่าเทียมกับชาย สูจะให้นางบุญฉวีออกมาร่วมวงสนทนาด้วย จะขัดข้องประการใด ในคืนนี้ นางจะไปอยู่ในค่ายของจิ๋นแล้ว ให้นางออกมาให้นายกองของสูได้รู้จักไว้ก่อนบ้างจะมิดีหรือ" ลิตงเจียพอใจที่จะเห็นนางบุญฉวีอยู่แล้ว จึงกล่าวว่า "ให้นางออกมาเถิดเพื่อทหารจิ๋นจะได้รู้ว่านางเป็นใคร" บุญปันจึงนำนางบุญฉวีออกมา นางสร้อยทองและนางคำดวงตามมาด้วย นางบุญฉวีแต่งผ้าไหมสีม่วง ไม่มีมณีประดับกาย นางเข้าไปคำนับลิตงเจียตามแบบชาวจิ๋น ดวงหน้ายิ้มละไมพร้อมกับกล่้าวว่า "ต่อไปนี้ข้าจะเป็นตัวประกันที่เชียงแสมอบไว้แก่สูแล้ว ให้ข้ารินสุราให้สูเถิด" ลิตงเจียมีความยินดี และบอกให้นางร่วมวงอยู่ด้วย จากนั้นบุญปันก็นำมโหรีมาขับกล่อม และหญิงงามทั้งสิบก็รินสุราให้ทหารจิ๋นมิได้ขาด และมีหญิงออกมาฟ้อนรำให้ทหารจิ๋นชมตลอดเวลา ฝ่ายเตียวเหลียงซึ่งให้ทหารรักษาค่ายอยู่ เมื่อทราบข่าวว่้าบุญปันนำหญิงมาจากเชียงแสมากคนก็มีความแคลงใจ จึงเขียนหนังสือถึงลิตงเจียเป็นความว่า "ข้าเตียวเหลียงได้ทราบว่า บุญปันนำหญิงมาจากเชียงแสมากกว่าจำนวนของบ่าวชาย บุญปันอาจกระทำเช่นนี้ เพื่อมิให้สูสงสัยว่าจะมีการทำการร้าย แต่ชายปลอมเป็นหญิงได้ทั้งในการแต่งกายและน้ำเสียง และลำพูน กุฉินกับธงผาอาจจะปลอมเป็นบ่้าวมามาในขบวนของบุญปัน แม่ทัพจงบอกให้นายกองทุกคนระวังภัยไว้ และก่อนที่ทุกคนจะลืมตัวเพราะสุรา จงเรียกหญิงเชียงแสในขบวนของบุญปันออกมาสังเกตไว้ให้ถนัดเสียก่อน" แล้วเตียวเหลียงให้ทหารถือหนังสือไปให้ลิตงเจีย ลิตงเจียจึงถามว่า "เป็นหนังสือจากผู้ใด" ทหารผู้นั้นตอบว่า "เป็นหนังสือจากเตียงเหลียง เขาให้ข้าบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ ลิตงเจียก็กล่าวว่า "เตียวเหลียงนี้ชอบรบกวนข้าเสมอ สูจงเอาหนังสือกลับไปก่อน ในเมืองไทนี้จะมีเรื่องอะไรเป็นสำคัญหรือ" ทหารผู้นั้นนำหนังสือไปคือให้เตียวเหลียง เตียวเหลียงก็ถอนใจและให้ทหารระวังค่ายอย่างถี่ถ้วน

๑๒...

ในคืนนั้นชาวเขาธาไนยสองคน ซึ่งลอบเข้าเมืองลือเสพสุรากันอยู่ในร้าน เมื่อทั้งสองดื่มพอควรแล้วก็พูดกันถึงการที่ธงผา ลำพูน กับกุฉินลอบเข้ามาในเมืองและที่ธงผา ใช้ให้ชาวเขาธาไนยคอยสัญญานไฟ ขณะที่ชาวเขาธาไนยนั่งพูดกันอยู่เบื้องหน้าเยือกสุรานั้น ทะสอบุตรชายทะนนซึ่งมานั่งเสพสุราอยู่ได้ยินเรื่องราวก็รู้ว่าธงผา ลำพูน กับกุฉินลอบเข้ามาในเมืองลืือเพื่อคิดร้ายต่อลิตงเจีย ทะสอรีบกลับบ้าน เข้าห้องเขียนหนังสือ...
ทะนนบิดาทะสอเห็นบุตรมานั่งเขียนหนังสือแทนที่จะอยู่ในร้านสุราจนดึกเหมือนที่เคยมาก็ประหลาดใจ จึงเข้าไปถามว่า "ลูกคงมีธุระสำคัญจึงเขียนหนังสือกลางคืนเช่นนี้"
ทะสอกล่าวแก่บิดาว่า "หนังสือนี้จะถึงลิตงเจีย ข้าเกรงว่าจะพบลิตงเจียไม่ได้ จึงเขียนหนังสือเตรียมไว้ส่งให้คนยาม"
ทะนนถามว่า "สูมีกิจอะไรกับแม่ทัพจิ๋นหรือ"
ทะสอตอบว่า "ข้าจะได้ทองสามร้อยตำลึกจากลิตงเจียเพราะว่าเมื่อค่ำนี้ที่ร้านสุรา ข้าได้รู้ว่าชาวเขาธาไนยซ่อนตัวเข้ามาในเมืองลือมาก ธงผา ลำพูน กับกุฉิน ซึ่งทหารจิ๋นให้ค่าหัวเป็นทองคนละร้อยตำลึกเข้ามาด้วย คนเหล่านี้จะมาทำการร้ายข้าจึงเขียนหนังสือนี้ไปบอกแก่ลิตงเจีย"
ทะนนผู้นี้แขนขวาขาดเนื่องในการศึกกับทหารจิ๋นครั้งก่อน และเมื่อฟังจากบุตรเช่นนั้น ทะนนก็เชื่อว่าคนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังคิดการกู้แผ่นดิน เขาจึงกล่าวแก่บุตรว่า "หากเป็นเช่นสูว่าคนไทยเหล่านั้นก็กระทำการอันควร และคนไทยทุกคนควรร่วมมือกับเขาเพื่อให้ไทพ้นความเป็นทาส ลิตงเจียนั้นเล่าก็โหดร้ายผิดธรรมดามนุษย์ เขาทำแก่คนไทเหมือนว่า คนไทเป็นสัตว์ป่า เช่นนี้แล้ว การที่สูจะไปแจ้งแก่ลิตงเจียสมควรแล้วหรือ"
ทะสอ "หากธงผากับพวกจะคิดการกู้แผ่นดินไทย พวกนี้ก็โง่เหมือนคนไทยรุ่นก่อนที่โง่มาแล้ว เราเป็นเผ่าทีขาดความเจริญ และมีกำลังน้อย จะต่อสู้กับจิ๋นที่มีปัญญาและมีอำนาจได้อย่างไร เพราะความโง่ของคนไทยรุ่นก่อน ไทรุ่นนี้จึงต้องลำบากบัดนี้ธงผากับพวกจะทำให้พวกเราลำบากยิ่งขึ้น พวกนี้เมื่อทำการไม่สำเร็จแล้ว ทหารจิ๋นจะทารุณแก่ชาวไทยหนักขึ้น หนังสือของข้านี้จะป้องกันชาวไทมิให้เดือดร้อน เพราะความโง่ของชาวเขาธาไนยเช่นนนี้ข้าทำไม่สมควรหรือ
ทะนนจึงกล่าวว่า "ลูกเอ๋ย หยุดเขียนก่อนเถิดลูกกำลังทำผิดอย่างแรงต่อแคว้นลือ เราจะเป็นแคว้นเถื่อนหรือไม่ก็ตาม ความดีที่แคว้นลือมีต่อเรานั้นมากที่สุดที่จะกล่าว ภาษาที่ลูกพูดอยู่เวลานี้ ดนตรีที่ลูกได้ฟัง น้ำนมมารดาที่เลี้ยงลูกเมืิ่อเยาว์ บ้านเมืองภายในกำแพงนี้ที่ลูกยังพอใจที่จะอาศัยอยู่ และถนนหนทางที่ลูกใช้เดิน สิ่งเหล่านี้แคว้นลือมีไว้ให้แก่ลูกและราคาเกินกว่าทองร้อยตำลึงมากนัก เวลานี้ไทถูกเหยียบไว้ด้วยเท้าของจิ๋นเมื่อมีผู้ขจัดเท้านั้นออกไป เหตุใดลูกจะขัดขวางเสียเล่า ในแคว้นของเรานี้ต่างคนก็เป็นอิสระ เมื่อผู้ใดไม่พอใจจะอยู่ในแคว้นนี้ก็อาจจะไปอยู่ที่อื่นได้ ไม่มีผู้ใดจะบังคับ ถ้าเรายังรักจะอยู่แคว้นนี้ และรักจะรับประโยชน์จากสมบัติที่คนก่อน ๆ มอบให้เรา เราจะทำร้ายแคว้นนี้ไม่ได้ ลูกอย่าไปแจ้งลิตงเจียเลยให้ธงผากับเพื่อนทำงานให้สำเร็จเถิด" ทะสอหัวเราะและกล่าวว่า "พ่อต้องแขนขาดเพราะรบป้องกันแคว้น แล้วใครช่วยพ่ออย่างไรบ้างหรือ" ทะสอเขียนหนังสือต่อไป ทะนนเมื่อไม่อาจจะขัดขวางบุตรได้แล้วก็ผละไป และเมื่อทะสอเขียนจดหมายเสร็จก็ออกไปข้างนอก ขณะนั้นทะนนมายืนอยู่ที่หน้าประตู มือซ้ายของเขาถือดาบซ่อนไว้เบื้องหลัง เห็นบุตรเตรียมตัวจะออกไปเช่นนั้น จึงถามว่า "ลูกเขียนเสร็จแล้วหรือ" ทะสอ "ข้าเขียนเสร็จแล้ว และจะไปหาลิตงเจียเดี๋ยวนี้" ทะสอก็เดินออกไป พอคล้อยหลังทะนนเอาดาบฟันทะสอ จนตาย ณ ที่นั้น แล้วทะนนก้มลงพูดแก่ร่างของบุตรว่า "ลูกเอ๋ยแม่ของลูกตายไปนานแล้ว ข้าจึงรักและสงสารลูกมาก แต่ลูกจะทำร้ายแคว้นเราลับหลัง ข้าก็จำต้องทำแก่ลูกเช่นนี้" แล้วทะนนก็นำศพบุตรไปฝังในคืนนั้น

๑๓...

งานเลี้ยงพร้อมระบำรำฟ้อนในพิธีวิวาห์ระหว่างลิตงเจียกับบุญฉวี ณ อาคารลกซุนในแคว้นลือ บุญปันเห็นลิตงเจียกับทหารจิ๋นเมาสุรากันแล้ว จึงกล่าวแก่ลิตงเจียว่า "แม่ทัพจิ๋นอาจจะต้องการกลับไปค่าย เพราะดึกแล้ว แต่การฟ้อนรำชุดใหญ่ของเชียงแสสูยังไม่ได้เห็น" ลิตงเจียตอบว่า "สูจงนำออกมาให้ชมเถิด" บุญปันจึงร้องบอกเข้าไปข้างใน แล้วหญิงฟ้อนปลอมก็ออกมา มีจันเสนเดินนำหน้า ทันใดนั้นพวกหญิงปลอมก็วิ่งไปยังแม่ทัพนายกองจิ๋น จันเสนเข้าจับลิตงเจีย กุฉินเข้าจับโจสิด ลำพูนเข้าจับลิวฉุย นายกองจิ๋นบางคนชักดาบออกสู้แต่ถูกชาวไทฆ่าตาย รวมทหารเอกของจิ๋นถูกจับมัดไว้แปดคน ลิตงเจียเมื่อถูกมัดก็หัวเราะและกล่าวแก่บุญปันว่า"สูทำเช่นนี้โง่นัก จงปล่อยข้าเสียโดยดี หากข้าเป็นอันตรายไปทหารจิ๋นในค่ายจะออกสังหารชาวลือไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว"
บุญปันกล่าวว่า "สูจะตายหรือจะรอดจะรู้กันพรุ่งนี้" แล้วบุญปันก็ให้ธงผาจุดคบไฟชูขึ้นบนหลังคาเรือน ชาวเขาธาไนยเมื่อเห็นสัญญาณไฟก็รีบตรงไปยังเรือนนั้น ฝ่ายทหารจิ๋นที่ยืนระหว่างเหตุึอยู่ เมื่อรู้ว่าลิตงเจียถูกจับก็พยายามพังประตูจะเข้าไปเอานายของตนคืนมา แต่ชาวเขาธาไนยอ้อมมาข้างหลัง ทหารจิ๋นเห็นจะเสียทีจึงถอยหนีเข้าค่ายไป แล้วในทันทีนั้นกุมภวาให้ชาวเขาธาไนยทั้งปวง จุดคบตระเวณไปรอบเมือง และร้องประกาศว่า "ลิตงเจียกับนายกองจิ๋นถูกคนไทจับไว้หมดแล้ว" ชาวไททุกครัวเรือนทั้งหญิงและชายก็แตกตื่นออกมาตามท้องถนน ที่มีมีดพร้าก็ถือออกมาท้าทายทหารจิ๋นที่หน้าค่าย เตียวเหลียงเมื่อทหารเข้าไปบอกว่าลิตงเจียถูกจับก็เตรียมทหารจะออกมานอกค่าย แต่ตามท้องถนนมีคบไฟทั่วไปผู้คนเนืองแน่นทุกหนทุกแห่ง และเสียงดังกึกก้องทั่วไป ทหารจิ๋นก็ขวัญเสีย เตียวเหลียงจึงไม่้นำทหารออกไป แต่ให้ระวังเชิงเทินอยู่้ ครั้นรุ่งเช้า บุญปันก็นำลิตงเจียกับทหารเอกของจิ๋นทั้งแปดคนที่ถูกมัดไปยังหน้าค่าย มีชาวไททั้งชายหญิงและเด็กติดตามไปเหมือนทัพใหญ่ บุญปันเห็นเตียวเหลียงยืนอยู่้บนเชิงเิทินมมีทหารถือธนูเรียงรายอยู่" บุญปันจึงร้องออกไปว่า "เตียวเหลียง ลิตงเจียกับนายกองแปดคนนี้ สูจะให้ข้าสังหารเสีย หรือว่าสูจะขอคืินไป" แล้วบุญปันหันมาทางโจสิดและกล่าวว่า "สูได้ทำความหยาบช้าแก่ชาวไทมากนัก จงตายเสียเถิด" โจสิดมีความกลัว น้ำตาไหล อ้าปากขอชีวิตตนไว้ แต่ว่ายังมิได้กล่าวจบคำพูด บุญปันก็ฟันโจสิดคอขาด แล้วบุญปันโยนศีรษะโจสิดขึ้นไปบนเชิงเทิน และร้องบอกเตียวเหลียงว่า "ศีรษะที่สองที่ข้าจะให้คือของลิตงเจีย" เตียวเหลียงจึงถามลงมาว่า "หากสูจะคืนแม่ทัพจิ๋นและนายกองคนอื่นให้เรา สูจะต้องการอะไรแลกเปลี่ยน" บุญปันกล่าวว่า "ให้สูนำทหารจิ๋นออกจากเขตไท และมอบม้าและอาวุธทั้งหมดแก่เรา" เตียวเหลียงถามไปว่า "สูมีสิ่งใดประกันคำพูดของสู" บุญปันร้องตอบไปว่า"ข้าจะมอบบุตรชาวไทห้าสิบคนให้กับทัพจิ๋น และเมื่อถึงชายแดนเราจะได้แลกเชลยกัน" เตียวเหลียงก็นิ่งอยู่ื เตียวลกจึงกล่าวแก่พี่ชายของตนว่า "เหตุใดสูจึงลังเลใจ หากสูปล่อยให้ลิตงเจียคอขาดดังโจสิด เมื่อสูกลับถึงโลยาง ลิบุ๋นก็จะทำให้สูคอขาดเช่นกัน" เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องชายว่า "ข้าลังเลอยู่เพราะรู้ง่า หากเราต้องถอนทัพออกจากแคว้นไท ที่ทัพจิ๋นจะกลับมาในค่ายนี้อีกนั้นจะไม่ง่ายเหมือนก่อน และการทำลายกันระหว่างจิ๋นกับไทจะโหดร้ายกว่าแต่ก่อน ชาวไททุกวันนี้ไม่โง่ในการศึก เพราะว่าจูโกเหลียงได้มาสอนให้คนไทฉลาดขึ้นมาก" เตียวลกจึงถามพี่ชายของตนว่า "จูโกเหลียงมายึดแคว้นไทไว้ได้แล้วก็ต้องรีบกลับไปเพราะความวุ่นวายในแคว้นจิ๋น เหตุใดสูจึงว่าเขามาสอนคนไทให้ฉลาดขึ้นมาก" เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องตนว่า "จูโกเหลียงมายึดแคว้นไทได้แล้วต้องรีบกลับไปก็จริงอยู่ แต่มาทำศึกเหมือนเล่นกีฬาจับคนไทได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แล้วก็ปล่อยไป จูโกเหลียงทำดังนี้เพื่อให้คนไทยำเกรง แต่ผู้ใดทำศึกกับศัตรูบ่อยครั้ง ผู้นั้นสอนให้ศัตรูรู้วิธีเอาชนะ อนึ่งเล่า ที่ทหารจิ๋นมายึดครองแคว้นลืออยู่สี่สิบปี ชาวไทก็ได้รู้จักชาวจิ๋นดีขึ้น เขาได้รู้ว่าเรามีความเจริญทางใด มีความอ่อนแอทางใด ต่อไปนี้คนไทจะเอาความรู้เหล่านี้มาทำศึกกับเรา ข้าจึงว่าที่ทัพจิ๋นจะเข้ามาอยู่ในค่ายนี้อีกจะไม่ง่ายเหมือนก่อน แต่ที่ข้าจะปล่อยให้ลิตงเจียกับนายกองข้างล่างตายนั้น เมื่อคิดแล้วข้าทำไม่ได้ และอาจไม่มีประโยชน์แก่ใคร"
แล้วเตียงเหลียงก็ร้องบอกบุญปันว่า "เจ้าเมืองเชียงแสจงเตรียมบุตรชาวลือมาเถิด แต่เด็กจะต้องอายุระหว่างแปดถึงสิบสี่ปี และเราจะต้องเอาม้าไว้ห้าสิบตัว สำหรับเด็กเหล่านี้จะได้ไม่ต้องเดินเท้าไปกับเราตลอดทาง เมื่อสูพร้อมแล้วข้าจะถอนทหารออกไป" บุญปันก็ประกาศหาผู้ที่จะยอมให้บุตรของตนเป็นประกันในทัพจิ๋น มีชาวลือเป็นอันมากนำบุตรของตนมามอบให้ บุญปันจึงรับเด็กอายุแปดถึงสิบสี่ขวบไว้ห้าสิบคน แล้วนำไปมอบให้เตียวเหลียงไป เตียวเหลียงก็นำทหารจิ๋นออกจากค่ายไปพร้อมกับเด็กไท ส่วนอาวุธเตียวเหลียงทิ้งไว้ในค่ายนั้นตามที่ตกลงกับบุญปัน สำหรับม้าคงเอาไปเพียงห้าสิบตัว

๑๔...

ฝ่ายบุญปันก็นำอาวุธ และม้าที่ทหารจิ๋นทิ้งไว้มาแจกจ่ายแก่ชายฉกรรจ์ แล้วบุญปันก็กล่าวแก่คณะกู้เมืองว่า "บัดนี้ฝ่ายเราจะต้องคุมตัวลิตงเจียไปมอบให้เตียวเหลียงตามข้อตกลง แต่การคุมตัวลิตงเจียไปครั้งนี้ หากเราเสียทีถูกฝ่ายจิ๋นแย่งลิตงเจียไปได้ก่อนที่เตียวเหลียงจะคืนเด็กห้าสิบคนให้เรา ฝ่ายจิ๋นก็จะเอาเด็กไทห้าสิบคนนั้นมาแลกกับเมืองลืออีก ใครเล่าจะอาสาคุมตัวลิตงเจียไป" ธงผาจึงกล่าว "ข้าจะนำลิตงเจียไปเอง" บุญปันกล่าวว่า "ข้าไม่อยากให้สูไป อีกสี่ห้าวันภายในเมืองจะสงบแล้ว ชาวลือจะตั้งเจ้าเมืองใหม่ สูจงอยู่คอยการตั้งเจ้าเมืองเถิดเพื่อเขาจะเลือกสูได้" ธงผากล่าวว่า "งานของผู้ปกครองเมืองไม่เหมาะแก่ข้าให้ชาวเมืองเลือกคนอื่นเถิด ข้าจะขอนำลิตงเจียไป และสูจะสั่งการใดแก่ข้าจงสั่งเถิด" บุญปันก็ไปหากุมภวาและกล่าวว่า "ข้าจะให้ธงผานำลิตงเจียไปมอบให้เตียวเหลียงตามข้อตกลง ในการนี้เราควรจะทำอย่างไร" กุมภวากล่าวว่า "ทัพจิ๋นนั้นจะเข้ามาในแดนไทอีกเป็นแน่นอน ถ้าเราปล่อยเวลาให้ทัพจิ๋นเตรียมตัวนานนักเราจะสู้ได้ลำบาก เพราะขณะนี้แคว้นไต๋และแคว้นไทอื่นๆ ยังหวาดอำนาจของจิ๋นอยู่ เราควรทำศึกให้ชนะทัพจิ๋นเพื่อฟื้นขวัญของชาวไทเสียครั้งหนึ่งก่อน โดยหาวิธีให้ลิตงเจียกลับมารบกับเราโดยเร็ว เมื่อลิตงเจียไปถึงเมืองกังไสแล้วยกทัพมา เราพอจะประมาณได้ว่าทัพจิ๋นจะมีกำลังมากเท่าใด" บุญปันจึงเรียกธงผามาและกล่าวว่า "ข้าจะให้สูนำลิตงเจียกับเชลยจิ๋นไปส่งให้เตียวเหลียงที่ชายแดน แต่ก่อนที่สูจะปล่อยลิตงเจียไป จงท้าลิตงเจียให้มารบกับเราโดยเร็ว" ธงผาก็นำเชลยจิ๋นทั้งสิ้นนั้นติดตามทัพไร้อาวุธของเตียวเหลียงไป เมื่อชาวลือคลายความตื่นเต้นที่พ้นจากอำนาจของชาวจิ๋นแล้ว บางคนก็วิตกว่าทัพจิ๋นจะเข้ามาอีกและจะทำให้ชาวไทเดือดร้อนหนักขึ้น ความวิตกของคนบางคนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกลัว แล้วหันไปตำหนิคณะกู้เมือง แต่ชาวเมืองลือโดยทั่วไปพอใจที่พ้นความเป็นทาส และไม่อยากนึกถึงกาลข้างหน้าว่าจิ๋นจะมารุกนรานอีกหรือไม่

๑๕...

เมื่อธงผาพาลิตงเจียไปได้ห้าวัน บุญปันก็เรียกชาวเมืองลือมาประชุมและกล่าวว่า "การขับทัีพของลิตงเจียออกไปครั้งนี้ สำเร็จได้เพราะความพร้อมเพรียงของชาวเมืองลือเป็นสำคัญ แต่สำหรับข้าต้องขออภัยที่ข้าบังอาจเข้ามากระทำการภายในแคว้นของสู ข้าต้องกระทำเพราะว่าลิตงเจียขณะนั้นกำลังจะนำทัพเข้าไปในแคว้นเชียงแสซึ่งข้าดูแลอยู่ บัดนี้งานเสร็จแล้วข้าไม่บังควรจะอยู่ในแคว้นของสูต่อไปอีก ข้าจึงเรียกพวกสูมาประชุมเพื่อสูจะพูดเสียต่อหน้าข้าว่าที่พวกเราขับไล่ทัพจิ๋นไปนี้ พวกเรากระทำผิดต่อแคว้นลือประการใดบ้างหรือไม่ เพราะข้าได้ยินว่าบางคนก็พูดว่าเราโง่นักที่บังอาจสู้กับอำนาจของจิ๋น"
ชาวเมืองลือได้่ฟังก็ร่ำร้องว่า "ที่สูมาช่วยขจัดทัพจิ๋นออกจากเมืองลือนั้น สูจะทำผิดอันใดนั้นมิได้ แต่ที่สูจะกลับไปยังเชียงแส และทิ้งพวกข้าไว้เช่นนี้จะเป็นควาาผิดของสูอย่างแรง เสมือนสูช่วยลูกนกไว้จากปากเหยี่ยวแล้วสูทิ้งลูกนกให้ว่ายโดยลำพังในกระแสน้ำ พวกข้าจะไม่ยอมให้สูทำผิดเช่นนั้น" บุญปันจึงกล่าวว่า "ชาวเชียงแสกำหนดให้ข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าจะทิ้งงานของข้าไม่ได้" ชาวลือมิอาจกล่าวทัดทานบุญปัน แต่ว่าทุกคนยังกลัวว่าทัพจิ๋นจะยกมาอีก และทันใดนั้น มีเสียงจากที่ประชุมว่า "ไทลือกับไทเชียงแสจงรวมกัน" และเสียงนี้ในที่สุดก็ดังขึ้นทั่วที่ประชุม บุญปันจึงกล่าวว่า "เป็นโชคของคนไททั้งปวงแล้วที่คนไทคิดจะรวมกัน ถ้าคนไทแคว้นอื่นคิดอย่างพวกสูบ้าง เราจะสู้กับจิ๋นได้ ข้าเป็นเจ้าเมืองของเชียงแส ข้าขอนำเชียงแสมารวมกับแคว้นลือ ถ้าชาวเชียงแสไม่ยอม ข้าจะไม่ขอเป็นเจ้าเมืองอีกต่อไป" ชาวเมืองลือพอใจในคำของบุญปันยิ่งนัก และพร้อมกันกล่าวว่า "เมื่อสูเอาเชียงแสมาให้รวมกับแคว้นลือเช่นนี้ เราจะเอาสูเป็นเจ้าเมืองแคว้นของเรา" บุญปันโบกมือและกล่าวว่า "พวกสูจะทำให้เพื่อนยที่ร่วมในการกู้เมืองเกลียดข้าหรือ การขับไล่ทัพจิ๋นไปได้ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะชาวไทเชียงแสโดยลำพัง แต่เพราะน้ำใจและฝีมือของธงผา กุฉิน ลำพูนืและชาวไทอื่นๆ อีกมากในแคว้นลือ ดังนั้นที่พวกสูจะเลือกข้่าเป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองใหม่ ย่อมไม่สมควร จงหาเจ้าเมืองใหม่เถิด"
ชาวลือในที่นั้นก็ประชุมกัน แต่ไม่มีใครกล้ารับเป็นเจ้าเมือง เพราะยังหวาดอำนาจของจิ๋นอยู่ แล้วที่ประชุมจึงกล่าวแก่บุญปันว่าื"ขอให้ผู้ที่ร่วมกันขับทหารของจิ๋นไป จงเลือกเจ้าเมืองในหมู่กันเองเถิด" คณะกู้เมืองก็มาประชุมกันเพื่อเลือกคนในคณะของตนขึ้นเป็นเจ้าเมือง ในที่ประชุมมีกุฉิน บุญปัน สีเภา ลำพูน กุมภวา จุไท นางบุญฉวีและจันเสน แล้วสีเภาก็กล่าวขึ้นเป็นคนแรกว่า "ก่อนที่เราจะเลือกผู้ใดเป็นเจ้าเมือง เรามาตกลงกันเสียก่อนว่า เมืองลือใหม่อันมีเชียงแสรวมอยู่ด้วยนี้จะปกครองด้วยวิธีใด" จันเสนลุกขึ้นกล่าวเป็นคนที่สองว่า "การปกครองย่อมต้องมีการใช้อำนาจ พวกเราได้เห็นทหารจิ๋นใช้อำนาจปกครองมาแล้ว อำนาจทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าเขาอยู่เหนือราษฎรแล้วความกระด้าง และความหยาบช้าต่างๆ จะเกิดขึ้นในใจของผู้ใช้อำนาจปกครองทหารจิ๋นจึงทำความหยาบช้าต่างๆ แก่ชาวไททั้งปวง เขาเก็บส่วยไปจากพวกเราเพื่อประโยชน์ของเขาเอง เขาจับพวกเราเป็นทาสทำงานในแดนจิ๋น โดยเห็นพวกเราไม่ต่างไปจากสัตว์ป่า อำนาจทำให้คนต่ำช้าได้ถึงปานนี้ มาบัดนี้เราไล่ทัีพจิ๋นไปแล้ว อำนาจนั้นจะตกมาอยู่แก่คนไทด้วยกันเอง เราจะได้ใครเป็นผู้ปกครองก็ตามเถิด การแบ่งแยกจะเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายใช้อำนาจ และอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นราษฎรที่อยู่ในอำนาจ ความชั่วในที่สุดจะเกิดแก่ฝ่ายที่ใช้อำนาจและความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นแก่ผู้ถูกใช้อำนาจ และคราวนี้นอกไปจากการกดขี่แล้ว ความอัปยศจะมีมากขึ้นอีก เพราะคนไทด้วยกันจะกดขี่กันเอง
"ทำอย่างไรเล่าเราจึงจะหลีกเลี่ยวความชั่วร้ายเหล่านี้ได้ ข้าขอให้เปลี่ยนวิธีการปกครองเสียใหม่ แทนที่จะให้มีฝ่ายปกครองและฝ่ายในปกครอง เราจงให้อำนาจเด็ดขาดแก่ชาวเมืองคือให้ชาวเมืองใช้อำนาจในการปกครองเท่าเทียมกัน งานใดที่ชาวเมืองช่วยกันทำได้เอง ก็ให้เขาทำกันไปและถ้าจำเป็นจะต้องตั้งเจ้าเมืองก็ให้ชาวเมืองมีอำนาจถอดถอนเจ้าเมืองออกได้ และอย่าให้เจ้าเมืองอยู่ในตำแหน่งเกินหนึ่งปี เพราะเหตุว่าผู้ใดอยู่ในอำนาจนาน ผู้นั้นจะรักในอำนาจนั้น และจะชั่วเพราะอำนาจนั้น" เมื่อพูดแล้วจันเสนก็นั่งลง
จากนั้น จุไทแห่งเมืองเชียงแสก็ลุกขึ้นกล่าวว่า "การปกครองโดยชาวเมืองเองที่จันเสนกล่าวนั้นเป็นของใหม่ที่ข้าเพิ่งได้ยิน ที่จันเสนตำหนิการให้อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าเมือง ข้าไม่คัดค้าน และที่จันเสนจะให้อำนาจเด็ดขาดแก่ชาวเมืองนั้นก็น่ายกย่อง เราเสี่ยงชีวิตครั้งนี้ก็เพื่อชาวลือและชาวเชียงแส ข้าเชื่อได้ว่าน้ำใจขอเราทุกคนเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเรากู้เมือง เราคิดกันแต่เพียงว่า ต้องการให้ชาวเมืองพ้นความลำบากและพ้นความเป็นทาส เราไม่ได้คิดไกลถึงแก่จะให้ชาวเมืองปกครองตนเอง ซึ่งทำเข้าจริงๆ แล้วไม่ง่ายนัก และอาจไม่ดีแก่ชาวเมืองเอง ฝูงชนนั้นควรมีอำนาจไว้ในมือหรือ แท้จริงแล้วฝูงชนไม่ต้องการอำนาจแต่ต้องการตาม และที่ฝูงชนปรวนแปรเหมือนเด็ก จันเสนต้องการหนีความชั่วของเจ้าเมืองที่ใช้อำนาจเด็ดขาด แต่วิธีของจันเสนจะทำให้เกิดความชั่วของชาวเมืองที่ไม่รู้จักใช้อำนาจให้ถูกต้อง แต่ถูกขืนให้ใช้อำนาจนั้น ข้าจึงไม่เห็นด้วย เมื่ออำนาจเด็ดขาดไม่ควรอยู่กับคนๆ เดียว และไม่ควรอยู่กับฝูงชน อำนาจเด็ดขาดก็ควรอยู่แก่คนคณะหนึ่ง คณะใดเล่าจะควรปกครองแคว้นลือใหม่ยิ่งกว่าคณะของเรา และชาวเมืองก็ยินยอมให้เราเลือกเจ้าเมืองในหมู่เราอยู่แล้ว ขอให้เราปกครองร่วมกันเถิด ถ้าไม่มีผู้ใดให้ความเห็นอื่น ข้าขอให้พวกเราลงคะแนนว่าจะเลือกวิธีของจันเสนหรือวิธีของข้า"
ที่ประชุมเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดสีเภาแห่งเมืองลือก็กล่าวขึ้นว่า "อำนาจปกครองจะอยู่ที่ใครนั้นไม่สำคัญเท่ากับ เรื่องที่ว่าทำอย่างไรการปกครองจึงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อยู่ในปกครอง คนไทเวลานี้ต้องการอะไรเล่าที่สำคัญที่สุด เราต้องการปกครองกันเองด้วยความสมัครใจของผู้อยู่ในปกครอง เราไม่ต้องการให้จิ๋นมาเป็นนายเรา แต่เรารู้ว่าจิ๋นจะกลับมาอีกข้างหน้าของเราจะมีแต่การต่อสู้ การทำงานในยามไม่ปกติเพื่อความอยู่รอดของปวงชนนั้นต้องรวดเร็วให้ทันความรวดเร็วของศัตรู ถ้าจะมัวถกเถียงกันอยู่ ข้าศึกจะมาถึงประตูเมืองเสียก่อนที่ฝ่ายเราจะลงมือทำงาน และยามฉุกเฉินนั้นอำนาจปกครองควรอยู่แก่คนๆ เดียวื แต่ถึงแม้ในยามปกติข้าก็เห็นว่าเราควรมอบอำนาจเต็มที่แก่เจ้าเมือง เมื่อเราเชื่อได้ว่าเจ้าเมืองจะทำงานให้แก่ชาวเมืองโดยแท้จริง ก็แล้วในหมู่เรานี้ใครเล่าเอาคอมาเสี่ยงดาบของทัพจิ๋นเพื่อส่วนตัว "สำหรับการปกครองโดยอำนาจของชาวเมืองนั้น เรารู้อยู่แล้วว่าชาวเมืองจะตั้งตัวแทนขึ้นมาใช้อำนาจแทน ด้วยวิธีนี้คนมักใหญ่จะอาศัยความโง่ และความไม่สนใจของชาวเมืองเป็นบันไดขึ้นสู่อำนาจ คนเช่นนี้จะทำให้ความชั่วเกิดขึ้นในบ้านในเมือง ความชั่วเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องมีคนแอบอ้างว่าจะขจัดความชั่วนั้นไป และในความระส่ำระสายเช่นนั้น ชาวเมืองจะหลงเชื่อแล้วในที่สุดอำนาจเด็ดขาด ซึ่งเคยอยู่ที่ชาวเมืองก็จะกลับเป็นของคนๆ เดียว"
"พวกสูจะเห็นได้ว่า หากถึงคราวคับขัน ซึ่งเราจะพบเร็วๆ นี้ เราจะหนีการปกครองโดยอำนาจของคนๆ เดียวไปไม่พ้น เมื่อเป็นดังนี้แล้วเรามาเริ่มต้นการปกครองชนิดที่เราหนีไม่พ้นเสีย ในบัดนี้จะมิดีกว่าหรือ ในเมื่อคณะของเรานี้แต่ละคนไม่ต้องการอำนาจเพื่อประโยชน์ตนเอง และราษฎรก็มอบอำนาจให้เราแล้วใช่ว่าเราฝืนใจเขาก็หาไม่" ไม่มีผู้อื่นให้ความเห็นอีก ในที่สุดคณะนี้จึงตกลงเลือกวิธีปกครองโดยให้อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าเมือง และเมื่อเลือกอีกครั้งหนึ่งว่าใครจะเป็นเจ้าเมือง บุญปันได้รับเลือก แล้วเจ้าเมืองใหม่ให้ประกาศทั่วไปว่าบัดนี้เชียงแสรวมกับลือแล้ว แต่นี้ไปเมืองลือใหม่จะทำศึกกับจิ๋นจนกว่าจิ๋นจะหยุดรุกราน ชาวลือใหม่ผู้ใดจะป้องกันแผ่นดินของตนก็ให้เข้ามาอาสาการศึกเถิด มีชาวไทอาสาเป็นอันมาก บุญปันจึงไปหากุมภวาและกล่าวว่า "สูจงช่วยฝึกชาวไทในการศึกเถิด เพราะในไม่ช้าเราคงจะต้องรบกับลิตงเจีย"
กุมภวาก็จัดให้ กุฉิน ลำพูน และจันเสนฝึกซ้อมชาวไทมิได้ขาด และอาวุธที่ใช้ซ้อมนั้นกุมภวาทำให้หนักกว่าอาวุธที่จะใช้จริง แล้วบุญปันก็เขียนหนังสือถึงขุนจาดเจ้าเมืองเม็ง และขุนสินเจ้าเมืองไต๋ เป็นความว่า "บัดนี้ทหารจิ๋นถูกขับออกจากเมืองลือแล้ว เชียงแสและลือได้รวมกันเป็นแคว้นเดียว และชาวเมืองเลือกข้าเป็นเจ้าเมือง ลิตงเจียคงจะนำทหารมาเพื่อชิงแคว้นลือคืนไปในไม่ช้า เราถึงแม้จะต่างแคว้นกัน แต่ก็เป็นไทเหมือนกัน ข้าจึงขอเชิญให้สูยกทัพมาช่วย เพื่อขับไล่ศัตรูให้สิ้นไปจากแผ่นดินไท" เขียนแล้วบุญปันมาให้ทหารถือหนังสือไปยังเจ้าเมืองทั้งสอง แต่ขุนจาดเจ้าเมืองเม็ง เมื่อรับหนังสือแล้วก็เฉยอยู่ เพราะเกรงอำนาจของฝ่ายจิ๋น ส่วนขุนสินเจ้าเมืองไต๋นั้น กำลังปราบขบถอยู่ จึงมิได้ยกทัพมาช่วยแคว้นลือ

๑๖...

ระหว่างที่เมืองลือกำลังเตรียมรับศึกจิ๋นอยู่นั้น เตียวเหลียงได้นำทัพไร้อาวุธมุ่งไปยังเขาจินไต เมื่อมาตามทางเตียวเหลียงไปอยู่ในหมู่เด็กไทเสมอ ระหว่างทางพันน้อยเด็กไทอายุแปดขวบป่วย เตียวเหลียงก็เฝ้าดูแล และให้พันน้อยขี่ม้าไป ส่วนตนเองเดินเป็นเพื่อนไปและจูงม้าให้พันน้อยจนถึงเวลาที่พันน้อยหายป่วย แล้วสองคนนี้ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อมาได้สิบห้าวัน ทัพเตียวเหลียงก็มาถึงต้นลำน้ำลู ณ เชิงเขาจินไต เตียวเหลียงสั่งให้ทัพไร้อาวุธและเด็กประกันทั้งห้าสิบข้ามไป และให้ทหารตั้งกระโจมพักที่ริมน้ำเพื่อคอยฝ่ายไทที่จะนำลิตงเจียมา เด็กไททั้งหมดนั้นเตียวเหลียงให้บุ้นเหม็งดูแล บุ้นเหม็งเป็นน้องชายบุ้นตง เมื่อลิตงเจียให้ประหารชีวิต
บุ้นตงแล้ว ตั้งแต่นั้นมาบุ้นเหม็งก็มีใจอาฆาตลิตงเจีย เย็นวันหนึ่ง เมื่อบุ้นเหม็งนำเด็กไปอาบน้ำ บุ้นเหม็งเห็นฝ่ายไทนำเชลยจิ๋นมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของลำน้ำลูแล้ว บุ้นเหม็งจึงบอกแก่เด็กไทว่า "พวกสูมาเป็นประกันอยู่เช่นนี้จะเกิดภัยขึ้นอย่างใด ก็ยากจะรู้ได้ บัดนี้เป็นโอกาสแล้ว ข้าจะพาหนีกลับไป"
แล้วบุ้นเหม็งก็นำเด็กไททั้งหมดข้ามแม่น้ำไปหาธงผา ธงผาเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจและถามบุ้นเหม็งว่้า "เหตุใดจึงนำเด็กเหล่านี้มา" บุ้นเหม็งตอบว่า" เมื่อครั้งโจสิดให้เตียกังกับบุ้นตงตามไปจับสูนั้น เตียกังถูกฟันแยกเป็นสองซีก บุ้นตงเห็นฝีมือของสูเกินกว่าที่ผู้ใดจะสู้ได้ จึงหนีกลับมา หากสูจะตามฆ่าเสีย บุ้นตงก็คงไม่พ้นความตาย แต่บุ้นตงกลับมาตายเพราะความโหดร้ายของลิตงเจีย ข้าชื่อบุ้นเหม็งเป็นน้องชายของบุ้นตงมีความแค้นอยู่ บัดนี้เป็นโอกาสแล้วที่จะแก้แค้นได้ จึงนำเด็กเหล่านี้มามอบให้สู เพื่อสูจะฆ่าลิตงเจียไดด้ เพราะเด็กกลับมาโดยปลอดภัยแล้ว" แล้งธงผานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวแก่บุ้นเหม็งว่า "ข้าไม่ต้องการประโยชนฺจากคนทรยศ" แล้วธงผาให้ทหารจับบุ้นเหม็งมัดไว้ และให้เด็กทั้งห้าสิบ นำบุ้นเหม็งข้ามฟากกลับไป
ขณะนั้นเตียวเหลียงให้ทหารค้นหาเด็กอยู่ ครั้นเห็นเด็กเหล่านั้นนำบุ้นเหม็งมัดมือข้ามลำน้ำมา ก็ถามเด็กว่า "เหตุใดธงผาจึงคืนพวกสูมาให้เรา" เด็กตอบว่า "ธงผาไม่ต้องการประโยชน์จากคนทรยศ จึงให้พวกข้านำบุ้นเหม็งกลับมา" เตียวเหลียงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปกล่าวแก่ทหารจิ๋นที่อยู่ี่เบื้องหลัง "เรามักเข้าใจกันว่าคนที่อยู่ในหมู่บ้านหรืออยู่ในเมืองเล็ก เป็นคนขาดความเจริญ เราชาวจิ๋นเห็นคนไทเป็นคนเถื่อนื เพราะบ้านเรือน เครื่องแต่งกายและอาหารของคนไทไม่ประณีตเหมือนของเราชาวจิ๋น แต่สูได้เห็นน้ำใจของคนเถื่อนเช่้นธงผาแล้ว ใครเล่าจะกล่าวว่าคนเถื่อนเช่นนี้น้ำใจต่ำกว่าเรา"
แล้วเตียวเหลียงก็กล่าวแก่่บุ้นเหม็งว่า "แม้โดยส่วนตัวสูจะมีเหตุให้เกลียดชังลิตงเจีย แต่บัดนี้สูกลายเป็นคนทรยศเสียแล้ว ผู้เป็นศัตรูกันอาจให้อภัยกันได้ อาจจะเป็นเพื่อนกันภายหลังก็ได้ แต่ความผิดของคนทรยศนั้นอภัยกันไม่ได้ และร้ายแรงนักในยามศึก" แล้วเตียวเหลียงให้ทหารนำบุ้นเหม็งไปฆ่าเสีย มิให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป และให้เป็งหยงดูแลเด็กไทแทน
รุ่งขึ้นเตียวเหลียงให้เป็งหยงนำเด็กไทมอบให้แก่ฝ่ายไท เด็กไททั้งปวงแต่ละคนก็อำลาเตียวเหลียง คนสุดท้ายที่มาหาเดียวเหลียงคือพันน้อยที่คุ้นเคยกับเตียวเหลียงมาก พันน้อยกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า "เราจะแยกกันที่นี่หรือ เหตุใดสูไม่กลับไปกับเรา" เตียวเหลียงกล่าวแก่เด็กพันน้อยว่า "ข้าไปกับสูไม่ได้ สูกับข้าจะต้องแยกกันที่นี่" เด็กพันน้อยก็น้ำตาไหล และถามเตียวเหลียงว่า "แล้วเมื่อใดสูจะกลับมาเมืองลืออีก สูจะไม่มาหาข้าอีกหรือ" เตียวเหลียงได้แต่ก้มหน้าอยู่ ไม่รู้จะตอบเด็กพันน้อยว่าอย่างไร ในที่สุดเขาบอกเป็งหยงให้นำเด็กทั้งหมดข้ามลำน้ำไป แต่เมื่อพันน้อยไปถึงชายน้ำ เขาวิ่งกลับมาที่เตียงเหลียงและพูดว่า "ข้าอยากได้ของของสูไว้เพื่อคิดถึงสู เมื่อสูกลับมาข้าจะคือให้" เตียวเหลียงก็ถอดผ้าคาดเอวของตนออกมาคาดให้แก่พันน้อยแล้วสองคนก็จากกัน
เมื่อมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของลำน้ำลู แล้วเป็งหยงก็มอบเด็กทั้งหมดให้ธงผา ธงผาแก้มัดพวกเชลยจิ๋น และกล่าวแต่ลิตงเจียว่า สูอย่ากลับมาให้เราจับมัดได้อีก เพราะเราจะไม่ไว้ชีวิตอีกต่อไป" ลิตงเจียได้ฟังก็โกรธและกล่าวว่า " คนไทนั้นดีแต่ลอบทำร้าย เราจะกลับมาฆ่าเสียให้สิ้นในเร็ววันนี้"
ธงผากล่าวว่า "เมื่อสูคิดว่าคนไทดีแต่ลอบทำร้ายก็จงยกทัพมารบที่ทุ่งลาดขวัญเหมือนยี่สิบปีก่อน หากสูมาช้า ข้าจะส่งผ้าซิ่นของนางบุญฉวีไปให้" แล้วธงผาเงื้อดาบขึ้นแล้วกล่าวว่า "จงไปให้พ้นข้าเดี๋ยวนี้" ลิตงเจียถอยออกมาและรับคำท้าว่า "คนไทจงมาที่ทุ่งลาดขวัญเถิด" แล้วลิตงเจียก็ข้ามลำน้ำไป

๑๗...

เมื่อธงผาเดินทางกลับมาสู่แคว้นลือ พร้อมกับเด็กไทแล้ว จึงแจ้งให้บุญปันทราบว่าลิตงเจียรับคำท้า ครั้นได้เวลาบุญปันก็เดินทัพมุ่งไปยังทุ่งลาดขวัญ ฝ่ายลิตงเจียก็นำทหารตรงไปยังเมืองหน้าด่านซุยเยน และเลยไปยังเมืองกังไส และแจ้งแก่กุยเยียนเจ้าเมืองว่้า "ข้าไว้ใจคนไทมากเกินไปจึงเสียที จงให้ข้ายืมอาวุธสำหรับทหารข้าจะไปตีแคว้นลือคืนมา" กุยเยียนกล่าวว่า "สูเข้าไปในเมืองหลวงขอกำลังเพิ่มเติมจากลิบุ๋นพี่ชายมาด้วยจะมิดีกว่าหรือ"
ลิตงเจียตวาดกุยเยียนว่า "สูจะรู้การศึกก็หาไม่ หากข้าเข้าไปเมืองหลวง นอกจากข้าจะได้อายแล้ว ฝ่ายไทจะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น เวลานี้คนไทเพิ่งได้อาวุธไปจากเรา จะมีเวลาฝึกซ้อมการใช้อาวุธก็แต่น้อย ส่วนคนของข้ากำลังโกรธแค้นคนไท ข้าจึงต้องรีบน้ำทัพไปปราบคนไทเสียโดยเร็ว ข้าเป็นน้องของผู้สำเร็จราาชการของจิ๋น สูจะไม่ยำเกรงบ้างหรือ"
เมื่อลิตงเจียพูดเช่นนั้น กุยเยียนก็มอบอาวุธให้แก่ลิตงเจียและจัดเสบียงให้แล้วลิตงเจียก็นำทัพข้ามช่องเขาจินไต และมุ่งไปยังทุ่งลาดขวัญทันที ครั้นถึงก็ได้เห็นทัพไทตั้งค่ายรออยู่แล้ว ทหารจิ๋นซึ่งพูดจาเก่งกล้ามาตลอดทาง ได้เห็นเช่นนั้นความฮึกเหิมก็ลดลง
ลิตงเจียเห็นทหารของตนเงียบเหงาลง เย็นวันนั้นจึงเรียกประชุมทหารจิ๋นทั้งปวง และกล่าวว่า "ชาติจิ๋นของเรากว้างใหญ่มีอำนาจแผ่ไปทั้งเจ็ดแม่น้ำ ปกครองมนุษย์ในดินแดนเจ็ดภาษา คำว่้า "จิ๋น" สูงกว่้าคำอื่นในภาษาทั้งปวงของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้แล้ว ทหารจิ๋นคนใดกลัวคนไทที่อยู่กระท่อม ทหารคนนั้นไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าจิ๋น จงจำไว้ว่าแม้คนไทที่มีฝีมือจะมีอยู่บ้างในการสู้รบ ตัวต่อตัวแต่ทัพไทไม่เคยได้เห็นหลังคาเมืองหลวงของเรา แต่ทัพของเรานั้นมาปกครองอยู่กลางแผ่นดินไทยยี่สิบปีแล้ว หากจะไม่กล่าวถึงในยุคก่อนๆ ที่จิ๋นเคยบุกเข้ามาในแดนไทอยู่บ่อยๆ อนึ่งเล่ามี่ที่ทุ่งลาดขวัญนี้ เมื่อยี่สิบปีก่อนทหารไทตายด้วยมือของจิ๋นจนไม่มีเหลือ กลับไปบอกข่าวแพ้แก่บุตรภรรยาเลย ในทุ่งนี้หญ้าเคยขึ้นสูงเพราะเลือดคนไท คราวนี้หญ้าจะสูงขึ้นไปอีก เพราะทัพใหม่ของคนไท ข้าเลือกทึ่งลาดขวัญเป็นที่รบ เพราะว่าคนไทเคยแพ้จิ๋นมาแล้วอย่างยับเยินในทุ่งนี้"
แล้วลิตงเจียจึงให้ทหารเลี้ยงดูกันเอิกเกริกเพื่อบำรุงขวัญสำหรับในวันรุ่งขึ้น และเมื่อบุญปันเห็นทัพลิตงเจียมาถึง เย็นวันนั้นเขาก็เรียกคนทั้งปวงมาประชุมและกล่าว่า "ลิตงเจียเลือกทุ่งลาดขวัญ เพื่อตัดสิันการศึกระหว่างเขากับเรา เพราะว่าที่ทุ่งนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน ฝ่ายไทพ่ายต่อจิ๋นอย่างย่อยยับ และเป็นการพ่ายครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายเราต้องเป็นเมืองขึ้นของจิ๋น ทหารไทครั้งนั้น ซึ่งเป็นญาติ เป็นพ่อและเป็นสหายของเราไม่ได้กลับไปแจ้งข่าวแพ้แก่ครอบครัวเลย เพราะว่าทุกคนต่อสู้โดยไม่ยอมหันหลังให้ข้าศึก ทุกคนตายในทุ่งนี้ดยมิยอมให้มีบาดแผลจากเบื้องหลัง ชาวจิ๋นแม้จะชนะแต่ก็กลัวน้ำใจคนไทอยู่ ด้วยเหตุนี้ขอให้พวกเราอย่าคิดถึงความพ่ายแพ้ครั้นนั้น แต่จงคิดถึงความกล้าหาญของคนไทรุ่นก่อน และที่เราแพ้ครั้งนั้น เพราะฝ่ายจิ๋นมีแม่ทัพซึ่งมีปัญญาเลิศ คือจูโกเหลียง แต่ครั้งนี้แม่ทัพของจิ๋นคือลิตงเจียที่เราจับได้แล้วปล่อยตัวไป พวกเราอย่าได้เกรงกลัวคนเช่นนี้"
แต่มีชาวไทไม่น้อยที่ยังเกรงกลัวทัพจิ๋นอยู่ เพราะเมื่อยี่สิบปีก่อนได้เคยแพ้มาแล้วอย่างยับเยิน รุ่งขึ้นลิตงเจียให้ทหารนำแพรแดงขึ้นปักหน้าค่ายเป็นสัญญา่ณท้ารบ และนำทหารมุ่งมายังค่ายของบุญปัน บุญปันนำคนไทออกจากค่าย ทัพทั้งสองเข้าประจัญบานกัน ฝ่ายจิ๋นรบเพื่อจะเข้าครองแคว้นลือต่อไป ฝ่ายลือรบเพื่อจะได้ปกครองกันเอง มิให้ต่างชาติเข้ามาเป็นนาย ทั้งสองทัพผลัดกันลุกผลัดกันถอยจนเย็นไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ พอดีเกิดพายุและฝนตกใหญ่ อากาศมืดมองกันไม่เห็น จึงเลิกการสู้รบกันไป
ลิตงเจีย เมื่อกลับเข้าค่ายก็มีความวิตกเพราะว่าเอาชนะฝ่ายไทไม่ได้ จึงให้ทหารไปบอกเตียวเหลียงว่า ขอเชิญมาปรึกษาการศึก เมื่อทหารกลับไปแล้วเตียวลกเอ่ยกับพี่ชายว่า "แต่ก่อนสูจะพูดสิ่งใดลิตงเจียก็มิเชื่อฟัง เหตุใดบัดนี้ ลิตงเจียจึงเปลี่ยนไปเล่า"
เตียวเหลียงกล่าว่า "คนบางคนเมื่อมั่นคงอยู่ในอำนาจจะผยองยิ่งนัก แต่เมื่อลำบากเข้าที่คับขันจะเชื่องยิ่งกว่าสัตว์ทั้งปวง แต่ก่อนลิตงเจียอยู่ในอำนาจที่มั่นคงจึงไม่ฟังข้า แต่เวลานี้ลิตงเจียรู้ว่าตนกำลังอยู่ในเคราะห์ จึงได้เชิญข้าไปปรึกษา" เตียวลกกล่าวว่า "ลิตงเจียชนะศึกครั้งนี้ก็จะผยองขึ้นมาอีก พี่จะได้ความชอบจากคนเช่นนี้หรือ"
เตียวเหลียง "เป็นกรรมของเราที่มาอยู่ใต้อำนาจของคนเช่นลิตงเจีย ข้ารู้อยู่ว่าในการศึกครั้งนี้ ไม่ว่าจิ๋นจะแพ้หรือชนะก็ตาม ลิตงเจียจะไม่ขอบข้าตลอดไป แต่เมื่อเรากินเบี้ยหวัดแผ่นดิน เราจะเอาความเกลียดชังส่วนตัวมาใช้ในงานแผ่นดินมิได้ อนึ่งเล่าคนไทเวลานี้ฉลาดในการศึก ลำพังลิตงเจียจะเอาชนะบุญปันไม่ได้ และถ้าลิตงเจียแพ้ ถ้าเราไม่ตายกันที่นี่ เราอาจจะไปตายที่เมืองหลวง เพราะลิบุ๋นพี่ชายของลิตงเจีย"
แล้วเตียวเหลียงก็ไปหาลิตงเจียและถามว่า "แม่ทัพมีการสิ่งใดหรือ" ลิตงเจียกล่าวว่า "ในการรบวันนี้ ทหารของเรามีจำนวนมากกว่าฝ่ายข้าศึกเท่าตัยว แต่ไม่อาจเอาชนะได้ และทหารเสียขวัญอยู่ พรุ่งนี้เราจะทำประการใด" เตียวเหลียงกล่าวว่า "พรุ่งนี้เราควรจะชนะข้าศึกได้ หากเราเอากลอุบายเข้าช่วยกำลังอันเหนือกว่าของเรา" ลิตงเจียโกรธ และกล่าวว่า "เตียวเหลียง สูพูดง่ายนัก จะทำให้เหมือนพูดได้หรือไม่"
เตียวเหลียงกล่าวว่า "ถึงแม้ทหารของเราจะมากกว่าฝ่ายไท แต่ในการรบวันนี้เรามิได้ใช้จำนวนที่เราได้เปรียบให้เป็นประโยชน์ พรุ่งนี้แม่ทัพจงให้ทหารข้าครึ่งหนึ่ง ข้าจะทำให้สูชนะข้าศึกได้" ลิตงเจียโกรธยิ่งขึ้น และกล่าวว่า "วันนี้ทหารทั้งหมดออกรบยังไม่ชนะฝ่ายไท พรุ่งนี้สูจะเอาทหารเพียงครึ่งหนึ่ง สูต้องการให้เราแพ้เร็วขึ้นหรือ" เตียวเหลียงกล่าวว่า "หากข้าไม่ทำให้สูชนะข้าศึกได้ ก็จงลงโทษข้าไปตามกฎการศึกเถิด"
ลิตงเจียตกลง ครั้นรุ่งเช้าเตียวเหลียงคัดเลือกทหารที่ว่องไวและอดทนในการรบ ออกตั้งขบวนในสนามและให้ขยายแนวกว้าง บุญปันเมื่อรู้ว่าทัพจิ๋นออกมาอีกก็กล่าวแก่กุมภวาว่า "วันนี้ข้าจะนำทัพออกไปอีก ขอให้สูรักษาค่าย ที่ข้าไม่อยากให้สูออกรบนั้น เพราะสูมีค่ามากสำหรับแคว้นลือและแคว้นไททั่วไว ข้าไม่ต้องการให้สูมีอันตรายในการรบ" กุมภวาไม่อาจขัดขืนได้ ก็อยู่รักษาค่ายพร้อมด้วยธงผา จันเสนกับทหารอีกเล็กน้อย บุญปันนำทัพออกสู่สนามและเมื่อกองทัพทั้งสองประชิดกัน บุญปันพุ่งหอกไปข้างหน้าเป็นสัญญาณให้ประจัญบาน ทหารไทลือก็เข้าสู้รับกับทัพของเตียวเหลียง
ทหารจิ๋นนั้น เตียวเหลียงคัดเลือกมาแล้ว จึงล้วนแต่ความสามารถพอจะยันทัพของไทได้ คู่ศึกรบกันอยู่จนบ่าย บุญปันเห็นทหารของตนไม่สามารถจะเอาชนะได้ก็ขับม้าบุกเข้ัาไปในหมู่ทหาร และร้องบอกทหารของตนว่า "ชาวไททั้งหลาย จงตามมาเถิด" และบุญปันไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นล้มตายเป็นอันมาก ทหารไทเมื่อเห็นแม่ทัพของตนบุกเข้าไปในหมู่ทหารจิ๋น ก็บุกตามเข้าไปทหารจิ๋นเห็นเหลือกำลังก็หันหลังหนี เตียวเหลียงซึ่งขี่ม้าสู้รบอยู่กลางแนวเห็นปีกซ้ายของตนหันหลังก็รีบขับม้าไปเพื่อควบคุม และเห็นลิวฉุยวิ่งหนีนำหน้าทหารอื่นอยู่ เตียวเหลียงก็ร้องบอกว่า "ลิวฉุยเอย ข้าเคยเห็นสูเก่งกล้าอยู่ในเมืองลือ ครั้งนั้นคนไทไม่ถืออาวุธ สูฆ่าฟันเขาเล่นตามใจชอบ และครั้งหนึ่งสูเคยโยนลูกตุ้มเหล็กขู่บุญปันที่เมืองเชียงแส บัดนี้เขาถืออาวุธมาโน่นแล้ว ความกล้ากลายเป็นความกลัวเสียแล้วหรือ" แต่ลิวฉุยยังคงนำหน้าทหารหนีจากแนวของทหารไทอยู่ดังเดิม
เตียวเหลียงจึงเข้าไปขวางหน้าลิวฉุยไว้ ลิวฉุยเงื้อดาบฟันเตียวเหลียงยกดาบรับและฟันลิวฉุยคอขาด แล้วเตียวเหลียงโยนศีรษะลิวฉุยไปยัังหมู่หทารจิ๋นและร้องบอกว่า "ผู้ใดกลัวว่าจะตายเพราะดาบคนไท จะต้องตายเพราะดาบของข้า" ทหารจิ๋นต่างก็กลัวเตียวเหลียง จึงพากันหันกลับสู้กับทหารไทต่อไป ส่วนเตียวเหลียงนั้นขับม้าสู้กับทหารไทไปบ้าง และสั่งการรบไปบ้าง
บุญปันเห็นเช่นนั้นก็กล่าวกับกุฉินว่า "สูจงดูเตียวเหลียงเถิด ชาวจิ๋นผู้นี้มีฝีมือยิ่งนัก ขณะที่เขาใช้ดาบอยู่ เขาก็สั่งการรบได้เสมือนเขายืนอยู่นอกสนาม แนวรบของเขาที่ใดอ่อน เขาก็เข้าไปช่วยได้ทุกแห่ง หากคนมีฝีมือเช่นนี้เป็นคู่ศึกของไท ไทจะลำบากยิ่งนัก" กุฉินกล่าวว่า "ข้าจะไปฆ่าเตียวเหลียงเสียให้ได้ เพื่อสูจะได้ไม่ต้องหนักใจต่อไป" กุฉินก็เลี่ยงจากการสู้รบกับทหารจิ๋นคนอื่นๆ และมุ่งจะไปให้ถึงเตียวเหลียง ในมือขวากุฉินถือดาบรับอาวุธทหารจิ๋น ในซ้ายถือหอกหมายจะฆ่าเตียวเหลียงให้ได้
ขณะนั้นลำพูนกำลังสู้รบกับทหารจิ๋น เมื่อเห็นกุฉินผ่านมาและพยายามเลี่ยงทหารจิ๋นอื่นๆ ลำพูนจึงร้องถามไปว่า "กุฉินสูไม่พอใจจะรบกับทหารจิ๋นเหล่านี้หรือ จึงเลี่ยงไปเสีย" กุฉินตอบว่า "ข้าอาสาบุญปันว่าจะไปฆ่าเตียวเหลียงให้ได้" ลำพูนกล่าวว่า "ข้าได้เห็นเตียวเหลียงแล้ว เขาใช้ดาบได้เร็วเหลือเกินืและข้าเป็นเป็งหยงทหารเอกจิ๋นอีกผู้หนึ่งคอยระวังภัยให้เตียวเหลียงอยู่ ข้าจะตามไปช่วย" แล้วลำพูนก็เลี่ยงจากทหารจิ๋นคนอื่นๆ และมุ่งตรงไปยังเตียวเหลียง
ฝ่ายเป็งหยง เมื่อเห็นลำพูนกับกุฉินหลบจิ๋นคนอื่นๆ และตรงมาทางเตีียวเหลียง จึงกล่าวว่า "เตียวเหลียง สูได้เห็นฮวนสองคนนั้นหรือไม่ คนหนึ่งคือกุฉินที่เคยหลบธนูของลิตงเจียไปได้ เมื่อครั้งลิตงเจียเอาคนไทไปยิงเล่นในค่าย อีกคนหนึ่งคือ ลำพูนพี่ชายของนางบัวคำที่หนีลิตงเจียลงในเตาไฟ ฮวนสองคนนี้ ข้าเห็นไม่สนใจทหารจิ๋นคนอื่นเลย มองมาแต่ทางสู ข้าว่าเขาจะมาทำร้ายสูเป็นแน่ จงระวังตัวไว้" เตียวเหลียงกล่้าวว่า "เป็งหยงเอย ไม่มีใครจะเลี่ยงชะตาของตนได้ แต่ในวันนี้ข้าคงยังไม่้ต้องรับเคราะห์แทนลิตงเจีย"
ทันใดนั้นกุฉินก็พุ่งหอกมา เตียวเหลียงชักม้าหลบแต่หอกถูกม้าล้มลง กุฉินวิ่งเข้าฟันเตียวเหลียง เตียวเหลียงก็หลบอีก แล้วทั้งสองเข้าต่อสู้กัน ลำพูนจะเข้าช่วยกุฉิน เป็งหยงก็เข้าขัดขวางไว้ ทันใดนั้นทหารจิ๋นกรูเข้ามารุมลำพูนและกุฉิน คนไททั้งสองเห็นเหลือกำลังก็ถอยออกมา และร้องบอกให้คนไทอื่นๆ เข้าช่วย ฝ่ายจิ๋นและไทรบกันต่อไปจนกระทั่งถึงเย็น เตียวเหลียงเห็นว่าทั้งสองฝ่ายอิดโรย ก็บอกแก่เป็งหยงว่า "เป็งหยง สูรีบขับม้าไปบอกลิตงเจียว่าให้เตรียมทัพม้าไว้ เมื่อเห็นทัพข้าถอยกลับเมื่อใดให้ลิตงเจียนำทัพม้าโจมตีข้าศึก แต่อย่ามาเวลานี้ เพราะว่าทัพไทยังคุมกันเป็นขบวนอยู่ ต่อเมื่อต่างถอยกลับกันแล้วจึงโจมตี"
เป็งหยงก็ขับม้าไปแจ้งแก่ลิตงเจีย เตียวเหลียงนั้นก็ขับม้าไปทางบุญปัน และร้องบอกว่า "เรารบกัันใต้แสงอาทิตย์แล้ว จะรบกันใต้แสงจันทร์อีกหรือ ข้าจะนำทหารเข้าค่ายแล้ว พรุ่งนี้จงมาพบกันใหม่" แล้วเตียวเหลียงให้ทหารถอยทัพ โดยมิได้เป็นขบวนฝ่ายบุญปันเห็นทหารของตนอิดโรยแล้วก็ไม่ติดตามไป แต่ให้เดินทัพกลับ และฝ่ายไทมิได้ระวังตัว ด้วยนึกว่้าหมดการรบในเย็นวันนั้นแล้ว จึงเดินทัพกลับมิเป็นขบวนเช่นเดียวกับฝ่ายจิ๋น เตียวเหลียงนั้นให้ทัพของตนรีบกลับโดยเร็ว
ครั้นลิตงเจียทัพราบถอยออกมาแล้ว ก็นำทัพม้าตามทัพไทไป เมื่อทันก็เข้าโจมตีื บุญปันเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวแก่ลำพูนกับกุฉินว่า "เราเสียอุบายแก่ทัพจิ๋นแล้ว เตียวเหลียงสามารถเอาทหารจำนวนน้อยมารบกับเราให้ดูเหมือนว่าเป็นทหารทั้งกองทัพ และซ่อนทหารที่เหลีือไว้โจมตีเรา ขอให้เราสู้จนลมหายใจสุดท้าย เพราะว่ากุมภวาที่รักษาค่ายอยู่ไม่มีทหารจะมาช่วยเราได้ ถ้าเรานำทหารกลับเข้าค่ายครั้งนี้ไม่ได้ ไทจะเป็นทาสของจิ๋นอีก"
แล้วทั้งสามก็นำทหารเข้าสู้รบทหารจิ๋นต่อไป แต่คนไทรบกับทัพราบของเตียวเหลียงมาตลอดวันแล้ว ก็อ่อนกำลังมิอาจจะสู้กับทหารของลิตงเจียได้ ต้องสู้พลางถอยพลางเพื่อจะไปให้ถึงค่าย ส่วนลิตงเจียก็ให้ซิหลงกับเปาบุ้นนำทหารม้าสามร้อยไปขวางหน้าค่ายของฝ่ายไทไว้ แล้วนำทัพม้าที่เหลือผลัดเข้าโจมตีทัพไท และฆ่าฟันชาวไทล้มตายเป็นอันมาก แต่ทัพไทก็ยังสู้อยู่ ลิตงเจียเห็นเช่นนั้นก็ให้ทหารร้องบอกไปว่้า "คนไทเสียอุบายเราแล้ว สู้ไปจะตายเปล่า ทหารจิ๋นล้อมค่ายของสูไว้แล้ว"
ทหารไทเมื่อได้ยินเช่นนั้นน้ำใจก็ลดลง บุญปันเห็นทหารของตนเริ่มจะเสียขวัญก็ร้องประกาศว่า "พี่น้องทั้งหลาย ความเป็นทาสนั้น สูได้รู้จักแล้ว สูจะทนต่อไปได้อีกหรือ ถ้าคราวนี้เราจะตาย เราจะตายอย่างเป็นไท สูจะเลือกเอาอย่างไร" แล้วบุญปันก็นำทหารเข้าสู้รบกับทหารจิ๋นต่อไป
ฝ่ายกุมภวาเมื่อเห็นทหารม้าของจิ๋นมาขวางหน้าค่าย ก็ให้ทหารเตรียมป้องกันค่ายไว้ กุมภวามองไปเบื้องหน้าเห็นทหารม้าวิ่งขวักไขว่้ล้อมทัพของบญปันอยู่ ก็กล่าวแก่จันเสนว่า "ทัพของบุญปันเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว หากเราจะนำทหารออกไปช่วย ค่ายนี้ก็จะขาดคนป้องกัน หากจะไม่ช่วยเสียเลย ทัพของบุญปันก็จะคิดว่าค่ายนี้เสียทีแก่กองม้าของจิ๋นเช่นกัน ข้าจะออกไปช่วยบุญปัน" จันเสนห้ามกุมภวาไว้และกล่าวว่า "สูเป็นแม่ทัพเสมองด้วยบุญปัน สูจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเหมือนทหารทั่วไปนั้นไม่ควร ให้ข้าไปแทนเถิด" กุมภวากล่าวว่า "สูกล่าวก็ถูกต้องอยู่ แต่ถ้าการเสี่ยงจะช่วยเปลี่ยนกระแสการรบได้ แม่ทัพก็ไม่ควรจะอยู่เฉย สูอย่าห้ามข้าเลย ผู้ใดจะอาสาไปกับข้าบ้าง"
ทหารทั้งปวงก็อาสา กุมภวาจึงกล่าวแก่จันเสนและธงผาว่า "สูมีฝีมือที่ทหารจิ๋นเกรงกลัวอยู่ จงออกไปกับข้าเถิด" แล้วทั้งสามคนก็ขี่ม้าออกมานอกค่ายพร้อมกับทหารห้าสิบคน ซิหลงเห็นจันเสน ธงผา และกุมภวา ก็จำได้ดีจึงกล่าวแก่เปาบุ้นว่้า "ฮวนทั้งสามคนนี้เคยจับข้า ข้ายังแค้นใจอยู่ คราวนี้เราจงช่วยกันฆ่าเสียให้ได้" แล้วซิหลงก็ให้ทหารล้อมคนไทไว้ กุมภวาเข้ารบกับซิหลง จันเสนรบกับทหารจิ๋นอีกสองคน ส่วนธงผาเข้ารบกับเปาบุ้น เปาบุ้นเสียที่ถูกธงผาฟันตกม้าตาย ซิหลงเห็นเพื่อนตายก็ใจเสียชักม้าหนี กุมภวามิได้ตามไป ธงผาจึงถามว่า "สูอาจจะตามฆ่าจิ๋นคนนั้นเสียก็ได้ เหตุใดจึงไม่ตามไปเล่า" กุมภวาตอบว่า "สูจงทำอย่างข้าเถิด แล้วเราจะผ่านทหารจิ๋นเหล่านี้ไปได้โดยง่าย"
ทหารจิ๋นยังคงล้อมกุมภวาและธงผาและจันเสนไว้ ชาวไททั้งสามมีฝีมือเข้มแข็งก็มิกล้าเข้าใกล้ และเมื่อคนไททั้งสามขับม้าตรงเข้ารบกับทหารจิ๋นคนใดคนนั้นก็ถูกฟันตาย แต่เมื่อคนใดชักม้าหนี คนไททั้งสามก็มิได้ติดตาม ปล่อยให้หนีไปโดยดี ทหารจิ๋นกลัวฝีมือคนไททั้งสามอยู่และเห็นว่าการสู้จะทำให้ตัวตายได้ง่าย แต่การถอยหนีจะทำให้รอดตายได้แน่นอน ดังนั้น เมื่อคนไททั้งสามขับม้าเงื้อดาบเข้ามา ทหารจิ๋นก็ชักม้าหลีกทางให้สิ้น คนไททั้งสามกับพวกที่ตามมาจึงฝ่าทหารจิ๋นไปได้
เมื่อถึงทัพของบุญปัน ทั้งสามคนกับพวกก็เข้าช่วยรบทหารจิ๋น บุญปันเห็นกุมภวาก็ถามว่า "ค่ายของเราถูกทหารจิ๋นล้อมไว้หรือ" กุมภวาตอบว่า "ค่ายของเรายังปกติดีื ทหารจิ๋นยกไปหน้าค่ายราวสามร้อยเท่านั้น ไม่อาจยึดค่ายเราได้ เมื่อข่าวนี้กระจายทั่วไปในทัพไท ทหารไทก็มีใจสู้รบยิ่งขึ้น แต่ทหารจิ๋นยังผลัดกันเข้าโจมตีฆ่าฟันทหารไทตายไปเรื่อยๆ ถึงแม้ฝ่ายจิ๋นจะเสียชีวิตไปมาก ฝ่ายไทก็ยังเสียเปรียบอยู่
ครั้นตะวันใกล้จะตกติน ทหารจิ๋นกองหนึ่งพุ่งเข้ามาทางบุญปัน บุญปันนำหน้าทหารไทต้านไว้ จิ๋นคนหนึ่งพุ่งทวนมาปักที่ตะโพกบุญปัน ทหารไทเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปจะดึงทวนนั้นออก บุญปันร้องบอกว่า "ข้าจะตายหรือจะอยู่นั้นก็มีชีวิืตเดียว แต่ชาติไทจะต้องเป็นไทตลอดไป ทุกคนจงช่วยกันขับไล่ศัตรูของเราไปให้ได้ มิฉะนั้น ข้าจะไม่ยอมให้ใครดึงทวนนี้ออก" แล้วบุญปันสู้รบทหารจิ๋นต่อไปทั้งที่ทวนยังปักตะโพกอยู่
ทหารไทเห็นแม่ทัพของตนมีน้ำใจเข้มแข็งเช่นนั้น ก็ลืมความเหนื่อยและความตาย และทุกคนยันทหารจิ๋นไว้ได้รอบด้าน ทหารจิ๋นเข้าโจมตีครั้งใดก็ล้มตายเป็นอันมาก ครั้นตกมืด ลิตงเจียเห็นว่าไม่อาจจะทำลายทัพไทได้แล้ว จึงให้ทหารถอยกลับ ทัพไทก็ถอยกลับเข้าค่ายได้

๑๘...

เมื่อเข้าค่ายแล้ว กุมภวาได้ให้หมอทำบาดแผลให้บุญปัน บุญปันจึงกล่้าวว่า "เมื่อข้ายังปกติอยู่ สูไม่ยอมรับเป็นแม่ทัพ บัดนี้ข้าป่วยแล้วไม่สามารถจะออกศึกได้ื สูจงสั่งทัพแทนข้าเถิด แต่ระวังเตียวเหลียงให้จงดีเพราะจิ๋นคนนี้มีฝีมือนัก ระหว่างต่อสู้กับคนของเราอยู่ ข้าเห็นเขาสั่งการทัพได้อย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีภัยอยู่ใกล้" กุมภวาก็รับงานแทนบุญปัน และกล่าวว่า "ที่จิ๋นได้เปรียบเราวันนี้ข้าเข้าใจว่้าเป็นด้วยความคิดของเตียวเหลียง ข้าจะได้แก้ไขต่อไป วันนี้เรามิได้เสียหายร้ายแรง"
แล้วกุมภวาก็ให้หมอพยาบาลบุญปันต่อไป ส่วนเขาออกมาให้คนเขียนจดหมายถึงลิตงเจียเป็นความว่า "ข้ากุมภวาถึงลิตงเจียแม่ทัพจิ๋น บัดนี้ข้าบัญชาทัพไทแทนบุญปัน สููจงออกมารบกับข้าจะด้วยกองทัพหรือจะต่อสู้กันระหว่างเราสองคนก็ไดด้ทั้งสิ้น ที่ฝ่ายเราเพลี้ยงพล้ำไปครั้งที่แล้ว จะใช่เพราะฝีมือของสูก็หาไม่ ข้ารู้อยู่ว่าเพราะความคิดของเตียวเหลียง ฉะนั้น หากสูคิดว่าตนสมแก่ตำแหน่งแม่ทัพก็จงออกมารบกับข้า แต่เพื่อที่เราจะได้ต่อสู้กันสะดวกขึ้น จงพักรบกันสามวันเพื่อแต่ละฝ่ายจะได้เก็บศพทหารไปประกอบพิธีแล้วจงออกรบกัน"
แล้วกุมภวาให้ทหารถือจดหมายไปยังค่ายทหารจิ๋น ลิตงเจียเมื่อได้ทราบข้อความในจดหมายก็มีความโกรธ และกล่าวแก่คนไทที่นำจดหมายมาว่า "หากสูถือหนังสือมีข้อความหมิ่นข้าเช่นนี้มาอีก สูจะไม่ได้กลับไป คราวนี้สูกลับไปบอกนายของสูได้ ที่ขอพักรบเพื่อเก็บศพทหารก็ดีแล้ว นายของสูจะได้มีชีิวิตไปอีกหลายวัน"
ทหารไทนำคำของลิตงเจียไปแจ้งแก่กุมภวา กุมภวาเมื่อรู้ว่าลิตงเจียตกลงพักรบเพื่อเก็บศพทหาร กุมภวาก็คัดเลือกคนไทที่พูดภาษาจิ๋นได้ไว้ร้อยสิบคนเพื่อออกไปเก็บศพในวันรุ่งขึ้น และกุมภวาสั่งชาวไทเหล่านั้นว่า "เมื่อออกไปค้นหาศพจงปนกับทหารจิ๋นที่ออกมา เมื่อได้โอกาสจงพูดกับทหารจิ๋นเหล่านั้นว่า ทัพจิ๋นควรจะชนะไท หากชาวจิ๋นได้เตียวเหลียงเป็นแม่ทัพแทนลิตงเจีย"
ชาวไทเหล่านั้นรับคำ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ออกไปเก็บศพ ฝ่ายทหารจิ๋นออกมาเก็บศพของฝ่ายตนเช่นเดียวกัน และในเวลาเช่นนั้น ฝ่ายจิ๋นก็เจรจากับฝ่ายไทบ้าง และฝ่ายไทเจรจากับฝ่ายจิ๋นบ้างตามวิสัยผู้มิใช่ศัตรูส่วนตัวต่อกัน และฝ่ายไทเมื่อมีโอกาสก็กล่าวยกย่องเตียวเหลียง และดูหมิ่นลิตงเจียดังที่กุมภวาสั่งมา เมื่อทหารจิ๋นกลับเข้าค่าย ทหารคนอื่นๆ ถามว่าคนไทพูดถึงทัพจิ๋นอย่างไรบ้าง คนเก็บศพก็เล่าให้ฟัง แล้วถ้อยคำที่ทหารไทกล่าวยกย่องเตียงเหลียงและดูหมิ่นลิตงเจียก็แพร่ไปในทัพจิ๋น ทหารสอดแนมภายในค่ายจึงนำความไปแจ้งแก่ลิตงเจีย ลิตงเจียก็เกลียดเตียวเหลียงหนักขึ้น แล้วลิตงเจียจึงเรียกเตียวเหลียงมา และกล่าวว่า "ในการรบคราวที่แล้ว ทัพไทเสียหายเป็นอันมาก คราวหน้านี้ข้าจะรบให้แตกหัก ให้สูคุมปีกซ้ายคอยยันทัพไทไว้เท่านั้น และข้าจะคุมปีกขวาโจมตีทัพไท สูอย่าถอยให้ข้าศึกเป็นอันขาด ข้าจะต้องเอาชนะให้ได้ ถ้าช้าไปเสบียงของเราจะไม่พอเลี้ยงทหาร"
เตียวเหลียงรับคำ ครั้นครบสามวันแล้วลิตงเจียก็จัดทหารให้เตียวเหลียงแปดพัน ซึ่งเป็นทหารอ่อนการรบทั้งสิ้น และให้เตียวลกกับเป็งหยงเป็นผู้ช่วยเตียวเหลียง ส่วนลิตงเจียนั้นเอาทหารไว้สิบแปดพันเป็นปีกขวาื เตียวเหลียงเห็นลิตงเจียกระทำดังนั้นก็กล่าวแก่เตียวลกว่า "ลิตงเจียจัดทหารให้ข้าเช่นนี้ เสมือนทำศึกกับข้า มิได้ทำศึกกับทัพไท" เตียวลกถามว่า "เพราะเหตุใด"
เตียวเหลียงกล่าวว่า "ปีกซ้ายนั้น ตามธรรมดาของการรบจะถูกโอบหลังได้ง่ายกว่าปีกขวาเสมอไป ลิตงเจียก็รู้อยู่ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ลิตงเจียยังให้ทหารที่อ่อนการรบแก่ข้า ทั้งจำนวนก็ไม่พอจะขยายแนวยันข้าศึกได้ แต่ถ้าลิตงเจียเอาชนะข้าศึกด้านตนไม่ได้ วันนี้ทัพจิ๋นจะถึงที่สุด" ฝ่ายกุมภวา เมื่อทำพิธีศพให้แก่ทหารที่เสียชีวิตแล้ว และครบกำหนดสามวันแล้วก็นำทัพออกจากค่าย กุมภวาเห็นธงของลิตงเจียอยู่ปีกขวา มีทัพม้าคุมอยู่ และธงของเตียวเหลียงอยู่ปีกซ้าย และเห็นทัพของเตียวเหลียงมีกำลังน้อย กุมภวาก็รู้ว่าลิตงเจียต้อวอุบายของตนแล้ว กุมภวาจึงกล่าวแก่ลำพูนว่า "สูจงนำทหารห้าพันยันทัพเตียวเหลียงไว้ ส่วนทหารอีกแปดพันข้าจะนำเข้ารบกลับลิตงเจีย"
ลำพูนก็นำทหารห้าพันเข้ายันทัพเตียวเหลียง และกุมภวากล่าวแก่ธงผาว่า "ข้าจะนำทหารสี่พันเข้าปะทะทัพของลิตงเจีย และจะทำเป็นแพ้ หากสูเห็นทัพม้าของลิตงเจียไล่ทัพของข้าไปไกล และทิ้งทัพหลวงไว้ก็จงเข้าตีด้านหลัง ข้าศึกจะไม่ทันแปรขบวนรับได้ เราชนะได้ในวันนี้" ธงผารับคำ แล้วกุมภวาก็ขับม้าไปหน้าทัพของตน ลิตงเจียก็ออกมาเช่นเดียวกัน แล้วกุมภวาร้องกล่าวแก่ลิตงเจียว่า "ลิตงเจียวันนี้ให้เราได้สู้กันเป็นวันสุึดท้ายเถิด"
แล้วกุมภวาก็ถอยออกมา และนำทหารเข้ายันทหารม้าของลิตงเจีย เมื่อรบกันได้พักใหญ่กุมภวาให้ทหารถอยหนีลิตงเจียไล่ตามไป เมื่อผ่านทัพใหญ่ของไท ซึ่งธงผาคุมอยู่ลิตงเจียหาเข้าโจมตีไ แต่ติดตามทัพน้อยของกุมภวาไป ธงผาเมื่อเห็นทัพหลวงของลิตงเจียไม่มีทหารม้าป้องกันก็นำทหารของตนเข้าโจมตีื ทัพหลวงของจิ๋นไม่ทันได้เตรียมตัว เพราะเข้าใจว่าฝ่ายตนมีชัยโดยเด็ดขาดแล้ว จึงแปรขบวนรับมิทันถูกทัพไทฆ่าตายเสียเป็นอันมาก ที่เหลือตายก็แตกหนีไปเพราะไม่มีนายทัพควบคุม
แล้วธงผาก็หันทัพตามไปโจมตีทัพของลิตงเจีย ฝ่ายกุมภวาก็นำทหารเข้าช่วยธงผา ทหารของลิตงเจียยังมากอยู่ ลิตงเจียร้องบอกทหารของตนว่า "พวกสูอย่ากลัวคนฮวน แม้ทัพหลวงของเราจะแตกไปแล้ว แต่จำนวนทหารของเรายังมากกว่าพวกฮวน"
แล้วทั้งสองฝ่ายก็รบกันต่อไป และขณะที่กุมภวารบติดพันอยู่กับทหารจิ๋น ลิตงเจียก็พุ่งม้าเข้าไปหมายจะฟันกุมภวาให้ตาย พอลิตงเจียเงื้อดาบขึ้น แผ่นดินเบื้องหน้าของเขาแยกออกและมีกะโหลกศีรษะคนผุดขึ้นมา ม้าของลิตงเจียหันตัวไปเสียข้างหนึ่ง กุฉินเห็นดังนั้นก็พุ่งม้าเข้าไป ร้องตวาดว่า "ลิตงเจียข้าจะตัดแขนของสูเสียให้ได้"
ลิตงเจียหันเข้าต่อสู้กับกุฉิน กุฉินเอาดาบฟันหมายแขนแม่ทัพจิ๋น แต่พลาดไปถูกบังเหียนม้าขาด ลิตงเจียตกจากหลังม้าทหารไทเข้าจับไว้ได้ ข่าวว่าลิตงเจียถูกฝ่ายไทจับได้ก็แพร่ไป ทหารจิ๋นก็มิเป็นอันสู้รบ ต่างแตกหนีไป ส่วนที่หนีไม่ทันก็วางอาวุธยอมจำนนกุมภวาให้ทหารนำลิตงเจียไปคุมไว้ แล้วนำขบวนทัพของตนเข้าไปยังทัพของจิ๋นที่เตียวเหลียงคุมอยู่
ขณะนั้นทัพของเตียวเหลียงกำลังต้านทานการโจมดีของทัพที่ลำพูนควบคุมอยู่ แต่บัดนี้คลื่นแล้วคลื่นอีกของทัพกุมภวา ได้เข้ามาโจมตีด้านข้างของเตียวเหลียงเข้าอีก เตียวเหลียงให้นายกองควบคุมไว้มิให้ทหารเสียขบวนหรือแตกตื่นเพราะถูกขนาบ แต่ว่าทหารในกองทัพของเตียวเหลียงนั้นขาดความชำนาญทั้งสิ้น ในไม่ช้าน้ำใจที่จะเชื่อฟังนายกองของตนก็เปลี่ยนเป็นความกลัวข้าศึก และการโจมตีของฝ่ายไทนั้นหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาดระยะทำให้ทหารจิ๋นเสียขวัญยิ่งขึ้น เมื่อจะเดินหน้าไปเผชิญข้าศึกก็เคลื่อนไปอย่างช้า แต่เมื่อถอยกลับมาก็จะทำด้วยความรีบร้อน ขบวนที่ตั้งไว้ก็เสียไปและเกิดระส่ำระสายทั่วไปทั้งกองทัพ ขบวนที่ตั้งไว้ก็เสียไปและเกิดระส่ำระสายทั่วไปทั้งกองทัพ คนของลำพูนและของกุมภวาบุกลึกเข้าไปในแนวต้านทานของเตียวเหลียง และก่อความหวาดกลัวและความตายทั้งซ้ายและขวา
ทัพของเตียวเหลียงแตกกระจายไป เตียวเหลียงขับม้าหนีพร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง และมีเตียวลกกับเป็งหยงตามไปด้วย กุมภวาเมื่อรู้ดังนั้นก็บอกจันเสน ธงผา และสีเภาว่า "เตียวเหลียงนี้หากมีชีวิตอยู่จะเป็นภัยแก่คนไทมาก เพราะเป็นคนฉลาดและรู้จักแคว้นไทดี สูจงตามจับให้ได้ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย หากเห็นรอยเท้าม้าแยกไปที่ใดก็จงแยกทหารตามไปทุกทาง" จันเสน ธงผาและสีเภา ก็นำทหารแยกย้ายติดตามเตียวเหลียงต่อไป ส่วนทหารไทที่เหลือก็ไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นตายเป็นอันมาก ที่ยอมแพ้ก็ถูกจับไปยังค่าย

๑๙...

เตียวเหลียงหนีมาจนถึงเวลาเย็น ก็ถึงทางสามแพร่งแห่งหนึ่ง แล้วเตียวเหลียงจึงให้ทหารขึ้นไปดูบนลูกเนิน แล้วทหารลงมาแจ้งว่าเห็นคนไทติดตามมา เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า "ที่สูติดตามข้ามานี้ ข้าเห็นใจอยู่ เพราะในยามยากไม่ควรจะทิ้งกัน แต่เวลานี้การรวมกันไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดแล้ว มีแต่ว่าข้าศึกจะติดตามได้ง่ายขึ้น อนึ่งเล่า ข้าศึกต้องการตัวข้ากับนายกองอื่นยิ่งกว่าตัวพวกสู ผู้ใดไปด้วยกับข้า ผู้นั้นจะเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่า เมื่อแยกไปจากข้า ด้วยเหตุนี้ พวกสูจงแยกไปเสียเถิด ผู้ใดเทพยดาคุ้มครองอยู่ก็คงจะกลับไปเมืองของเราได้"
แล้วเตียวเหลียงก็ให้ทหารแยกย้ายกันไป เตียวลกขอไปกับพี่ชายื เตียวเหลียงอนุญาตและเมื่อเป็งหยงเข้ามาลาเพื่อจะแยกทางไป เตียวเหลียงเห็นเสื้อของเป็งหยงมีโลหิตจึงกล่าวว่า "เป็งหยงสูบาดเจ็บและไม่แข็งแรงนัก จงไปกับข้าก่อนเถิด ข้าจะไม่ปล่อยให้่สูไปตามลำพังเวลานี้" แล้วเตียวเหลียงก็เอาเป็งหยงไว้ และมีทหารอีกห้าสิบคนขอตามเตียวเหลียงไปด้วย เตียวเหลียงก็อนุญาต แล้วเตียวเหลียง เตียวลก เป็งหยง กับทหารห้าสิบคนก็ขับม้าไปทางตะวันตก เมื่อถึงแม่น้ำสายหนึ่งเตียวเหลียงจึงพาทหารลุยข้ามไป และให้หยุดพักกินอาหาร ณ ริมน้ำนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว
ฝ่ายคนไทซึ่งติดตามมา เมื่อเห็นรอยเท้าม้าแยกกันที่ใด ก็แยกกันออกตามรอยเท้าม้านั้น สีเภาคุมทหารหนึ่งร้อยตามไปทางตะวันตก เมื่อถึงริมน้ำ สีเภาเห็นทหารจิ๋นกลุ่มหนึ่งกินอาหารอยู่ ณ อีกฟากหนึ่ง สีเภาก็นำพวกของเขาขับม้าลุยน้ำไป เตียวเหลียงเห็นดังนั้นก็ให้ทหารของตนยิงธนูกราดไป ถูกทหารไทบาดเจ็บหลายคน แต่ฝ่ายไทก็ยังจะข้ามลำน้ำมาให้ได้ และยิงโต้ตอบมาเตียวเหลียงจึงพาทหารของตนขี่ม้าหนีต่อไป สีเภาก็นำทหารติดตามคืนนั้นเดือนสว่าง เมื่อคนไทตามมาทันขบวนของเตียวเหลียง ฝ่ายไทก็เข้าฆ่าฟันฝ่ายจิ๋นตายไปหลายคน ส่วนที่เหลือแตกกระจายไปคนละทิศทาง เตียวเหลียง เตียวลก กับเป็งหยงหนีวกขึ้นทางเหนือ และหลบเข้าป่าไป
ครั้นเวลาสองยามคณะของเตียวเหลียงก็พ้นออกจากป่า และมาถึงทุ่งนาแห่งหนึ่งมีโรงนาเล็กโรงหนึ่งตั้งอยู่ ขณะนั้นอากาศเย็นจัด และลมพัดแรง เตียวเหลียงก็นำเตียวลกกับเป็งหยงเข้าพักในโรงนา แต่โรงนานั้นพอจะเข้าอาศัยได้สองคนเท่านั้น เตียวเหลียงให้เตียวลกกับเป็งหยงเข้าพักข้างใน เป็งหยงกับเตียวลกกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า "สูเป็นายของข้า จงเข้าไปพักข้างในเถิด ข้าจะอยู่ข้างนอกระวังอันตรายให้"
เตียวเหลียงตอบว่า "แม้ข้าจะเป็นหัวหน้าของสูในการงาน แต่เตียวลกเหน็ดเหนื่อยมาก ส่วนเป็งหยงเล่าก็บาดเจ็บ เพราะถูกธนู ถ้าอยู่ข้างนอกจะลำบาก จงเข้าไปพักเสียข้างในเถิด ข้าจะระวังภัยให้" แล้วเตียวเหลียงก็ให้คนทั้งสองเข้าไปนอนพักอยู่ข้างใน ตัวเขาเองออกมานั่งพิงประตูอยู่ข้างนอก และลมที่พัดมานั้นเย็นยิ่งนัก เตียวเหลียงไม่อาจจะหลับได้ ครั้นรุ่งเช้า ทั้งสามคนเดินทางต่อไป เป็งหยงนั้นอ่อนเพลียลง เตียวเหลียงกับเตียวลกต้องชะลอม้าไปข้างๆ ครั้นเที่ยงวันทั้งสามคนลงนั่งพักใต้ต้นไม้ ขณะนั้นเตียวเหลียงเห็นคนไทหมู่หนึ่งขับม้ามาจากทิศตะวันตก เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่เตียวลก และเป็งหยงว่า "เรารีบหนีกันต่อไปเถิด"
เป็งหยงไปขึ้นม้าและกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า "ถ้าข้าจะไปกับสู สูจะหนีคนไทไม่พ้น ข้าจะแยกจากสูที่นี่" แล้วเป็งหยงก็ลงแส้ม้าตรงเข้ารบกับทหารไท จนกระทั่งถูกฟันพับอยู่กับคอม้า เตียวเหลียงกับเตียวลกไม่อาจจะเข้าช่วยได้ ทั้งสองคนก็ขับม้าหนีต่อไป ครั้นตกเป็นสองพี่น้องมาถึงลูกเนินแห่งหนึ่งมีต้นไม้ปกคลุม เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่น้องของตนว่้า "ม้าอ่อนกำลังมากแล้ว เราจงพักกันบนยอดเนินนี้ก่อน"
แล้วสองพี่น้องก็ขึ้นไปบนยอดเนินนั้น เมื่อเตียวเหลียงลงจากหลังม้าและนั่งลงยังพื้นดินได้ครู่หนึ่งเขาร้องไห้ เตียวลกจึงถามว่า "พี่ร้องไห้เพราะเหตุใด" เตียวเหลียงกล่าว่า "ข้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เพราะเสียใจที่เป็งหยงต้องตายเพื่อช่วยเราทั้งสอง คนโบราณกล่าวไว้ว่าต่อหน้าภัยเราจะเห็นความชั่วที่คนชั่วซ่อนไว้ และเราจะเห็นความดีที่ยามปกติเราจะไม่ได้เห็น เป็งหยงเป็นคนดีที่หาได้ยากแล้วในแผ่นดินจิ๋น ข้าคิดถึงเขามาก จึงร้องไห้"
พอสองพี่น้องเตรียมจะขึ้นมาต่อไป สีเภาก็นำทหารไทยี่สิบคนควบม้ามาทางลูกเนินนั้น เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องว่า "ครั้งนี้เราจะหนีได้ยากแล้ว เพราะม้าอ่อนกำลังมาก แต่น้องจงพยายามเถิด" เมื่อสองพี่น้องขึ้นมาแล้ว เตียวลกจับม้าของพี่ชายไว้และกล่าวว่า "พี่เหลียง ในครอบครัวของเราที่โลยางยังมีน้องหญิงของเราอีกคนหนึ่ง หากเราตายเสียทั้งสองคนในแดนไทนี้จะไม่มีใครดูแลนาง เราจะต้องรอดไปให้ได้คนหนึ่ง" แล้วเตียวลกลงแส้ม้าของเตียวเหลียงให้วิ่งลงเนินอีกฟากหนึ่งไป ส่วนเตียววลกขับม้ามาทางสีเภาและร้องไปว่า "คนไทจะมาจับเตียวเหลียงหรือ"
สีเภาก็บอกให้ทหารล้อมเตียวลกไว้ แล้วสีเภากับพวกเข้ารับกับเตียวลก ชั่วครู่หนึ่ง เตียวลกทำดาบหลุดมือและร้องบอกสีเภาว่า "อย่าทำอันตรายข้า หากสูนำข้าไปยังแม่ทัพไท สูจะได้ชื่อว่า จับเตียวเหลียงได้" สีเภาก็กล่าวแก่คนของเขาว่า "กุมภวาอยากได้ตัวเตียวเหลียงยิ่งกว่าจิ๋นคนอื่นๆ เมื่อเราได้ตัวผู้นี้แล้ว ก็จงรีบนำไปให้กุมภวาเถิด" แล้วสีเภาก็นำเตียวลกเดินทางกลับ
เมื่อถึงค่ายที่ทุ่งลาดขวัญ สีเภาเข้าไปในกระโจมของกุมภวาและกล่าวว่้า "บัดนี้พวกเราจับเตียวเหลียงมาได้แล้ว" กุมภวาลุกขึ้นยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "แผ่นดินจิ๋นหมดคนดีเสียแล้วหรือ คนอย่างเตียวเหลียงจึงไม่อดสูใจ ยอมให้ถูกจับ" แล้วกุมภวาก็เดินออกมาดู เตียวลกก็เดินเข้ามาที่กุมภวาและกล่าวว่า "แม่ทัพไปเอย เวลานี้เตียวเหลียงจะหนีไปได้ไกลแล้ว สูอย่าคิดว่าจะจับเขาได้"
กุมภวาเห็นเชลยไม่ใช่เตียวเหลียง แต่มีลักษณะคล้ายกัน กุมภวาก็รู้ว่าเป็นเตียวลก จึงกล่าวขึ้นว่า "ข้ารู้ว่าสูคือเตียวลก น้องชายของเตียวเหลียง เหตุใดจึงให้ทหารของเราจับมาได้" เตียวลกตอบว่้า "ข้ายอมให้ทหารของสูจับมาเพื่อว่า เตียวเหลียงจะได้รอดไป สูไม่มีโอกาสจะจับเขาได้แล้ว"
กุมภวาก็ให้ทหารนำเตียวลกไปคุมไว้และเรียกสีเภามา แล้วกุมภวาก็กล่าวว่า "คนที่สูจับมาได้นั้นมิใช่เตียวเหลียง แต่เป็นเตียวลกน้องชายของเขา เตียวเหลียงคงจะหนีกลับไปแผ่นดินจิ๋นได้ แต่ถ้าจิ๋นผู้นี้นำทัพมาแดนไทอีก เราจะสู้รบลำบาก เราจะต้องหาทางกำจัดเตียวเหลียงต่อไป" สีเภาตอบว่า "มีหนทางอยู่แต่จะได้ผลหรือไม่ของให้แม่ทัพคิดดู"
แล้วสีเภาก็แจ้งอุบายแก่กุมภวา กุมภวาจึงกล่าวว่า "ข้าจะลองใช้อุบายนี้ ถ้าเป็นผล นอกจากเราจะกำจัดเตียวเหลียงได้แล้ว เรายังจะได้รู้ว่าลิบุ๋นผู้สำเร็จราชการของจิ๋นรักแซ่ของตนยิ่งกว่ารักคนดี การศึกของเราภายหน้าจะสะดวกขึ้น" แล้วกุมภวาก็เรียกผู้คุมที่คุมลิตงเจียและเตียวลกมาสั่งว่า "สูจงคุมสองคนนั้นไว้ในห้องใกล้เคียงกัน ให้มองเห็นกันได้ และจงดูแลเตียวลกให้ได้ความสบาย ส่วนลิตงเจียนั้น จงกระทำให้ได้ความอัปยศต่างๆ "
ผู้คุมก็กระทำตามที่กุมภวาสั่ง ต่อมาอีกสามวันกุมภวาให้เบิกคนทั้งสองมา และให้เตียวลกเข้ามาในห้อง ส่วนลิตงเจียนั้นให้อยู่ภายนอก แต่ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงภายในห้องได้ แล้วกุมภวาก็กล่าวแก่เตียวลกว่า "เตียวเหลียงพี่ชายของสูนั้น เห็นใจคนไทตลอดมา เรานึกถึงความดีของเตียวเหลียงในวันนี้เราจะปล่อยให้สูกลับไปโลยาง"
แล้วกุมภวาก็เรียกทหารมาสั่่งว่้า "จงนำเตียวลกไปให้ถึงช่องเขาจินไต เมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ปล่อยเขาไปได้" ทหารก็นำเตียวลกออกไปทำตามคำสั่งของกุมภวา แล้วกุมภวาให้ทหารนำลิตงเจียเข้ามา และกล่าวแก่ลิตงเจียว่า "สูทำกรรมไว้แก่คนไท พ้นชีวิตของสูไม่อาจจะล้างกรรมที่สูทำไว้ได้ ข้าจึงไม่อยากจะเห็นสูตายง่ายนัก แต่ถ้าจะไม่ทรมานสูเสียบ้าง ก็จะดูเหมือนว่าเรากลัวคนจิ๋น สูเคยถือว่าเทพยดาคุ้มครองแขนของสู และเอาพวกเราไปยิงเล่นตามใจชอบ สูเห็นพวกเราไม่ต่างไปจากพืชพันธุ์ไม้และสัตว์ในป่าของเรา เราจะตัดแขนขวาของสูเพื่อมิให้สูทะนงอีกต่อไป"
แล้วกุมภวาให้ทหารนำลิตงเจียไปตัดแขนขวา และเมื่อพยาบาลให้ดีแล้ว กุมภวาให้ทหารนำลิตงเจียไปปล่อยไว้ยังช่องเขาจินไตพร้อมกับเชลยจิ๋นอีกยี่สิบคน เพื่อให้เดินทางเข้าแดนจิ๋น

๒๐...

เตียวเหลียงเมื่อจำต้องแยกทางกับเตียวลกน้องชายแล้ว ก็ได้ขับม้าหนีต่อมาอีกสามวัน มิได้มีคนไทติดตามมาเลย ครั้นพอตกกลางคืน ทั้งม้าและคนอ่อนเพลียมาก ม้าเหยียบก้อนหินพลาพและ้ล้ม เตียวเหลียงตกจากม้า และเขาสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า เตียวเหลียงเห็นตนเองถูกชายสี่คนนั่งล้อมอยู่เขาจึงลุกขึ้นยืนและชักดาบออก แต่ชายเหล่้านั้นคนนั่งสงบอยู่ เตียวเหลียงจึงสอดดาบไว้ตามเดิม แล้วชายคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ากล่าวขึ้นว่า "เราไม่มีอาวุธ สูอย่าเกรงภัยแล้ว" เตียวเหลียงพิเคราะห์คนเหล่านั้น เห็นนุ่งผ้าย้อมฝากโกนศีรษะโล้นทุกคนและไม่มีอาวุธ เตียวเหลียงจึงนั่งลงและถามว่า "สูจับข้ามาจากที่ใด"
ชายที่นั่งข้างหน้าตอบว่า "ข้าเดินกลับจากไร่เห็นสูสลบอยู่ริมทางจึงนำตัวมา อากาศภายนอกเย็นจัด และสูคงอ่อนเพลียมากจึงเพิ่งรู้สึกตัว เรามิไ้ด้จับสูมา เมื่อสูปกติดีแล้ว จะเดินทางต่อไปหรือจะพักให้สบายเสียก่อนก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีภัย และไม่มีศัตรู" แล้วชายนั้นหาอาหารและน้ำมาให้เตียวเหลียง เตียวเหลียงแม้จะมิได้กินอาหารมาหลายวันแล้ว แต่ก็นั่งเฉยอยู่และกล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า "สูรู้หรือไม่ว่าสูให้ข้าวให้น้ำแก่ผู้ใด" ชายนั้นตอบว่า "ข้าให้ข้าวให้น้ำแก่คนจิ๋นที่หนีคนไทมา"
เตียวเหลียง "ชาวจิ๋นมิได้เป็นศัตรูแก่คนไททุกคนหรือ สูเป็นคนไท เหตุใดจึงไม่จับข้าส่งกุมภวาแม่ทัพไท" ชายนั้นตอบว่า "แม้ชาวจิ๋นจะร้ายต่อชาวไทมาก และพวกเราในที่นี้เป็นคนไท แต่เราในที่นี้จะถือผู้ใดเป็นศัตรูไม่ได้ และจะทำร้ายใครไม่ได้ ขอสูกินอาหารเถิด" เตียวเหลียงก็กินอาหารนั้น เมื่อกินเสร็จแล้วก็กล่าวแก่ชายนั้นว่า "ข้าจะอยู่นานไม่ได้ แต่ให้ข้าได้รู้จักสูไว้เพื่อจะระลึกถึงต่อไป" ชายนั้นตอบว่า "ข้าชื่อสีบุญ เป็นพี่ชายของกุมภวา"
เตียวเหลียงก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขากล่าวแก่สีบุญว่า "สูไม่ถือใครเป็นศัตรู แต่ข้านี้ไม่อาจถือเอาอำเภอใจของตนได้ในเรื่องของแผ่นดินจิ๋น เพราะข้ากินเบี้ยหวัดของบ้านเมือง หากข้าถูกส่งมารบในแคว้นไทอีก ข้าจะทำร้ายคนไทมากนัก" เตียวเหลียงก็ยื่นดาบของตนให้สีบุญ พร้อมกับกล่าวว่า "แม้สูจะได้ช่วยข้าไว้ แต่จงสังหารข้าเสียเถิด ข้าไม่ประสงค์จะให้ชีวิตของข้าเป็นหนี้สู"
สีบุญรับดาบนั้นมาแล้วกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า "ที่พวกเราปล่อยให้สูกลับไปบ้านเมืองของสูนั้น เรามิได้ทำเกินกว่าที่เราจำต้องทำ สูไม่เป็นหนี้เราเลย ขอให้สูกลับไปด้วยใจสบายเถิด" แล้วสีบุญก็คืนดาบให้เจ้าของไป เตียวเหลียงก็ลาสีบุญและเดินทางต่อไป เมื่อเตียวเหลียงพ้นออกมาแล้ว บุญอาจนักบวชอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นกล่าวแก่สีบุญว่า "จิ๋นคนนี้มีคำพูดแสดงว่าเป็นคนสำคัญ เขากล้าบอกเราว่าหากเขาเข้ามารบในแคว้นไทอีก เขาจะทำร้ายคนไทมากนัก ที่เขายื่นดาบให้สูฆ่าเขานั้น เขาฉลาดมาก เขารู้ว่าเรามีหลายคนเช่นนี้จะไม่มีใจทำร้ายคนๆ เดียว เวลานี้เขาพ้นเขตวัดไปแล้ว ข้าจะตามไปกำจัดเสีย"
สีบุญกล่าวว่า "บุญอาจเอย จะในวัดหรือนอกวัดเราก็สาบานแล้วว่า เราจะไม่ทำร้ายผู้ใด สูจะผิดคำสาบานหรือ" บุญอาจก็จำต้องนิ่งอยู่

๒๑...

อีกสิบสองวันต่อมา เตียวเหลียงก็มาถึงชายแดน แล้วเดินทางไปอีกจนถึงโลยาง เตียวเหลีัยงไปยังบ้านของตน นางเตียวหลิน เห็นพี่ชายใหญ่เดินเข้ามาก็เข้าไปหา และกล่าวว่า "โลยางได้ข่าวว่าลิตงเจียแตกทัพ และตัวลิตงเจียถูกจับได้ทหารจิ๋นเสียชีวิตเป็นอันมาก พี่กลับมาได้เช่นนี้ข้าดีใจนัก"
แล้วนางเตียวหลินปล่อยให้พี่ชายใหญ่ของนางพักผ่อน ครั้นถึงเวลาเย็นนางเข้าไปถามเตียวเหลียงว่า "พี่รู้ข่าวเตียวลกบ้างหรือไม่" เตียวเหลียงก็เล่าเรื่องของเตียวลกให้น้องสาวฟัง และกล่าวว่า "เขาคงจะสิ้นชีวิตแล้ว" นางเตียวหลินได้ฟังก็ร้องไห้คิดถึงเตียวลก ทันใดนั้นคนในบ้านร้องบอกว่า "เตียวลกกลับมาแล้ว" สองพี่น้องดีใจวิ่งออกไปข้างนอก เห็นเีตียวลกเดินเข้ามา เตียวเหลียงจึงถามว่า "น้องข้ารอดมาได้อย่างไร"
เตียวลกตอบว่า "ข้าอ้างแก่คนไทว่าข้าคือสู เมื่อถูกจับไปแล้ว ข้ากับลิตงเจียถูกคุมไว้ในห้องใกล้กัน ข้าได้รับความสบายจากผู้คุมเป็นอันดี แต่ลิตงเจียนั้นถูกผู้คุมทำร้ายเอาบ่อยๆ เมื่อถูกคุมอยู่สามวัน ทหารนำข้ากับลิตงเจียไปยังกุมภวา กุมภวาบอกว่าสูเห็นใจคนไทตลอดมาเขาจึงไว้ชีวิตข้า ส่วนลิตงเจียนั้นข้ารู้ว่้าถูกตัดแขนขวาขาด แล้วคนไทก็พยาบาลให้่ แล้วส่งตัวเข้ามายังแดนจิ๋น เวลานี้คงถึงโลยาง" เตียวลกก็เอ่ยว่า "สูกล่าวเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจ"
เตียวเหลียงตอบน้องของตนว่า "สูกลับมาได้ครั้งนี้ก็ดีแล้ืว เราจะได้เห็นกันทั้งสามพี่น้อง แต่เราจะได้เห็นกันไปอีกนานเท่าใดยากที่จะรู้ได้ ลิตงเจียนั้นชังข้าอยู่ เมื่อเขาได้ความอัปยศและพิการกลับมา และเขาได้ยินกุมภวากล่าวแก่สูเช่นนั้น ก็จะนำความมาฟ้องแก่ลิบุ๋น หากข้าไม่ตายเพราะลิบุ๋น ข้าก็คงทำงานแผ่นดินต่อไปอีกมิได้ เราจะเตรียมรับเคราะห์ต่อไปเถิด" แล้วเตียวเหลียงกับเตียวลก ก็ทำหนังสือแจ้งเข้าไปในวังหลวงว่าได้กลับมายังโลยางแล้ว
สิบวันต่อมา ขันทีนำสาส์นจากวังหลวงมายังเตียวเหลียงและเตียวลก สองพี่น้องคุกเข่าลงฟังข้อความในหนังสือ ขันทีอ่านสาส์นเป็นความว่า "กองทัพของกษัตริย์จิ๋นต้องเสียทีแก่คนฮวนจนต้องแตกทัพเสียแคว้นไทครั้งนี้ ความอัปยศมีแก่จิ๋นมากนัก ลิบุ๋นได้ไต่สวนการศึกครั้งนี้แล้ว ในบรรรดาเรื่องต่างๆ ที่ได้พบนั้น ได้ความว่า เตียวเหลียงกับเตียวลกทำตัวเป็นเพื่อนคนไทเกินควร เตียวเหลียงถึงแก่ให้คาดเอวแก่เด็กไท เพื่อสำแดงการเป็นเพื่อนกับข้าศึก ซึ่งทำร้ายเราลับหลัง สองคนนี้ปลอดภัยกลับโลยาง เพราะคนฮวนเห็นแก่ไมตรีของคนทั้งสอง แต่ลิตงเจียพิการกลับมา เพราะผู้นี้คำนึงแต่ประโยชน์ของแผ่นดิน เพื่อความเรียบร้อยในการปกครอง คนทั้งสองนี้ควรรับโทษถึงตาย แต่ว่ากษัตริย์จิ๋นอ๋องยังปรานีอยู่ จึงเพียงแต่ให้ปลดสองคนี้จากงานแผ่นดิน และให้ออกไปจากโลยางภายในเจ็ดวัน"
เมื่อขันทีอ่านสาส์นจบและกลับไปแล้ว นางเตียวหลินร้องไห้ ส่วนเตียวลกนั้นเอ่ยขึ้นว่า "นี่หรือน้ำใจของลิตงเจีย แม่ทัพของเรา เพียงแต่เพราะว่าเรากลับมาไม่พิการอย่างเขา เราก็ถูกกล่าวหาว่าฝักใฝ่กับข้าศึก" เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องของตนว่า "สูอย่าได้โกรธลิตงเจียนักเลย เขาเพียงแต่ถูกกุมภวาใช้เป็นเครื่องมือให้มาลงโทษเราที่โลยางเท่านั้น เคราะห์ดีที่กษัตริย์ของเรายังเมตตาอยู่ หาไม่เราจะตายด้วยความอัปยศ แทนที่จะถููกขับจากเมือง"
แล้วสามพี่น้องก็ออกจากโลยางไปยังเมืองฟุกเจา เมืองนี้อยู่ทางใต้ของโลยาง ระยะทางเดินม้าสิบวัน แล้วสามพี่น้องก็มาทำไร่อยู่นอกเมืองนี้ อยู่มาวันหนึ่งเตียวลกมีสีหน้าเศร้าหมอง เตียวเหลียงจึงถามว่า "สูไม่สบายเพราะเหตุใด" เตียวลกตอบว่า "จากการเป็นขุนนางในเมืองหลวงมาเป็นชาวไร่บ้านนอกเพราะถูกขับมา ทำให้ใจข้าไม่เป็นสุข" เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องว่า "เวลานี้เราโชคดีกว่าจูโกเหลียงแล้ว สูยังไม่สบายอีกหรือ"
เตียวลกตอบพี่ชายไปว่า "จูโกเหลียงนั้น เขาออกจากไร่ไปเป็นแม่ทัพมีอำนาจ มีชื่อและคนนับถือจนทุกวันนี้ ส่วนเราตรงกันข้ามและได้ความอัปยศต่างๆ สูจะว่าเราโชคดีกว่้าจูโกเหลียงได้อย่างไร"
เตียวเหลียงก็กล่าวแก่เตียวลกว่า "จูโกเหลียงนั้นแท้จริง มิได้ประสงค์จะเป็นนายทัพที่มีอำนาจ สูรู้อยู่แล้วว่าเขาเข้าร่วมกับเล่าปี่ที่ขณะนั้นพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา จูโกเหลียงเวลานั้น อยู่อย่างสงบในหมู่บ้านที่นอกเมืองซงหยง ในหมู่เพื่อนฝูงที่ใฝ่ีใจในเต๋าด้วยกัน แต่ว่าศึกกลางเมืองได้ลุกลามไปทางนั้นดุจไฟไหม้ป่า เขาจึงได้ออกมาต้านกระแสของการศึก เพื่อรักษาหมู่บ้านไว้และให้หมู่บ้านนั้นเป็นที่พำนักต่อไปของบรรดาเพื่อนผู้บำเพ็ญเต๋า เขาเองต้องผละออกมาจากสิ่งแวดล้อมอันสงบ และมาผจญกับความโหด และความหยาบช้าของการศึกจนกระทั่งเสียชีวิต โดยไม่ได้กลับไปยังหมู่บ้านนั้นอีกทั้งที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะกลับไป ดังนั้นข้าจึงพูดได้ว่า เราโชคดีกว่าเขา ข้าเพียงภาวนาขออย่าให้จิ๋นต้องมีอาเพท ทำให้เราต้องกลับไปสู่การศึกอีกเลย" และต่อมาไม่ช้านางเตียวหลินก็แต่งงานกับชาวไร่ที่นั้น

๒๒...

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านฯ กษัตริย์จิ้นอ๋องแห่งแผ่นดินจิ๋นออกขุนนาง และกล่าวขึ้นว่า "แผ่นดินของเราเคยได้ส่วยจากแคว้นไทต่างๆ แม้ไม่มากแต่ก็พอจะบำรุงความสุขของชาวจิ๋นได้เป็นบางส่วน บัดนี้ส่วยจากแคว้นไทขาดไป เราต้องรีบส่งทัพไปตีแคว้นไทคืนมา ใครจะเห็นประการใด" ลิบุ๋นกล่าวว่า "ลิตงเจียน้องข้าเสียทีครั้งนี้ จะใช่เพราะฝีมือคนไทก็หาไม่ เมื่อลิตงเจียเข้าไปจะฆ่ากุมภวาแม่ทัพของคนไทบังเอิญแผ่นดินแยก กะโหลกศีรษะคนผุดขึ้นมา ทำให้ม้าของลิตงเจียตื่น จึงเสียทีถูกคนไทจับ ข้าจะไปแก้แค้นเอง ถ้าคนไทต้านทัพจิ๋นได้ หมาป่าจะสู้กับสิงโตได้"
ซุนโป ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง จึงกล่าวว่า "ที่ผู้สำเร็จราชการทหารกล่าวเช่นนั้นถูกแล้ว แต่เวลานี้จิ๋นยังมีศึกติดพันอยู่กับพวกจูเชนทางเหนือ ศึกจูเชนก็หนักอยู่ และตั้งแต่โบราณมาจิ๋นถือคติไม่ทำศึกสองด้าน ข้าจึงเห็นว่าเวลานี้ควรจะยับยั้งการไปตีแคว้นไทไว้ก่อน จนกว่าจะเสร็จศึกด้านจูเชน และในระหว่างนี้เราควรเอาทองไปตัดกำลังแคว้นไทไว้ก่อน เพราะว่าทองทำลายเมืองได้ง่ายกว่าเหล็ก" กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงถามว่า "สูจะใช้ทองทำลายแคว้นไทได้อย่างไร" ซุนโปตอบว่า "คนไทนั้นโดยปกติชอบแยกกันเป็นอิสระ ไม่รวมการปกครองเหมือนจิ๋น แต่บัดนี้ไทได้รู้แล้วว่าการแยกกันอยู่จะขาดกำลังสำหรับต้านทานเรา คนไทก็คงจะคิดรวมกันบ้าง แต่เรายังมีขุนจาดเจ้าเมืองแห่งแคว้นเม็งเป็นมิตรกับเราอยู่ เราพอจะใช้ผู้นี้ให้เป็นคุณแก่เราได้ ขอให้พระองค์ส่งทองไปกำนัลขุนจาด เพื่อขุนจาดจะได้ใช้ทำให้แคว้นไทต่างๆ วิวาทกัน ข้าเห็นว่าทองจะทำลายแคว้นไทได้โดยวิธีันี้
กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงถามลิบุ๋นว่า "ผู้สำเร็จราชการจะคิดเห็นประการใด" ลิบุ๋นกล่าวว่า "ข้าเห็นด้วยกับซุนโปไว้ก่อน เพราะว่าแคว้นไทนั้นเสมือนลูกนก เราจะจับมาเข้ากรงเสียเมื่อใดก็ย่อมได้ ขณะนี้เรามีงานจะฆ่าหมีทางเหนืออยู่ พระองค์จะส่งทองไปให้ขุนจาดเล็กน้อย เพื่อให้ลูกนกทะเลาะกันเองเสียก่อน ข้าก็เห็นว่าสมควร ข้าจะจัดการไปตามประสงค์"
แล้วลิบุ๋นให้อุยกิมนำสุราเก่าร้อยปีสองไห และมังกรทองคู่หนึ่งกับทองสามร้อยแท่งไปยังเมืองเม็งที่ขุนจาดคล้องอยู่

จบภาค ๑ "ตอนกู้เมือง"

5 ความคิดเห็น:

  1. อยากอ่านต่ออีกค่ะ

    ตอบลบ
  2. เนื่องจากว่า หลวงปู่เคยให้ไว้ บอกว่าเป็นหนังสือที่ดี ควรอ่าน

    เราก็อ่านหน้าเเรก ไม่ชอบค่ะ แต่พออ่านไปสิบหน้า สนุกเรียนรู้่ประวัติของเรา

    เป็นหนังสือที่รักมากเล่มหนึ่ง ในดวงใจ ค่ะ

    ตอบลบ
  3. เป็นบทความที่คนในผืนแผ่นดินนี้ควรอ่านโดยเฉพาะ
    บุคคลที่เป็นผู้นำ น่าจะได้ข้อคิดดีๆ แน่นอน
    ไม่ควรมองข้ามรากเหง้าความเป็นตัวตนของเราทุกชีวิต
    โดยเฉพาะ บุคลที่ยังมีลมหายใจบนแผ่นดินไทย

    ได้ข่าวว่าภาพยนต์ฟอร์มยักษ์จะเข้าฉายปลายเดือน มกราคม 2553

    ตอบลบ
  4. ทำไมไม่บรรจุไว้ในหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ
    วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย

    ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะได้อ่านบ้างให๊มคะ
    สาธุถ้าเป็นบุญของแผ่นดินขอให้คนไทยได้อ่านกันทุกคน...โอมเพี๊ยง
    เหมี๋ยว..เหมี๊ยว..

    ตอบลบ
  5. ทำไมมันยุ่งเหยิง กฎหมู่เหนือกฎหมาย ไทยไม่มีสงบแน่ ใครเป็นมันก็โกงคือกัน ครับ

    ตอบลบ

ก็ลองติดตามดูนะครับเหตุการณ์ ของเรื่องราว ภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)ตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยปัจจุบันมากที่สุด ย้อนรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต คล้ายกับว่า ยามศึกเรารบ ยามสงบเราทะเลาะกัน อ่านแบบตัวอักษรต่ออักษร แล้วท่านจะได้ข้อคิดอย่างไร ก็พิจารณาเอาเองเถิด อิสระชน แห่งยุคประชาธิปไตย ยุคความคิดที่เป็นประโยชต่อมนุษยชาติที่ไร้ขอบเขต