วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

คน ไท ทิ้ง แผ่นดิน ( ภาค ๖ ทิ้งแผ่นดิน )

ภาค ๖
ทิ้งแผ่นดิน
๑...
ระหว่างที่ล้อมเมืองไต๋อยู่นั้น วันหนึ่งสีเภาขับม้าออกไปนอกค่าย ใจของเขาเบื่อหน่ายที่ต้องมาทำศึกกับคนไทด้วยกัน เมื่อมาถึงชายป่า สีเภาเห็นนักบวชผู้หนึ่งเดินผ่านมาสีเภาจึงถามนักบวชผู้นั้นว่า “ ข้าได้ยินว่า นักบวชพวกสูแยกตัวออกจากความวุ่นวายของชีวิต แต่รู้ในความเป็นไปของชีวิตเป็นอันมากและสูรู้ในความเป็นไปเบื้องหน้า สูจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เมื่อแคว้นไทแตกแยกกันเช่นนี้ และนอกจากนี้แล้วยังมีภัยจากภายนอกคอยรุกรานอยู่อีก ชะตาของคนไทจะเป็นอย่างไร ”
นักบวชผู้นั้นตอบว่า “ ข้าเองไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้าเกินกว่าที่จะคาดได้ตามวิสัยของมนุษย์ แต่ว่านักบวชผู้หนึ่งที่วัดป่าลายกล่าวให้ข้าฟังดังนี้ สูจงฟังไว้เถิดสำหรับเล่าต่อๆไปแต่ลูกหลานของคนไท เขากล่าวว่าคนไทถูกกำหนดให้ต้องพรากจากถิ่นเพราะแตกร้าวกันเอง คนไทจะพ่ายต่อศัตรูภายนอก เพราะความอ่อนแอภายใน และจะต้องอพยพไปอยู่ดินแดนใหม่ แต่แล้วคนไทจะเอาความหลังไว้สอนตนก็หาไม่ เขาจะรวมกันได้ชั่วเวลาหนึ่ง แล้วจะแตกร้าวกันอีก แม้แต่ชื่อเผ่าของเขา เขาก็จะเรียกให้ต่างกันไปทั้งที่เขาเป็นไทด้วยกัน คนไทจะตั้งบ้านเมืองเป็นสุขอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่แล้วภัยจะเกิดขึ้นแก่เขาอีก เพราะเขาไม่อาจรวมกันได้ยั่งยืน สายตาของเขาจะไม่มองไปถึงกาลก่อนที่เขาพ่ายต่อการรุกรานเพราะเขาแตกร้าวกัน ”
แล้วนักบวชนั้นก็เดินต่อไป สีเภากล่าวขึ้นว่า “ นักบวชสูจงหยุดก่อน ที่สูบอกนั้นเป็นชะตาของคนไทที่แตกร้าวกันในภายหน้า สำหรับชะตาของคนไทเวลานี้เล่า สูจะไม่มีอะไรบอกข้าบ้างหรือ ”
นักบวชนั้นกล่าวว่า “ ในไม่ช้าแคว้นไทจะถูกจิ๋นรุกรานอีก ”
แล้วนักบวชนั้นก็เข้าป่าไป สีเภาเมื่อกลับมาก็แจ้งไปยังคำอ้ายให้มอบเมืองให้แก่ชาวไต๋เสียโดยดี แล้วออกไปเสียจากเมืองและสีเภาบอกคำอ้ายถึงถ้อยคำของนักบวช ที่กล่าวถึงการแตกร้าวของคนไทและกล่าวถึงคำของนักบวชที่ว่า จิ๋นจะมารุกรานแคว้นไทในไม่ช้า
คำอ้ายตอบสีเภาไปว่า “ ถ้าสูกลัวจิ๋นจะมาช่วยข้า สูจงรีบหนีไปอยู่ดินแดนอื่นเสียโดยเร็ว ใครเล่าที่ทำให้คนไทแตกแยกกัน สูมิใช่หรือที่ทำลายคนไทอยู่เวลานี้ ”
สีเภาจึงให้ทหารเข้าโจมตีอีก แต่ก็ไม่อาจยึดเมืองได้ทั้งสองฝ่ายก็อ่อนกำลังลง
๒...
และเมื่อกษัตริย์จิ้นอ๋องได้ข่าวว่า แคว้นลือกับแคว้นไต๋ทำศึกกันอยู่ พระองค์ดีใจนัก วิ่งตะโกนไปทั่วทั้งวังว่า “ คนไทวิวาทกันแล้ว คนไทวิวาทกันแล้ว ” และในคืนนั้นกษัตริย์จิ๋นกล่าวขึ้นในที่ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ว่า “ ข้าอายต่อบัลลังก์ที่ข้านั่งมาหลายปีแล้วนับแต่ทัพของลิบุ๋นพ่ายต่อกุมภวา บัดนี้แคว้นลือและแคว้นไทอื่นๆ ได้อ่อนกำลังลง เพราะกำลังทำศึกกันเองเป็นโอกาสแล้วที่เราจะล้างความอายไปจากหน้าของเรา ที่ประชุมเห็นว่าผู้ใดควรจะยกทัพไปตีแคว้นไทในครั้งนี้ ”
ขุนนางจิ๋นทั้งปวงยังจำได้อยู่ว่า ทัพของลิบุ๋นกว่าสี่แสนมีเหลือกลับมาน้อยกว่าสีพัน และทุกคนยังจำคำกุมภวาได้ดีเมื่อครั้งมาเยือนเมืองโลยาง ดังนั้นที่ประชุมขุนนางจิ๋นคราวนี้จึงเงียบอยู่
ขณะนั้นลิตงเจียอยู่นั่นด้วย เมื่อเห็นที่ประชุมเงียบอยู่เช่นนั้น เขาจึงลุกขึ้นคำนับกษัตริย์จิ้นอ๋องแล้วกล่าวว่า “ ความอัปยศต่อคนไทนั้น เราชาวจิ๋นยังไม่ได้ล้างไปจากหน้าของเราแม้แต่พระองค์ยังถูกดูหมิ่นหน้าบัลลังก์ สำหรับขารู้สึกความอัปยศเกินกว่าชาวจิ๋นอื่นๆ ร้อยเท่า และข้าแค้นคนไททั้งชายและหญิงมากกกว่าชาวจิ๋นอื่นๆ พันเท่าจากสิ่งที่คนไทได้ทำกับข้าและพี่ชายของข้า แต่ข้าต้องเก็บความแค้นไว้ในใจตลอดมา บัดนี้เมื่อทุกคนลังเลใจอยู่ ข้าจะอาสาไปยึดแคว้นไทมาให้จงได้ ที่ข้าถูกคนไทจับได้ในการศึกครั้งก่อนนั้น จะเป็นด้วยฝีมือของคนไทก็หาไม่ แต่เพราะว่าม้าของข้าตกใจ ความบังเอิญจึงเกิดขึ้น ถึงแม้บัดนี้ข้าจะถืออาวุธไม่ได้สองแขน ข้าก็ยังถือได้ด้วยมือข้างหนึ่งและยังคุมกองทัพได้ ”
ทุกคนก็ยังนิ่งอยู่ กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงกล่าวแก่ลิตงเจียว่า “ ข้าเชื่อว่าสูจะนำทัพไปยึดแคว้นไทไว้เป็นของจิ๋นได้ แต่ว่าตั้งแต่โบราณมา กษัตริย์ของจิ๋นไม่เคยส่งแม่ทัพพิการไปทำศึกเลย แต่ถ้าไม่มีใครกล้าอาสา ข้าจะส่งสูไปแก้หน้าของชาวจิ๋นและของสูเอง แต่ข้าเสียใจอยู่ที่ว่าไม่มีคนอื่นกล้าอาสาไปพบกับคนเถื่อนทางใต้ครั้งนี้ ”
ทันใดนั้นซุนโปกล่าวขึ้นว่า “ ข้าคิดว่าที่ทุกคนเฉยอยู่ไม่กล้าอาสาก็เพราะว่าทุกคนต้องการจะให้ได้แม่ทัพที่เหมาะแก่การศึกครั้งนี้ บัดนี้ข้านึกถึงคนจิ๋นคนหนึ่งที่อยู่ไกลจากโลยาง จนทำให้เราลืมเขาเสียแล้ว ชาวจิ๋นผู้นี้นอกจากจะรู้กำลังและความสามารถของคนไทดีแล้ว ยังรู้จักพื้นที่ของแคว้นไทดีอีกด้วย พระองค์จงให้ผู้นี้ไปทำงานก่อนเถิด ผู้นี้คือเตียวเหลียงที่ดูแลตังเกี๋ยอยู่เวลานี้สำหรับลิตงเจียนั้นเราคงมีงานให้เขาทำภายหลังเมื่อแคว้นไทอยู่ในอำนาจของเราแล้ว ”
ขุนนางในที่นั้นก็เห็นด้วยกับซุนโป กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงให้ม้าเร็วเดินทางไปยังตังเกี๋ยให้เรียกเตียวเหลียงมายังโลยางโดยด่วน
ในไม่ช้าเตียวเหลียงก็มาถึงโยลางพร้อมกับเตียวลกและตันซูแล้วเตียวเหลียงไปยังซุนโปและถามว่า “ มีใครที่ตังเกี๋ยกล่าวหาข้ามายังโลยางหรือ ”
ซุนโปตอบว่า “ ข้าดูแลอยู่มิให้ผู้ใดกล่าวหาสูได้ เพราะข้ารู้ดีว่าสูปกครองแคว้นตังเกี๋ยเป็นผลดีทั้งแก่จิ๋นของเราและแก่ชาวตังเกี๋ยเอง แต่ที่สูถูกเรียกมานี้เกี่ยวกับการศึกในแดนอื่นที่ไกลไปจากตังเกี๋ย”
แล้วซุนโปนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวต่อไปว่า “ ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องอันไม่เพลิดเพลินของการศึก ข้ามีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจเมื่อเร็ววันนี้ คือว่าเป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะทำอะไรไปด้วยความโกรธแค้น สูอย่าถือว่าข้าถามในเรื่องโง่ๆ เลย จงช่วยตอบข้าเถิด ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ ไม่เป็นการถูกต้องที่จะทำอะไรไปด้วยความโกรธแค้น ในเรื่องนี้สูรู้อยู่แล้ว”
ซุนโปกล่าวต่อไป “ แต่ว่าความโกรธแค้นเป็นธรรมดาของคน เมื่อเราถูกทำร้าย เราย่อมจะโกรธผู้ทำร้ายเรา เช่นนี้แล้วเราจะทำร้ายตอบเพราะความโกรธนั้นไม่ได้หรือ ”
เตียวเหลียง “ เมื่อใครทำอะไรด้วยความโกรธ แม้ในขณะที่เขากำลังลงโทษผู้อื่น คนแรกที่รับโทษคือตัวเขาเองและในความโกรธหรือความแค้น ความคิดว่าอะไรผิดอะไรถูกจะเลือนรางไป เขาจะทำให้ถูกต้องได้ยาก ”
“ แล้วแม่ทัพที่จะนำคนออกศึกด้วยความโกรธหรือความแค้นเล่า สูไม่คิดหรือว่าความโกรธจะทให้เขาเองและคนในกองทัพฮึกเหิม และทำการรบได้ดีขึ้น ” ซุนโปถาม
“ ข้าไม่เห็นเช่นนั้น ” เตียวเหลียงตอบ “ หากแม่ทัพคนใดอยู่ใต้อำนาจของความโกรธหรือความรู้สึกทำนองเดียวกันนั้นกองทัพของเขาจะพบกับความพิบัติได้ง่าย อันว่าในการศึกนั้นจำเป็นที่เราจะป้องกันมิให้มีอันตรายเกิดแก่ทัพของเราเท่าๆ กับที่เราต้องการทำลายข้าศึก แต่ว่าแม่ทัพที่ทำงานด้วยความโกรธ จะไม่คำนึงให้พอควรถึงความปลอดภัยของคนของตน และจะทำงานโดยขาดความรอบคอบ เขาจะไม่มองไปข้างหน้าถึงภัยที่จะเกิดแก่ทัพของเขาสูรู้เรื่องราวของเล่าปี่ดีอยู่แล้ว ตราบเท่าที่เล่าปี่รักษาความคิดให้เยือกเย็นอยู่ได้ แม้แต่ในเวลาเข้าตาจนเขาก็เอาตัวรอดได้ แต่เมื่อกวนอูน้องร่วมสาบานถูกคนของซุ่นกวนฆ่า เล่าปี่โกรธยิ่งนักความโกรธทำให้เล่าปี่เอาเรื่องส่วนตัวของความเป็นพี่น้องมาเป็นธุระก่อนเรื่องของแผ่นดิน เล่าปี่ควรจะนำทัพไปปราบโจผีที่แย่งบังลังก์จากวงศ์ฮั่น แต่เขากลับนำทัพไปรบซุ่นกวนผู้เป็นศัตรูส่วนตัว ผลก็คือความพินาศของกองทัพและความตายของเล่าปี่ในเวลาต่อมา นี่เป็นตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ของหัวหน้าที่ทำงานด้วยความโกรธ แต่ว่าที่สูเริ่มต้นด้วยเรื่องเช่นนี้สูคงมีอะไรอยู่ในใจ ”
ซุนโปกล่าวว่า “ เตียวเหลียง ข้าจะไม่อ้อมค้อมต่อไปแล้วสูถูกเรียกมาโลยาง เพราะว่ากษัตริย์ของเราอยากได้คนที่เหมาะสำหรับนำทัพไปยึดแคว้นไทในขณะที่คนไทกำลังวิวาทกันเอง ในโลยางขณะนี้ไม่มีใครอยากจะอาสา มีแต่ลิตงเจียเท่านั้น แม้ลิตงเจียจะเป็นคนกล้าหาญแต่เขาอาสาครั้งนี้ด้วย ความโกรธเป็นส่วนตัว ดังนั้นเขาจะทำงานด้วยความโกรธมากกว่าด้วยความคิดและจากที่ข้าฟังเดี๋ยวนี้ ข้าแน่ใจว่าถ้าสูทำได้ สูจะไม่ยอมให้ลิตงเจียนำทัพจิ๋นไปสู่ความฉิบหายเหมือนเมื่อครั้งลิบุ๋น และขอให้สูคิดเถิดหากเราพบความพิบัติอีกครั้งเดียวจิ๋นของเราจะล่มจม ข้าจึงแนะให้กษัตริย์ส่งสูไปทำงานครั้งนี้ ข้ารู้ว่าสูไม่อยากไปทำศึกกับคนไทแต่ว่าเตียวเหลียงเอย เราไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นแล้ว ”
เตียวเหลียงนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเขาเอ่ยขึ้นว่า “ ในเมืองหลวง ไม่มีใครแล้วหรือที่จะยังยั้งกษัตริย์ของเราได้จากการทำศึกกับคนไท ”
ซุนโปตอบว่า “ เรายับยั้งไม่ได้แล้ว หากสูไม่ไปลิตงเจียก็จะไปแทน สูอาจจะมองว่าเราไม่มีความชอบธรรมที่จะไปรุกรานแคว้นไท แต่ขอให้เรามองถึงประโยชน์ขั้นสุดของจิ๋นเถิด อย่ามองเพียงเฉพาะหน้าว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้อง เวลานี้จิ๋นนำหน้าเผ่าพันธุ์ทั้งปวงเพราะความมั่นคงและประเพณีอันดีของจิ๋น หากจิ๋นอ่อนแอไปเพราะพ่ายต่อแคว้นไทเล็กๆ พวกมงโกลจะบ่าลงมาปล้นสมบัติของจิ๋นและแผ่นดินจิ๋นจะถูกย่ำด้วยเท้าของคนเถื่อนพวกนี้ เตียวเหลียงเอย เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะพูดถึงความเป็นธรรมหรือความไม่เป็นธรรมเฉพาะหน้า มีแต่ประโยชน์ขั้นสุดของจิ๋นผู้ค้ำจุนโลกเท่านั้นที่เราจะต้องรักษาไว้ พรุ่งนี้สูจงรับงานที่น่าเกลียดนี้เถิด ”
แล้วเตียวเหลียงก็ออกจากบ้านของซุนโป และกลับยังที่พักของตนด้วยความไม่สบายใจ
วันต่อมาเตียวเหลียงเข้าไปในวังหลวง พอเข้าประตูวังก็มีผู้หนึ่งตรงมาที่เขา ผู้นี้คือเพ็กกุยที่เคยค้านการที่ลิบุ๋นจะไปทำศึกกับคนไท เพ็กกุยกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า “ สูจะนำทัพไปยังแคว้นไทหรือ เตียวเหลียง ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ ข้าอาจจะต้องทำเช่นนั้น ”
“ แต่ว่าชาวจิ๋นไม่มีเหตุพอที่จะทำเช่นนั้น ” เพ็กกุยกล่าวพร้อมกับจ้องหน้าเตียวเหลียง และกล่าวต่อไปว่า “ จิ๋นเป็นแคว้นใหญ่เหนือแคว้นทั้งปวง ควรหรือจะไปรุกรานแคว้นเล็กเช่นแคว้นไท สูไม่ละอายใจบ้างหรือ ”
เตียวเหลียงนิ่งอยู่ ในที่สุดเขากล่าวขึ้นว่า “ เพ็กกุยเอย ในชีวิตที่เราว่าเป็นของเรานี้ แท้จริงอยู่ในบังคับของเราไม่มากนัก เราต้องจมอยู่และเคลื่อนไปในกระแสของโลกรอบตัวมากเกินกว่าที่เราจะบังคับเหตุการณ์หลายๆ อย่างได้ ข้าเห็นเช่นเดียวกับสูว่าที่จิ๋นจะไปทำศึกกับไทครั้งนี้น่าอัปยศนัก แต่ว่าในบางเวลาเราตามใจตนเองไม่ได้ ถ้าข้าต้องทำในสิ่งไม่สมควรครั้งนี้ สูกับคนอื่นที่คิดเช่นเดียวกับสูจงเห็นใจข้าเถิด ”
แล้วเตียวเหลียงกับเพ็กกุยก็เข้าไปในห้องประชุมขุนนาง กษัตริย์จิ้นอ๋องกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า “ ข้าให้สูมาโลยางครั้งนี้ เพื่อให้สูไปยึดแคว้นลือไว้ในอำนาจของเรา แล้วจากนั้นขอให้สูยึดแคว้นเม็ง และแคว้นไต๋ และบริวารของแคว้นเหล่านี้ไว้ด้วย ”
เตียวเหลียงลุกขึ้นคำนับกษัตริย์ของเขาแล้วกล่าวว่า “ ในการไปยึดแคว้นไทเท่าที่เราเคยทำมาแล้ว คนไทไม่ยอมต่อเราโดยดี ความเสียหายแก่เราจึงมีมากนัก จะมีใครชี้แจงได้หรือว่าการเข้าไปยึดแคว้นไทครั้งต่อไปนี้ ผลได้ของเราจะคุ้มกับความเสียหายขอพระองค์หรือขุนนางในที่นี้บอกข้าเถิด เพื่อว่าข้าและทหารทั้งปวงจะทำงานครั้งนี้ด้วยใจที่ไม่ลังเล ”
ในที่ประชุมก็เงียบไป ในที่สุด ลิตงเจียลุกขึ้นกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า “ แทนที่จะให้ผู้อื่นชี้แจงถึงประโยชน์ในการเข้ายึดแคว้นไทครั้งนี้ ขอให้เตียวเหลียงบอกพวกเราเถิดว่ามีเหตุผลหรือที่เขาไม่ควรนำทัพเข้าไป ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ กษัตริย์ของเราจะให้ข้านำทัพไป ข้าก็จะไปด้วยความเต็มใจ และทหารของข้าทั้งปวงก็จะต้องรบด้วยความเต็มใจ และทหารของข้าทั้งปวงก็จะต้องรบด้วยความเต็มใจ ข้าจะทำตามคำสั่งของแผ่นดิน มิใช่ตามเหตุผลที่ข้าจะคิดของข้าเอง ”
กษัตริย์จิ้นอ๋องจึงกล่าวว่า “ เตียวเหลียงเอย ข้ารู้ว่าคนจิ๋นหลายคนคิดว่าเราไม่ควรจะไปยุ่งกับคนไท แต่เวลานี้เราจะคิดเช่นนั้นไม่ได้แล้ว กุมภวาเจ้าเมืองลือตั้งใจจะรวมคนไท เวลานี้เขาพยายามยึดแคว้นไต๋ไว้ในอำนาจ ถ้าเขาทำได้ ดินแดนของคนไทซึ่งแต่ก่อนเป็นฉางข้าวเล็กๆ หลังบ้านเราต่อไปจะกลายเป็นถ้าเสือ เราไม่รู้ว่าคนไทมาจากที่ใดแต่เรารู้ว่าเขาชอบอพยพและเขากระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แม้แต่ในตังเกี๋ยก็มีคนไท สูก็รู้อยู่ว่าคนไทที่นั่นเขามีตัวหนังสือของเขาเองแล้ว ลุ่มน้ำแยงซีเกียงก็เคยเป็นที่อยู่ของคนไท เวลานี้เขากำลังยึดลุ่มแม่น้ำโขงลงไปเป็นของเขาอีกด้วย คนเผ่านี้เปรียบได้เหมือนน้ำป่าที่ไหลบ่าไปในที่ต่างๆ ถึงแม้เขาจะเรียกชื่อตนเองตามชื่อแคว้นเมื่อไปอยู่ในดินแดนใหม่ ถึงแม้ภาษาของเขาจะผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะไปอยู่ในที่ใหม่ แต่เขายังใช้ภาษาเดิมของเขาคือภาษาไทและเขาจะไม่ทิ้งนิสัยเดิมคือชอบการต่อสู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบฉกชิงที่ดินและทรัพย์สินของผู้อื่น เมื่อเป็นดังนี้ถ้าเขารวมกันได้ดังที่กุมภวากำลังทำอยู่ เราจะมีภัยจากทางใต้เพิ่มขึ้นจากภัยทางเหนือ เราจะให้แม่โขงเป็นภัยแก่ฮวงโหหรือสูจงรับงานครั้งนี้เถิด เพราะว่าสูเคยทำศึกกับกุมภวามาแล้ว และสูรู้เล่ห์กลของคนไทคนนี้ดี ”
เตียวเหลียงก็นิ่งอยู่ แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องหันไปทางขุนนางอื่นๆ และกล่าวว่า “ ถ้าผู้ใดคิดว่าฮวนทางใต้จะไม่เป็นภัยแก่เราก็จงช่วยชี้แจงเถิด ”
ขุนนางหลายคนกล่าวสนับสนุนคำของกษัตริย์จิ้นอ๋อง แต่เพ็กกุยยืนขึ้นคำนักกษัตริย์ของเขาแล้วหันไปกล่าวแก่ที่ประชุมว่า “ ข้าอาจจะขัดแย้งความเห็นของผู้ใหญ่ในที่ประชุมนี้ และอาจจะขัดแย้งความเห็นของกษัตริย์ของเราผู้ที่เป็นห่วงยิ่งกว่าผู้ใดในความมั่นคงของบ้านเมือง แต่เมื่อข้าไม่ต้องการขัดแย้งประโยชน์และความมั่นคงของบ้านเมือง ข้าจึงไม่ควรจะนิ่งเฉยในเรื่องสำคัญที่เราปรึกษากันอยู่เวลานี้ ”
“ เราจะไปยึดแคว้นไทเพราะเราคิดว่าถ้าคนไทรวมกันได้เมื่อใด ภัยต่อจิ๋นจะเพิ่มขึ้นทางด้านใต้ ถึงแม้ข้าอยากจะเป็นคนหวาดต่อภัยเพียงใด ข้าก็ยังไม่คิดว่าแคว้นเล็กๆ เช่นแคว้นไทจะเป็นภัยแก่เรา คนไทก็เหมือนคนเผ่าอื่นๆ ที่อยากเป็นมิตรกับจิ๋นราษฎรนั้นไม่ว่าในแคว้นใดเขาอยากอยู่กับครอบครัวของเขา กับเพื่อนของเขาอย่างสงบ อยากทำไร่ทำนาและค้าขายและติดต่อกับคนในแคว้นอื่นและเผ่าอื่น ถ้าผู้ปกครองของแคว้นรู้จักที่จะผูกมิตรกันแล้ว การทำสงครามกันด้วยอาวุธอันเป็นความหยาบช้าของมนุษย์จะไม่เกิดขึ้นได้ ”
เพ็กกุยยังกล่าวต่อไปว่า
“ ถึงหากว่าคนไทจะรวมกันได้และเขาพอใจฉกชิงแผ่นดิน และทรัพย์สินของแคว้นอื่นๆ ภัยจากคนเถื่อนทางใต้ก็ยังห่างไกลจากเรานักและยังไม่เกิด เวลานี้เราต้องระงับภัยที่เกิดขึ้นแล้ว และมีอยู่ภายในบ้านเมืองของเรานี้เอง ภัยที่ว่านี้คือการแตกร้าวภายในบ้านเมืองของเรา ทุกคนรู้ดีถึงความทุกข์อย่างสาหัสของแผ่นดินจิ๋นเมื่อสี่สิบปีก่อน ในครั้งนั้นโจรโพกผ้าเหลืองได้ยุยงและชักชวนชาวนาให้ลุกขึ้นสู้อำนาจของบ้านเมือง พวกโจรอ้างว่าฝ่ายบ้านเมืองไม่เหลียวแลบำบัดความเดือดร้อนของชาวนา ในครั้งนั้นคนดีและคนชั่วที่มีฝีมือเป็นอันมากช่วยกันปราบขบถ แต่เมื่อขบถหมดสิ้นไปแล้ว ความสงบหาได้กลับมาสู่จิ๋นไม่ จิ๋นต้องแตกแยกเป็นสามก๊กและฆ่าฟันกันเอง เลือดของชาวจิ๋นหลั่งลงในรอยร้าวนั้นเหมือนสายน้ำ น่าสลดใจและน่าอัปยศยิ่งนักสำหรับจิ๋นที่มากด้วยคนมีปัญญา ”
“ เวลานี้ถึงแม้ภายในบ้านเมืองของเราจะมิได้แยกเป็นก๊ก แต่การแตกร้าวมีอยู่และมิได้ลดลง บ้านเมืองของเราเวลานี้เหมือนเรือที่ฝ่าคลื่นลมโดยมีภัยเกิดอยู่ในเรือนั้นเอง เพราะว่าคนในเรือแยกกันเป็นสองพวกที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน พวกหนึ่งคือคนมีเงินมีอำนาจ และมีบริวารเป็นกำลัง พวกนี้รวมกันอยู่ทางกราบขวา ที่กราบนี้แม้บางคนจะเป็นที่นับถือของคนทั่วไป แต่มากคนจะเป็นที่เกลียดชัง หลายคนจะกอดเงินทองของตนไว้กับอก เขาห่วงทรัพย์ของเขาเองยิ่งกว่าห่วงเรือ ทางกราบซ้ายนั้นเล่า คือคนส่วนใหญ่ที่ไร้เงินทองไร้อำนาจและไม่มีบริวาร บางคนที่กราบนี้จะมองคนฝ่ายขวาด้วยความโกรธและความเกลียด เขาอยากดูความฉิบหายของพวกที่กอดเงินทองไว้ บางคนอยากจะยึดเรือมาไว้ในอำนาจของเขา เมื่อน้ำหนักของเรือแยกไปอยู่ทางขวาและทางซ้าย แทนที่จะถ่วงอยู่ที่กลางลำเรือ เรือก็จะโคลงไปทางขวาบ้าง ทางซ้ายบ้าง เช่นนี้แล้วเรือจะอับปางเมื่อใดก็ได้ เราผู้ปกครองบ้านเมืองก็มิต่างไปจากผู้ควบคุมเรือ งานเวลานี้ของเราคือจัดให้คนมาอยู่กลางลำ เพื่อว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเรือที่เรียกว่าจิ๋นนี้ปลอดภัยสำหรับเขาขอให้เราทำงานที่ว่านี้ก่อนเถิด เพราะสำคัญกว่าที่จะไปยุ่งกับแคว้นเล็กๆ เช่น แคว้นไท ”
แล้วเพ็กกุยกล่าวเสริมว่า “ หรือผู้ใดจะเห็นว่าภัยในบ้านเมืองของเราไม่มี เรามีแต่ภัยจากคนไท ก็จงชี้แจงเถิด ดังที่กษัตริย์ของเราประสงค์ให้เราชี้แจง ”
ขุนนางเป็นอันมากก็ลุกขึ้นกล่าวหาว่าเพ็กกุยพูดยุยงให้ชาวจิ๋นไม่ภักดีต่อบ้านเมืองและให้ชาวจิ๋น
แตกแยกกัน เพ็กกุยได้แต่สั่นศีรษะและพูดกับตนเองว่า “ คนที่อยู่ในอำนาจจะสำนึกความโง่ของตนก็เมื่อสายเสียแล้ว ”
แล้วกษัตริย์จิ้นอ๋องมอบอาญาสิทธิให้เตียวเหลียง และให้เกณฑ์คนได้ตามต้องการ
มีคนถูกเกณฑ์มายี่สิบหมื่น แต่เมื่อเตียวเหลียงเห็นว่าคนใดไม่เต็มใจไปศึก เตียวเหลียงก็ไม่เอาไว้ ลูกขุนนางที่ซีดเซียว เตียวเหลียงก็ยอมให้เอาม้ามาแลกเอาตัวไป ตันซูเห็นทหารยี่สิบหมื่นลดจำนวนลงทุกวันก็เป็นห่วง วันหนึ่งจึงเอ่ยแก่เตียวเหลียงว่า “ ทัพของสูยังไม่ข้ามแดนก็ลดลงเกือบครึ่งแล้ว ทำไมสูตัดกำลังทัพของตนเองเสียเล่า ”
เตียวเหลียงกล่าวว่า “ ตันซู ข้ารู้ว่าเมื่อครั้งกุมภวานำทัพเข้ามาในแดนจิ๋นนั้น คนของเขาช่ำชองในการต่อสู้ยิ่งกว่าคนจิ๋น เขาจึงกล้านำทัพเข้ามาทั้งที่เขามีจำนวนเพียงเล็กน้อย การที่เราจะไปทำศึกกับเขาครั้งนี้ ถ้าเราอาศัยแต่จำนวนเหมือนเมื่อครั้งลิบุ๋น เราก็จะพ่ายอย่างลิบุ๋น การเอาคนที่ไม่เหมาะไปรวมกันในกองทัพจะไม่ช่วยให้ทัพมีกำลังมากขึ้น เหมือนสูเอาตะกั่วไปผสมธาตุเงินจะช่วยให้เหรียญเงินดีขึ้นหรือ หากมีความระส่ำระสายในกองทัพของเรา เราจะพ่ายกลับมา ทหารเลวแทนที่จะเป็นกำลังรบกลับจะเป็นกังวลของคนอื่นทั้งเวลาออกรบและเวลาปกติ ข้าจึงคัดเลือกเอาแต่คนที่จะฝึกให้ดีได้ ”
ในที่สุดทัพยี่สิบหมื่นเหลือเพียงหกหมื่น แล้วเตียวเหลียงให้เตรียมเคลื่อนทัพ
กษัตริย์จิ้นอ๋องเมื่อออกมาส่งเตียวเหลียง ได้เห็นทัพของเตียวเหลียงน้อยลงไปเช่นนั้นจึงกล่าวว่า
“ เตียวเหลียง ทัพจิ๋นที่ยกข้ามแดนไปแคว้นไทไม่เคยน้อยกว่าสิบหมื่น ครั้งหลังนี้ทัพสี่สิบหมื่นของลิบุ๋นยังถูกทำลายสิ้น คราวนี้สูมีไปเพียงหกหมื่น ข้าห่วงยิ่งนัก ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ ทัพหกหมื่นนี้มากอยู่แล้วสำหรับยกไปแคว้นไท หากเราชนะด้วยจำนวน เราจะไม่มีอะไรให้คนไทยำเกรง จูโกเหลียงนั้นเอาคนไปถึงสามแสนสำหรับรบกับคนไทสามหมื่น ครั้งหนึ่งจูโกเหลียงต้องการให้คนไทกลัวในจำนวนอันเหนือกว่า เขาให้ทหารเอาเสื้อห่อดินวิ่งไปทิ้งที่กำแพงของฝ่ายไท เพียงดินคนละห่อก็ทำให้มูลดินสูงถึงยอดกำแพง แล้วจูโกเหลียงก็ยึดเมืองนั้นได้ แต่ว่าคนไทยังสู้ต่อไป เพราะว่าลำพังกำลังหรือความฉลาดที่เหนือกว่าไม่อาจชนะใจคนได้ ข้าจึงเอาคนไปเพียงหกหมื่น ”
กษัตริย์กล่าวต่อไปว่า “ ข้าได้ยินมาว่าสูรักสงบ สูพอใจถือหนังสือของนักปราญ์ยิ่งกว่าดาบของแม่ทัพ และสูชังการทำสงครามรุกราน หากสูคิดว่าสงครามครั้งนี้ เราฝ่ายจิ๋นทำไม่ถูกต้อง สูจะทำศึกด้วยความจำใจเพราะไม่อาจขัดต่อแผ่นดิน ข้าสงสัยเรื่องนี้อยู่ บัดนี้ถึงเวลาเคลื่อนทัพแล้ว จงให้ข้าสิ้นสงสัยว่าสูเต็มใจนำทัพครั้งนี้หรือไม่ หากมิเต็มใจ ข้าจะให้คนอื่นไปแทนเพราะเห็นใจสูอยู่ ”
เตียวเหลียงคำนับกษัตริย์ของตนและกล่าวว่า “ ข้ากินเบี้ยหวัดของแผ่นดิน ข้าต้องทำตามความประสงค์ของแผ่นดิน อนึ่งข้าตั้งใจไว้ว่าเมื่อยึดแคว้นไทได้แล้ว ข้าจะให้การปกครองที่ดีแก่แคว้นไท ธรรมดาของคนไทนั้นเมื่อไม่มีภัยจากภายนอกคุกคามเขาจะวิวาทกันเอง เขาจะทำลายกันเอง เพราะเหตุนี้เขาจึงตั้งบ้านเมืองไม่ได้นาน และต้องพเนจรตลอดมา คนไทรักอิสระ เขาภูมิใจเรียกตนเองว่าไท เขารักความเป็นไทเหมือนคนเผ่าอื่นรัก แต่ว่าเขาไม่รู้จักที่จะอยู่กันอย่างสงบและอย่างมีระเบียบ ชื่อที่เขาเรียกตนเองว่าไทจึงให้ความอัปยศแก่เขายิ่งกว่าให้ความภูมิใจ ดังนั้นหากการปกครองของเราไม่หนักกว่าแอกที่คนไทใช้กับคนไทเอง เทพยดาและมนุษย์จะไม่ตำหนิเรา ข้าตั้งใจไว้ดังนี้ จึงตกลงใจรับงานครั้งนี้ ”
กษัตริย์จิ้นอ๋องก็อวยพรให้แม่ทัพของตนได้ชัยชนะและก่อนที่จะกลับวังกษัตริย์จิ้นอ๋องกล่าวว่า
“ กุมภวาเจ้าเมืองลือ มีเล่ห์กลมากนักตามวิสัยของคนเถื่อน สูจงระวังผู้นี้ให้ดี อนี่งเล่ามีคนไทคนหนึ่งชื่อธงผา ผู้นี้เมื่อครั้งโลยาง มาฟันมังกรหน้าบัลลังก์คอขาดเป็นการลบหลู่บัลลังก์ของจิ๋นยิ่งนัก ถ้าสูจับผู้นี้ได้ จงส่งตัวมายังโลยางทันที ข้าจะดูเขาหมอบอยู่หน้าบัลลังก์นี้ ”
เตียวเหลียงรับพรและรับคำสั่งจากกษัตริย์ของเขา แต่เมื่อพ้นหน้ากษัตริย์มาแล้ว เขารำพึงกับตนเองว่า “ ข้าพอจะเอาแผ่นดินไทจากคนไทได้ แต่ที่กษัตริย์อยากเห็นธงผาหมอบอยู่เบื้องหน้านั้น คงจะไม่สำเร็จ ”
เมื่อได้เวลา เตียวเหลียงก็นำทัพออกจากโลยาง
๓...
ระหว่างเดินทัพ เตียวเหลียงให้ทหารทุกคนทั้งพลและนายฝึกเดินและวิ่งระยะไกลอยู่เสมอ และให้ถือทั้งอาวุธและเครื่องหลับนอนและเสบียงของตนเอง บางครั้งก็ให้เดินกลางแดดและฝนโดยไม่มีเสื้อผ้าป้องกันความร้อนและความหนาว เมื่อหยุดที่ใดก็ให้ฝึกขุดคูและสร้างค่าย ที่ใดเป็นโคลนตม เตียวเหลียงก็ให้ทหารบุกโคลนนั้นไปแทนที่จะให้เดินทางสะดวก ทหารได้รับความลำบากยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นนายกองทั้งปวงและเตียวเหลียงเองกระทำเช่นเดียวกับตน และเตียวเหลียงกินอาหารและใช้เครื่องนอนเหมือนกับที่ทหารพลในกองทัพได้กินและได้ใช้ ทุกคนจึงมิกล้าปริปากบ่นครั้นฝึกนานเข้าจนเคยชินทหารก็เกิดความมั่นใจในตัวเอง ความกลัวคนไทและความกลัวป่าเขาของแคว้นไทก็หมดไป บางคนที่แต่ก่อนไม่อยากจะพบข้าศึกบัดนี้อยากจะเข้ารบโดยเร็ว เพราะรู้สึกว่าการเข้าสนามรบไม่ลำบากกว่าการเดินทัพมาตามทาง
เมื่อเตียวเหลียงนำทหารมาถึงช่องเขาจินไต ก็ให้ทหารพักผ่อน คืนนั้นเตียวเหลียงเรียกนายกองทั้งปวงมาสั่งการสำหรับวันรุ่งขึ้น เพราะทหารจิ๋นจะเข้าแดนไทแล้ว
เมื่อนายกองกลับไปแล้ว เตียวเหลียงเข้านอนและตื่นขึ้นเมื่อเที่ยงคืน เขาเอาหนังสือมาอ่าน ทุกคนหลับกันแล้วนอกจากคนเดินยาม ขณะนั้นในค่ายเงียบทั่วไปมีแต่เสียลมผ่านริมเทือกเขาไปเท่านั้น เตียวเหลียงอ่านหนังสือใกล้ถึงยามสามก็รู้สึกว่าพ้นแสงเทียนเบื้องหน้าตนมีรูปหนึ่งมายืนอยู่ เตียว
เหลียงเข้าใจว่าเป็นคนเดินยาม จึงถามไปว่า “ สูมีสิ่งใดจะแจ้งให้ข้าทราบหรือ ”
แต่รูปนั้นนิ่งอยู่มิได้ตอบ เตียวเหลียงเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่พ้นแสงเทียนหาใช่คนเดินยามไม่ ชายนั้นมีใบหน้าใสผิดมนุษย์ทั่วไป และเครื่องนุ่งห่มเป็นสีขาวทั้งสิ้น
เตียวเหลียงรู้ว่าเป็นภูตของจูโกเหลียง ซึ่งมีศาลอยู่ที่เขาจินไต เขาจึงถามไปว่า “ สูมีประสงค์สิ่งใดหรือ จูโกเหลียง ”
ภูตนั้นกล่าวว่า “ สูจำสีบุญได้หรือไม่ ”
เตียวเหลียง “ สีบุญเป็นคนไทที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เขาจะฆ่าข้าเสียก็ได้ เพราะข้าเป็นศัตรูของคนไทและของน้องชายเขาแต่เขาปล่อยข้ามา จึงระลึกถึงเขาอยู่ ”
ภูตนั้น “ ชีวิตที่คนไทปล่อยมาบัดนี้จะไปทำลายแคว้นไทเช่นนี้สมควรหรือ ”
เตียวเหลียงตอบภูตนั้นไปว่า “ จูโกเหลียงเอย โชคชะตาของข้าไม่ดีไปกว่าของสู เราทั้งสองอยากจะอยู่ในทางแห่งเต๋า แต่เรากลับต้องทำในสิ่งที่ไม่สมควรจะทำ เราต้องมาทำศึกกับแคว้นไทโดยขาดเหตุอันสมควร ยิ่งกว่านั้นเรายังได้รับความเอื้อเฟื้อจากคนในเผ่าที่เราเข้ามารุกราน เมื่อสูมาทำศึกกับคนไท คนของสูล้มตายเป็นอันมากด้วยน้ำพิษและด้วยไข้ป่า จนทัพของสูไม่อยากเคลื่อนไปข้างหน้า แต่แล้วสูก็ได้ยาแก้น้ำพิษและแก้ไข้ป่าจากนักบวชคนไท ทัพของสูต่อมาจึงยึดแคว้นไทได้ ข้าเองมีนักบวชคนไทให้ข้าวให้น้ำจึงรอดกลับไปเมืองจิ๋นได้ และพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปรุกรานคนเผ่าเดียวกับนักบวชนั้นแล้ว ร้ายไปกว่านั้น เรามาโดยหวังจะยึดแคว้นไท เพื่อประโยชนสำหรับบ้านเมืองเรา แต่ที่คนไทช่วยเราไว้นั้น เขาไม่คำนึงถึงประโยชน์อย่างที่บ้านเมืองของเราให้เราคำนึง ดังนั้นเมื่อสูมอบสิ่งของและเงินทองจำนวนมากแก่เขา เขาจึงมิรับไว้ ข้าเองสีบุญช่วยไว้เพราะเขาต้องทำเช่นนั้น เขาไม่คิดว่าเขาทำอะไรเกินกว่าที่จำเป็นสำหรับเขา ข้าไม่สบายใจในการมาทำศึกครั้งนี้ แต่ว่าจูโกเหลียงเอย เมื่อข้าเกิดมาเป็นคนจิ๋นและกินเบี้ยหวัดของแผ่นดิน ข้าก็ต้องทำหน้าที่ที่ข้ามีต่อแผ่นดิน ”
ภูตของจูโกเหลียง “ สูจะรับผลร้ายในการทำงานครั้งนี้ ”
เตียวเหลียงตอบภูตนั้นไปว่า “ ยามบ้านเมืองวิปริตใครเล่าจะไม่รับผลร้ายจากความวิปริตนั้น บ้านเมืองทุกวันนี้ใช่ว่าจะปกติก็หาไม่ ดาบที่จิ๋นใช้มาตั้งแต่สมัยที่จิ๋นแตกแยกและแย่งอำนาจกัน บัดนี้ก็ยังใช้และยังมีอำนาจอยู่ ข้าเองต้องร่วมไปกับกระแสของบ้านเมืองเช่นเดียวกับชาวจิ๋นอื่นๆ ข้าจะหนีโชคร้ายของบ้านเมืองไปได้หรือ สูเองชีวิตอยู่ในยามที่บ้านเมืองปั่นป่วน สูจึงต้องรับกรรมไปกับบ้านเมืองด้วย ”
พอดีคนยามตีเกราะเป็นยามสาม ภูตนั้นก็หายไป
เตียวเหลียงอ่านหนังสืออยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก็ออกไปตรวจยาม ครั้นใกล้สว่างเขาเรียกประชุมนาย
กองอีกครั้งหนึ่งและกล่าวแก่ที่ประชุมว่า “ เราจะเข้าแดนไทแล้วในวันนี้ การรบจะเกิดเมื่อใดและที่ใดก็ได้เสมอ แต่การฝึกที่ผ่านมาและที่จะกระทำต่อไปจะนำชัยชนะมาให้เรา เพราะนอกจากคนของเราจะอดทนและถนัดทั้งใช้อาวุธ และการประสานกำลังกันตามขบวนรบต่างๆ แล้ว คนของเรายังมีจำนวนเหนือกว่า ”
“ แต่ว่า ในชีวิตของคนจะมีสิ่งใดแน่นอนเหมือนความผันแปรของโชคเคราะห์นั้นไม่มีแล้ว เราถือดาบไว้ในมือ แต่โชคเคราะห์ถือเราไว้ในอำนาจ ข้าจะมีอันเป็นไปเมื่อใดก็ยากจะรู้ได้จึงขอตั้งซิฉุยเป็นรองแม่ทัพ นี่เป็นประการหนึ่งที่ข้าขอสั่งไว้ก่อนพบกับข้าศึก ”
“ ประการที่สอง ให้ทุกคนถือว่าเรามาทำศึกเพื่อรวมแคว้นไทเข้ากับแคว้นจิ๋น ให้สองแคว้นนี้อยู่ในสายโลหิตเดียวกัน เพื่อชาวจิ๋นจะเอาความเจริญมาสู่แคว้นไท เรามิได้มาทำศึกเพื่อทำลาย และในการรบใช่ว่าจะมีแต่ความชั่วและความโหดร้ายก็หาไม่ คนชั่วเท่านั้นจะแสดงความชั่วและความโหดร้ายทั้งในยามสงบและยามศึกส่วนผู้มีคุณธรรมจะแสดงคุณธรรมให้ประจักษ์แม้ในการรบ ด้วยความคิดเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้เราทำศึกกับคนไทได้โดยฟ้าและดินไม่ตำหนิ และเมื่อโชคชะตาของแคว้นไทจะต้องมารวมกับจิ๋นแล้ว ขอให้ทุกคนปรานีแก่ชาวไท เราจะเรียกตัวเราว่าผู้เจริญได้ก็ด้วยความดีของเราเท่านั้น ”
“ ประการที่สาม ขอให้ทุกคนเว้นการปล้นสะดมชาวบ้าน อนึ่งในแคว้นไท สูจะเห็นคนประเภทหนึ่งนุ่งห่มด้วยผ้าสีไพรโกนศีรษะโล้น คนประเภทนี้ในแคว้นจิ๋นก็มีอยู่ เขาไม่ถือว่าผู้ใดเป็นศัตรู จงนับถือคนประเภทนี้และหากผู้ใดทำอันตรายแก่คนประเภทนี้ ข้าจะประหารผู้นั้นเสีย ”
นายกองทั้งปวงก็นำคำของเตียวเหลียงไปแจ้งแก่ทหารของตน แล้วเตียวเหลียงก็สั่งให้เดินทัพต่อไป
๔...
เมื่อกองทัพจิ๋นผ่านลำน้ำลูไปแล้ว เตียวเหลียงมิได้นำทัพไปทางใต้อันเป็นทางตรงไปยังเมืองลือ เพราะว่าทางนี้มีป่าเขาเป็นอันมากและกันดาร เตียวเหลียงให้เดินข้ามไปทางเมืองยูโรอันอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองลือกับเมืองเม็ง เมื่อถึงทางสองแพร่ง ซึ่งทางหนึ่งไปสู่เมืองเม็ง เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า “ ถ้าข้าจะแบ่งทหารให้สูไปตีเมืองเม็ง และเราจะแยกกัน ณ ที่นี่จะดีหรือไม่ ”
ซิฉุยตอบว่า “ ข้าคิดว่าเมื่อเรานำทหารทั้งหมดไปตีเมืองลือ หากเมืองเม็งไม่มาช่วยเมืองลือ การศึกของเราก็จะสะดวกขึ้นและหากเมืองเม็งจะมาช่วย เราก็จะหาทำเลสำหรับทำลายทัพเม็งได้ระหว่างทาง ”
เตียวเหลียงก็พอใจความคิดของรองแม่ทัพของตน จึงให้เคลื่อนทัพต่อไปทางเมืองยูโร และเมื่อกองทัพผ่านเมืองยูโร เตียวเหลียงก็ถามซิฉุยว่า “ ควรหรือไม่ที่เราจะเข้าตีเมืองยูโรก่อนเดินทัพไปเมืองลือ ”
ซิฉุยตอบว่า “ สูได้แจ้งแก่ทหารทั้งปวงแล้วว่า เรามาทำศึกครั้งนี้มิใช่เพื่อทำลายแต่เพื่อให้แคว้นไทต่างๆ ได้มารวมในความเจริญของจิ๋น ข้าจึงเห็นว่าหากแคว้นลือเป็นของจิ๋นแล้ว แคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างๆ ของลือก็จะยอมต่อจิ๋นโดยง่าย จึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องเข้าตีเมืองยูโร ”
เตียวเหลียงก็ให้เดินทัพต่อไป เมื่อทัพของเตียวเหลียงไปถึงเขาธาไนย ชาวเขาออกมารังควานทัพทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อทหารจิ๋นติดตาม ชาวเขาธาไนยก็หลบหนีเข้าป่าไปสิ้น เตียวเหลียงไม่เสียหายมาก แต่ชาวเขาธาไนยก็ทำความรำคาญให้แก่เตียวเหลียง เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า “ ชาวเขาธาไนยนี้มีน้ำใจนักสู้โดยแท้ ก่อนเราจะเดินทัพไปแคว้นลือ เราจำเป็นต้องสั่งสอนเสียบ้างมิฉะนั้นจะทำความรำคาญให้เราเรื่อยไป ”
แล้วเตียวเหลียงนำกองทัพไปตั้งอยู่ที่ทุ่งหน้าเขาธาไนย คืนนั้นชาวเขาธาไนย ก็ออกมารบกวนกองทหารจิ๋นอีก แต่ทหารจิ๋นระวังตัวอยู่แล้ว จึงขับไล่ชาวเขาธาไนยไปสิ้น ทิ้งคนตายไว้สามสิบคน ส่วนที่เหลือก็หนีขึ้นไปบนหน้าผาของเขาธาไนย รุ่งเช้าเตียวเหลียงบอกให้ชาวเขาธาไนยลงมาอ่อนน้อมโดยดี แต่ชาวเขากลับยิงธนูลงมาถูกทหารจิ๋นตายไปหลายคน เมื่อทหารจิ๋นยิงธนูขึ้นไปบ้าง ชาวเขาก็หลบเข้าไปในถ้ำบนหน้าผานั้นหมดสิ้น และยังเยาะเย้ยทหารจิ๋นให้ขึ้นไปบนหน้าผา
เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่เตียวลกผู้น้องว่า “ สูคงจำได้ว่า เมื่อลิตงเจียให้หันตงนำทหารมาจับธงผากับชาวธาไนยนั้น หันตงกลับไปแจ้งแก่ลิตงเจียว่า ชาวเขาธาไนยหลบหนีไปอยู่ที่อื่น บัดนี้เราได้รู้แล้วว่า ชาวเขาธาไนยมิได้หลบไปไหนเลย แท้จริงหลบอยู่ในถ้ำบนเขานี้เอง ”
และเตียวเหลียงสังเกตว่ามีลมพัดจากทุ่งไปยังหน้าผา ลมจะจัดขึ้นในตอนเย็น และพ้นทุ่งนั้นมีเทือกดินฝุ่นที่ทำให้แสบนัยน์ตาและเป็นพิษแก่การหายใจ เตียวเหลียงจึงให้ทหารขนดินฝุ่นนั้นมากองเป็นเนินสูงที่หน้าผา ครั้นตกเย็นลมพัดจัดไปทางหน้าผา เตียวเหลียงก็ให้ทหารม้าย่ำบนเนินดินนั้น ดินฝุ่นนั้นปลิวเข้าไปในถ้ำอยู่ตลอดเวลา ชาวเขาธาไนยไม่อาจจะทนหายใจเอาฝุ่นเข้าไปได้นาน ก็ต้องลงมาทางบันไดที่ทำไว้ ทหารจิ๋นก็จับไว้ได้ทั้งสิ้น แล้วเตียวเหลียงกล่าวแก่ชาวเขาธาไนยว่า “ ครั้งหนึ่งเมื่อข้าถอนทหารออกจากเมืองลือ ข้าเอาเด็กเมืองลือห้าสิบคนเป็นประกัน แต่ชาวจิ๋นคนหนึ่งนำเอาเด็กทั้งห้าสิบคนไปคืนให้ธงผา ซึ่งเป็นชาวเขาแห่งนี้ ธงผากลับปล่อยเด็กคืนให้ข้าเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง มาคราวนี้ข้าจะปล่อยพวกสูไปบ้าง ”
แล้วเตียวเหลียงให้ชาวเขาธาไนยสาบานว่าจะไม่ติดตามไปรังควานทัพจิ๋น เมื่อชาวเขาทั้งหมดสาบานแล้วเตียวเหลียงก็ปล่อยไป
แล้วเตียวเหลียงก็เดินทัพลงไปทางใต้ มุ่งไปเมืองลือ
๕...
เมื่อกุมภวาได้ข่าวว่าทัพจิ๋นยกมาก็ระดมคนทั่วแคว้นลือเข้าประจำทัพ แล้วนำทัพออกจากเมือง แล้วแจ้งไปยังสีเภาที่กำลังล้อมเมืองไต๋อยู่ ให้ระวังทัพจิ๋นที่อาจจะไปตีขนาบได้ ทางเมืองเม็งนั้นกุมภวาให้ม้าเร็วไปแจ้งให้ยกทัพมาช่วย
ระหว่างที่เดินทัพไปนั้น ชาวลือล้วนแต่มีกิริยาร่าเริงด้วยว่าเคยมีแต่ชัยทั้งต่อทัพจิ๋นและต่อทัพแคว้นไทด้วยกัน แต่กุมภวาเงียบขรึมไป ธงผาซึ่งขี่ม้าเคียงข้างสังเกตเห็นเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ ทุกคราวที่สูออกศึก ข้าเห็นสูแจ่มใสและร่าเริงเสมือนได้ออกไปล่าสัตว์ แต่เหตุใดคราวนี้จึงเงียบขรึมไป สูไม่สบายหรือ ”
กุมภวาตอบว่า “ ธงผาเอย โดยส่วนตัว ข้าจะไม่สบายก็หาไม่ แต่เรื่องของเมืองเรากำลังหนักใจข้าอยู่ ทัพของเราครั้งนี้แม้จะมีกำลังเท่ากับครั้งที่สู้กับทัพลิบุ๋น แต่เราไม่มีทัพสำรองอีกแล้วหากเราเสียทีแก่ข้าศึกเราก็ไม่มีคนฉกรรจ์มาสู้กับจิ๋นได้อีกเพียงพอ อนี่งเล่าผู้เป็นแม่ทัพจิ๋นคราวนี้คือเตียวเหลียง ”
และทัพไทกับจิ๋นพบกันที่บึงแห่งหนึ่ง ทหารจิ๋นเมื่อเห็นทัพไทก็มีความกลัวยิ่งนัก ความเชื่อมั่นในกำลังและฝีมือที่เตียวเหลียงฝึกซ้อมไว้ก็หมดสิ้นไป และพากันตำหนิเตียวเหลียงว่าเขาพาชาวจิ๋นมาสู่ความตาย ลิบุ๋นมีทัพสี่สิบหมื่นยังพ่ายต่อทัพไท แล้วไฉนทัพหกหมื่นจะรอดกลับไปได้
เตียวเหลียงเมื่อเห็นทหารของตนยังกลัวทัพไทอยู่ก็มิออกรบ แต่ให้ตั้งค่ายไว้ห่างค่ายของกุมภวาเพียงสองช่วงระยะธนู แล้วเตียวเหลียงให้ทหารผลัดเวรกันยืนยามบนเชิงเทินและหอคอย เพื่อสังเกตคนไททั้งขณะที่อยู่ภายในค่าย และขณะที่ทหารไทออกมานอกค่าย และให้สังเกตอาวุธการแต่งตัวและการเคลื่อนไหวต่างๆ ของคนไท เตียวเหลียงและนายกองทั้งปวงก็ผลัดเวรกันออกไปยืนยามด้วย ในที่สุดทหารจิ๋นได้เห็นคนไทจนชินตา และก็ได้เห็นว่าคนไทนั้นรูปร่างไม่ใหญ่โตยิ่งไปกว่าคนจิ๋น อาวุธที่คนไทถือก็ไม่แปลกหรือใหญ่กว่าของชาวจิ๋น และทหารจิ๋นเคยได้ฟังมาว่าคนไทกินแต่เนื้อดิบ แต่เมื่อมาได้เห็นด้วยตนเองก็ได้รู้ว่าคนไทหุงต้มอาหารด้วยไฟเช่นเดียวกับชาวจิ๋น ความกลัวอันเกิดจากการไม่รู้และจากคำลือก็หมดไป แต่ก็ยังหวาดอยู่ เตียวเหลียงจึงให้ทหารออกไปตระเวน และจับทหารไทที่ออกไปหาฟืนและเสบียงในป่ามาได้สิบสองคน แล้วเตียวเหลียงให้ทหารจิ๋นปล้ำกับทหารทั้งสิบสองคนนั้น ทหารจิ๋นได้ฝึกมาตลอดทางก็สู้กับคนไทได้ ความมั่นใจว่าจะสู้กับคนไทได้ก็กลับมาอีก
เตียวเหลียงไม่รู้ว่ากุมภวามีทหารมากน้อยเพียงใดจึงไม่นำทหารออกท้ารบ เพราะที่บึงนั้นเป็นที่แคบ มีป่ากีดขวาง เมื่อเตียวเหลียงเห็นว่าทหารของตนคลายความกลัวแล้วจึงถอนค่ายไป เมื่อห่างบึงไปสองร้อยเส้นมาถึงทุ่งกว้างแห่งหนึ่ง ณ ที่นี้ทัพอันมีจำนวนเหนือกว่าจะทำการรบได้เปรียบ และเตียวเหลียงเห็นชายเขาด้านหนึ่งริมทุ่งนั้นมีต้นไม้ขึ้นงามเขา จึงให้ทหารตั้งค่ายอยู่ด้านนั้น แล้วให้ทหารขุดบ่อทั่วไป ก็ได้น้ำใช้โดยไม่ขาดแคลน
กุมภวาก็ถอนค่ายตามทัพเตียวเหลียงไปและไปตั้งมั่นอยู่ชายป่าอีกด้านหนึ่ง เตียวเหลียงจึงนำทหารห้าหมื่นออกท้ารบ
กุมภวาเห็นตนมีทหารน้อยกว่าฝ่ายจิ๋น และหากนำทัพออกรบกลางทุ่งนั้น เตียวเหลียงก็จะสังเกตได้ว่ากำลังทัพของเขามีเพียงใด กุมภวาจึงเฉยอยู่เพื่อรอทัพของสีเมฆจากเมืองเม็ง
๖...
เตียวเหลียงนำทหารออกสนามอยู่สามวัน ทัพไทก็มิได้ออกมา ทหารจิ๋นก็ฮึกเหิมขึ้น เตียวเหลียงเห็นว่าทหารของเขาไม่เสียขวัญแล้วจึงเขียนหนังสือให้ทหารถือไปยังกุมภวาเป็นใจความว่า “ ข้าเตียว
เหลียงขออวยพรมายังกุมภวา ในที่สุดเราได้พบกันอีกแต่เคราะห์ได้กำหนดให้เราพบกันอย่างคู่ศึกเช่นเคย ครั้งสุดท้ายสูคงจำได้ว่าข้ารักษาเมืองไกวเจาและสูกล่าวว่า การป้องกันกำแพงเมืองนั้นเด็กก็กระทำได้ สูชวนให้ข้าออกสู้กลางสนามให้สมกับผู้เป็นแม่ทัพ บัดนี้ทุ่งกว้างรออยู่เบื้องหน้าแล้ว ข้ารออยู่สามวัน แต่ต้องกลับเข้าค่ายทั้งสามวัน เพราะฝ่ายสูไม่ออกมา สูอาจกลัวเพราะทหารจิ๋นมีจำนวนมากกว่า หากวิตกในข้อนี้ พรุ่งนี้จงยกทัพออกมาเถิดข้าจะนำทหารออกเพียงสามหมื่น ”
กุมภวาอ่านหนังสือของเตียวเหลียงแล้วก็เขียนตอบไปว่า “ ข้ากุมภวาขออวยพรมายังเตียวเหลียง แต่ก่อนมาข้าไม่เคยให้ข้าศึกเลือกเวลาและสนามรบให้ข้า แต่คราวนี้จะตามใจแม่ทัพจิ๋นสักครั้ง พรุ่งนี้ธงผาจะนำทัพฝ่ายไท ”
เมื่อทหารจิ๋นถือหนังสือกลับไปแล้ว กุมภวาก็แจ้งแก่นายกองทั้งปวงว่า “ เตียวเหลียงรู้ดีว่าการรบมิใช่การละครที่เขากล้านำทหารสามหมื่นออกรบในทุ่งกว้างเช่นนี้คงจะมีขบวนรบที่เขามั่นใจ เพราะว่าในทุ่งกว้างนี้ ฝ่ายใดจะใช้กลอุบายอย่างใดย่อมทำได้ยาก พรุ่งนี้สูจงนำทหารออกสนามหมื่นห้าพัน เพื่อดูว่าเตียวเหลียงจะทำอย่างไรแก่เราบ้าง หากได้ยินเสียกลองเมื่อใดจงรีบนำทหารกลับ ”
ธงผาก็รับคำ
เมื่อเตียวเหลียงได้รับหนังสือของกุมภวาแล้วก็กล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า “ บัดนี้กุมภวารับคำท้าของเราแล้ว หากเขาชะล่าใจเราจะทำลายกำลังของฝ่ายไทได้มาก อันการรบของคนไทนั้นข้าสังเกตตลอดมาก็ได้รู้ว่า คนไทนั้นอาจเหนือกว่าเราในการรบตัวต่อตัว เพราะว่าคนไทว่องไวและใช้เครื่องรบที่เบากว่า แต่เมื่อรวมกันเป็นขบวนรบ เราจะเข้มแข็งกว่าคนไท เหตุนี้นอกจากเราจะได้ฝึกการรบประชิดตัวแล้วข้ายังได้ฝึกทหารของเราให้รวมกำลังกันเป็นการรบแบบหนัก โดยใช้เครื่องเกราะที่หนักและอาวุธที่หนัก ขบวนรบแบบนี้จะมีชัยต่อเมื่อทหารประสานกันได้ ไม่แยกจากกันท้องทุ่งระหว่างค่ายของข้าศึกกับค่ายของเราเป็นที่เหมาะสำหรับการรบแบบนี้ พรุ่งนี้ซิฉุยจงเป็นปีกขวาและเตียวลกเป็นปีกซ้าย ข้าจะคุมทหารอยู่กลางทัพ ข้าจะทำอ่อนกำลังถอยทหารให้ธงผาติดตามแล้วปีกขวาและซ้ายจงโอบทัพไทไว้ ด้วยวิธีนี้ถ้าธงผาไม่ยอมจำนน ธงผาก็จะไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้ ”
แล้วเตียวเหลียงจัดทหารไว้สามหมื่นสำหรับออกสนาม
รุ่งขึ้นทัพทั้งสองออกมายังทุ่งหน้าค่าย เตียวเหลียงให้ทหารยิงธนูไปเป็นเชิงสกัดข้าศึกไว้ ธงผาก็นำทหารรุดหน้าไป เมื่อกองธนูถอยไปแล้ว เตียวเหลียงให้กองม้าออกมารบล่อฝ่ายไท ธงผานำทหารรุกต่อไปอีก เตียวเหลียงก็โบกธงให้ทัพราบเบาออกต้าน แต่ก็ไม่อาจสู้ทัพของธงผาได้ ต้องร่นถอยไป และระหว่างกองและหมวดต่างๆ ของทัพราบหนักของเตียวเหลียงนั้น มีช่องว่างซึ่งทหารราบเบาหลบไปโดยสะดวก
เมื่อทัพของธงผาไปถึงทัพราบหนัก ธงผาก็นำทหารเข้าโจมตี
แต่ทัพราบหนักของเตียวเหลียงนั้นตั้งขบวนไว้แน่นหนา ทหารเรียงกันเป็นหน้ากระดานตั้งแต่ปลายปีกขวาจดปลายปีกซ้าย แต่ละหมวดยึดกันแน่น มีทหารหมวดละร้อยสิบคน ตั้งเป็นแนวๆ ละสิบเอ็ด และลึกเป็นสิบแนว ระหว่างทหารแต่ละคนมีช่องว่างให้ทหารแนวหลังมาสับเปลี่ยนแนวหน้าได้โดยไม่เสียขบวน เมื่อแนวใดขึ้นมาอยู่แนวหน้ายันกับข้าศึกแล้ว แนวต่อไปก็จะเตรียมเข้ามาแทนที่และทหารทั้งหมดจะรักษาขบวนได้ดังเดิม เมื่อทหารในแนวใดเสียทีถูกอาวุธของทหารไทล้มลง ทหารแนวหลังจะออกมากันทหารนั้นไว้ และจะมีทหารของอีกแนวหนึ่งมาแทนที่ทหารที่บาดเจ็บ
และแต่ละกองของทัพจิ๋นจะมีทหารสำรองไว้
และทหารจิ๋นถือหอกยาวเป็นอาวุธ กระชับแน่นในมือทั้งสอง ทุกคนยกหอกอยู่ระดับเอวขนานกับพื้นดิน เมื่อหอกทำงานไม่ได้ผลก็ใช้ดาบแทนต่อไปในเมื่อข้าศึกประชิดตัว และทหารแต่ละคนเป็นกำลังที่คอยช่วยคนข้างเคียงอยู่ได้เสมอ แม้เครื่องรบจะหนักทำให้ขาดความว่องไว แต่เกราะที่ทุกคนสวมอยู่พอจะต้านทานดาบของคนไทจนว่าเพื่อนที่อยู่ข้างหรืออยู่หลังจะเข้ามาช่วย
ธงผานำทหารเข้าโจมตีแนวของทัพจิ๋นละลอกแล้วละลอกอีก แต่ไม่อาจจะทำให้ทัพจิ๋นถอยไปหรือเสียขบวนได้ และกุมภวานั้นสังเกตการรบอยู่บนหอคอย เห็นวิธีการรบของทัพจิ๋นก็ประหลาดใจยิ่งนัก เพราะมีการประสานกันดียิ่ง กุมภวาจึงเฝ้าสังเกตอยู่เพื่อดูว่าจะมีวิธีใดทำลายวิธีรบแบบนี้ได้ และกุมภวาให้ทหารม้าออกจากคายเตรียมช่วยทัพของธงผา
เตียวเหลียงนั้นคุมทหารอยู่กลางแนว เมื่อเห็นว่าทัพไทยังโจมตีอยู่จึงสั่งให้กลางแนวถอย ธงผาก็นำทหารติดตามแต่ด้านปีกทั้งสองข้างของทัพจิ๋นนั้นยังคงยันทหารไทอยู่ ดังนั้นทัพจิ๋นจึงเปลี่ยนจากรูปหน้ากระดานเป็นรูปโค้งของวงเดือน และส่วนที่ถอยไปนั้นแม้จะดูประหนึ่งว่ากำลังเสียที แต่ก็ยังรักษาขบวนได้อยู่
กุมภวาเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าปีกทั้งสองข้างของทัพจิ๋น จะโอบทัพของธงผาไว้ให้ตกอยู่ในที่ล้อม
กุมภวาจึงให้กองม้า ซึ่งคอยอยู่ออกไปยันปีกทั้งสองข้างนั้นไว้ และให้ตีกลองเรียกทัพของธงผากลับ
ธงผาก็นำทหารถอยกลับ ฝ่ายทัพจิ๋นติดตามมาจนถึงหน้าค่าย แต่ฝ่ายไทเข้าค่ายเสียก่อน แล้ว
กุมภวาให้ทหารระดมยิงธนูจนทหารจิ๋นต้องถอยกลับ
ธงผาจึงเข้าไปแจ้งแก่กุมภวาว่า “ ตั้งแต่ข้าทำการศึกมาไม่เคยเห็นขบวนทัพที่แข็งต่อการโจมตีเหมือนทัพของเตียวเหลียงเลย ไม่ว่าจะเคลื่อนมายังเราหรือจะถอยหรือจะยันเราอยู่กับที่ ก็มั่นคงเสมือนแผ่นหินที่เคลื่อนตัวได้ และไม่ว่าที่ใดซึ่งถูกสกัดให้ร้าวไปด้วยอาวุธของฝ่ายเรา ที่นั้นก็จะได้กำลังเสริมขึ้นในทันที ”
กุมภวาตอบว่า “ ธงผาเอย วันนี้เราไม่เสียทีแก่เตียวเหลียงก็น่ายินดีแล้ว สูอย่าได้วิตกถึงกาลข้างหน้า ขบวนทัพของเตียวเหลียงมั่นคงเหมือนแผ่นหินก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่มั่นคงทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นขบวนทัพหรือสิ่งอื่นก็ตามสิ่งนั้นจะมีความบกพร่องแฝงอยู่ ข้าจะได้คิดแก้ไขต่อไป ”
แล้วกุมภวาเรียกทหารที่เข้าโจมตีข้าศึกในวันนั้นมาสอบถามก็ได้ทราบโดยละเอียดถึงอาวุธ วิธีใช้อาวุธ และการตั้งขบวนตลอดจนการรุกและการถอยของข้าศึก
และกุมภวาเห็นว่าทุ่งหน้าค่ายทั้งสองนั้นเป็นทุ่งราบและกว้าง ขบวนรบของเตียวเหลียงได้เปรียบ คืนนั้นกุมภวาจึงย้ายค่ายไปตั้งอยู่ริมลำน้ำเงิน เตียวเหลียงนำทหารติดตามไปตั้งค่ายอยู่ด้านเหนือของฝ่ายไท ระหว่างนั้นเตียวเหลียงป่วย จึงให้ซิฉุยกับเตียวลกออกท้ารบ
กุมภวาจึงนำทหารออกสนาม ให้ธงผาเป็นปีกขวา กุมภวาอยู่ปีกซ้าย และกุมภวาสั่งธงผาว่า “ เมื่อเข้าโจมตี สูจงแทรกเข้าในช่องว่างระหว่างหมวดและกองของข้าศึกแล้วเข้าโจมตีด้านข้าง เพราะว่าทหารข้าศึกใช้หอกยาว เมื่อเข้าชิดตัวแล้วหอกนั้นจะมีกำลังน้อยกว่าดาบสั้นของฝ่ายเรา เมื่อถอย สูจงนำทหารถอยไปยังที่ซึ่งมีต้นไม้บ้าง ร่องน้ำบ้าง หรือที่ใดที่ขบวนทหารของข้าศึกจะต้องแยกจากกัน ด้วยวิธีนี้กำลังอันประดุจแผ่นหินของข้าศึกก็จะสลายไป และกำลังของแต่ละคนก็จะหมดไปด้วย เพราะว่าขบวนทัพแบบนี้จะมีกำลังก็ต่อเมื่อแต่ละคนเป็นส่วนประกอบของกำลังรวมเท่านั้น ”
แล้วทัพของจิ๋นและของไทก็เข้าประจัญบานกัน และโดยวิธีของกุมภวาในไม่ช้าทัพของเตียว
เหลียงก็เสียขบวนคุมกันไม่ติด และเมื่อการรบกลายเป็นการต่อสู้ประชิดตัวทหารจิ๋นมีเครื่องรบหนักก็ไม่อาจจะสู้ฝ่ายไทได้ ทหารไทไล่ฆ่าฟันทหารจิ๋นล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือก็แตกตื่นกลับเข้าค่าย
ขณะนั้นเตียวเหลียงนอนป่วยอยู่ เมื่อทหารมาแจ้งว่าทัพที่ออกสนามแตกหนีมา เตียวเหลียงลุกขึ้นฉวยดาบวิ่งออกไปนอกค่าย พอดีทหารถือธงประจำทัพวิ่งมาถึงและทหารจิ๋นต่างก็ตามคนถือธงมา และมีทหารไทไล่ตามมาข้างหลัง เตียวเหลียงแย่งธงจากทหารจิ๋นมาแล้วพุ่งธงนั้นไปในหมู่ทหารไทพร้อมกับกล่าวว่า “ แพ้แล้วธงจะมีประโยชน์แก่ใคร ”
แล้วเตียวเหลียงเข้าขัดขวางทหารไทไว้ และถูกอาวุธบาดเจ็บหลายแห่ง ทหารจิ๋นเห็นแม่ทัพตนอยู่ในอันตรายก็เข้าช่วยโดยไม่คิดถึงชีวิตตน และทุกคนมีความละอายที่ธงประจำทัพตกไปอยู่ในแนวของข้าศึก จึงหันกลับมาสู้รบกับทหารไทต่อไป จนมืดทหารไทจึงถอยกลับ
เตียวเหลียงบาดเจ็บมาก เมื่อฝ่ายไทถอยไปแล้วทหารต้องพยุงกลับเข้าค่าย ขณะที่หมอกำลังพยาบาลเขาอยู่ ซิฉุยนำทหารทั้งปวงมายังที่พักของเขาและกล่าวว่า “ ข้ากับทหารทั้งปวงมีความผิดมากในวันนี้เสมือนว่าเมื่อพ้นสายตาของแม่ทัพแล้ว เราไม่อาจจะสู้ฝ่ายไทได้ เราทุกคนรู้สึกตนว่าทำการไม่สมกับที่เป็นทหารของสู แต่สูเป็นแม่ทัพของทหารได้ทุกทัพ วันนี้หากสูไม่ออกไปค่ายของเราจะตกเป็นของฝ่ายไทโดยแน่แท้ ขอให้สูลงโทษเราเถิด ”
เตียวเหลียงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่า “ พวกสูมิได้ทำผิดอันใด อย่าได้เสียใจเลย เราพลาดพลั้งครั้งนี้มิใช่เพราะเราด้อยฝีมือ แต่เพราะกุมภวารู้ในการใช้ทำเลและเข้าใจขบวนการศึกของเรา ในการรบต่อไปเราจะต้องระวังให้ยิ่งขึ้น คนไทไม่เขลาเหมือนสมัยจูโกเหลียงแล้ว ”
แล้วเตียวเหลียงให้ทหารระวังค่ายอย่างแข็งแรง มิให้ฝ่ายไทลอบโจมตีได้ และเพื่อจะให้ทหารระวังตัวยิ่งขึ้นเตียวเหลียง จึงมิให้ทหารยามถืออาวุธแต่ให้ยืนยามมือเปล่า
แล้วทัพทั้งสองตั้งยันกันอยู่ ฝ่ายกุมภวานั้นรอทัพของสีเมฆและของสีเภา ส่วนทัพจิ๋นรอให้เตียวเหลียงหายป่วย
ต่อมาเตียวเหลียงได้รับข่าวจากกองสอดแนมว่าสีเมฆนำทหารผ่านเมืองยูโรมาแล้ว เตียวเหลียงจึงให้ซิฉุยนำทหารสามหมื่นแยกไปสกัดทัพของสีเมฆ
กุมภวาก็ได้ข่าวจากม้าเร็วว่าสีเมฆกำลังยกคนมาช่วย และเมื่อเห็นจิ๋นแยกไปก็รู้ว่าสีเมฆจะถูกสกัดทัพ กุมภวาจึงให้เคลื่อนทัพติดตามไป
เตียวเหลียงเห็นเช่นนั้นก็ถอนค่ายติดตามทัพของกุมภวาไป และเนื่องจากยังไม่หายป่วยจึงต้องนั่งเกี้ยวตลอดทาง และเตียวเหลียงปล่อยให้กุมภวาเดินทัพไปโดยเขาไม่ส่งกำลังเข้าโจมตีทัพไท
๗...
ระหว่างที่ทัพเตียวเหลียงกับทัพกุมภวาสู้รบกันอยู่นั้น สีเภาล้อมเมืองไต๋อยู่ และเมื่อนานเข้าทัพที่ล้อมและทั้งชาวเมืองไต๋ก็คุ้นเคยกัน เมื่อชาวเมืองไต๋ออกมานอกเมือง ทหารชาวลือก็มิได้ทำอันตราย ยิ่งกว่านั้นยังสนทนากันอย่างกันเอง และทหารชาวลือก็ลอบเข้าไปในเมืองบ่อยๆ พร้อมกับชาวไต๋ เพราะว่าทหารของคำอ้ายไม่สู้กวดขัน เนื่องจากสีเภาส่งทหารกลับไปช่วยกุมภวาเสียบ้าง คงเหลือทหารไว้ล้อมเมืองไต๋ไม่มากนัก ทหารชาวไต๋จึงระวังเมืองน้อยลง และทหารชาวลือจากบ้านมานานก็ไปคุ้นเคยกับหญิงชาวไต๋ ที่ได้เป็นสามีภรรยากันก็หลายคน สีเภาทราบเรื่องจึงเรียกทหารลือที่ไปมีภรรยาหรือคนรักภายในเมืองมาและกล่าวว่า “ ในยามศึกบางครั้งเราต้องใช้เล่ห์กลและเล่ห์กลนั้นบางครั้งก็ต้องใช้คนที่เรารักเป็นเครื่องมือ บัดนี้ข้าทราบว่าพวกสูไปได้หญิงในเมืองไต๋ สูจงกลับไปบอกคนรักของสูภายในเมืองไต๋ว่า ทัพลือจะกลับไปแล้ว เพื่อไปสกัดทัพจิ๋น แต่เกรงว่าคำอ้ายจะนำทหารติดตามโจมตีหากคนรักของสูเห็นว่าเรามาทำศึกโดยชอบธรรม และเราจะกลับไปต่อสู้กับทัพจิ๋นเพื่อคนไททั้งปวง ก็จงช่วยเหลือเราข้าจะขุดอุโมค์ให้ทหารของเราเข้าเมือง ”
ทหารเหล่านั้นรับคำและเมื่อลอบเข้าไปเมืองไต๋แล้วก็แจ้งแก่คนรักและญาติของคนรักทราบ คนเหล่านั้นไม่พอใจคำอ้ายอยู่แล้วจึงรับช่วย
แล้วสีเภาให้ทหารขุดอุโมงค์เข้าไปในเมืองและให้ทำการโจมตีเมือง เพื่อให้ทหารของคำอ้ายพะวงอยู่แต่กำแพงเมือง เมื่อขุดไปถึงเมืองแล้วก็ขึ้นมาทางบ้านของผู้ที่คอยช่วยเหลืออยู่ ทหารของคำอ้ายถูกขนาบทั้งหน้าและหลัง ในที่สุดสีเภาพังประตูเมืองได้ทหารของคำอ้ายเมื่อสู้ไม่ได้แล้วก็พากันหนีเอาตัวรอด สีเภาสั่งให้ทหารไปล้อมบ้านของคำอ้ายซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกำแพงเมืองไว้ แต่เมื่อเข้าค้นบ้านก็ไม่พบคำอ้าย คงพบแต่อุโมงค์ที่ขุดทะลุออกจากบ้านไป ทหารลือซักถามคนในบ้านแล้วก็พากันแยกย้ายออกไปติดตามคำอ้าย ณ ที่อื่น
คำอ้ายหนีออกมาจากเมืองโดยทางอุโมงค์และนำบ่าวคนสนิทคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับตนติดตามไปด้วยแล้วไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านภูดาวสหายคนหนึ่ง ทหารลือทราบก็ติดตามไปที่นั่นและล้อมบ้านไว้และร้องบอกภูดาวให้นำตัวคำอ้ายออกมา
ภูดาวจึงกล่าวแก่คำอ้ายว่า “ ข้ารับสูไว้แล้วจะส่งสูไปตาย ข้าทำไม่ได้ แต่ยามคับขันเช่นนี้ข้าจะทำประการใด ”
คำอ้ายบอกว่า “ สูจงไปบอกทหารลือเถิดว่าข้าถูกฆ่าตายแล้วให้ทหารลือเข้ามาดูเถิด ”
ภูดาวจึงกล่าวว่า “ ทหารลือบางคนคงจะเข้ามา แต่ส่วนมากคงจะล้อมบ้านต่อไปเพื่อมิให้สูหนีได้ อุบายจะสำเร็จหรือ ”
คำอ้ายมิได้กล่าวประการใด เอาดาบฟันบ่าวของตนคอขาดแล้วคำอ้ายเอาแหวนตราของเจ้าเมืองสวมให้บ่าวของตนแล้วกล่าวแก่ภูดาวว่า “ สูเห็นแล้วว่าบ่าวคนนี้รูปร่างเหมือนข้า ข้าให้ติดตามมาด้วยเพื่อใช้ในยามคับขัน เมื่อทหารลือมาเห็นศพกับแหวนตาก็จะเชื่อว่าข้าตายแล้ว สูไปบอกให้เขาเข้ามาเถิด ข้าจะซ่อนตัวอยู่จนกว่าทหารลือจะกลับไป ”
ภูดาวก็เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปบอกทหารลือตามคำของคำอ้าย แต่ระหว่างเดินไปภูดาวรำพึงกับตนเองว่า “ คำอ้ายนี้มีปัญญามาก แต่เป็นปัญญารักษาตัวเองโดยทำลายผู้อื่นบ่าวที่ติดตามในยามลำบากคำอ้ายยังฆ่าเสียได้ คนเช่นนี้ถ้าข้าช่วยไว้ ข้าอาจจะรับภัยได้เช่นบ่าวนั้น ” แล้วภูดาวก็บอกทหารลือถึงที่ซ่อนของคำอ้ายในบ้านนั้น ทหารลือจับคำอ้ายได้และนำตัวกลับมาจำไว้และไปแจ้งแก่สีเภาว่าจับคำอ้ายได้แล้ว
สีเภาจึงกล่าวแก่ทหารว่า “ ข้าเกลียดคนๆ นี้ที่สุดแล้ว คนไทและเพื่อนของข้าตายเพราะผู้นี้มากนัก สูจงเอาไปฆ่าเสียโดยเร็ว ข้าไม่ต้องการจะเห็นผู้นี้ให้ความเกลียดของข้าเพิ่มขึ้นอีก ”
ทหารตอบว่า “ สีเภาเกลียดสูมาก ไม่ประสงค์จะเห็นสูให้ความเกลียดเพิ่มขึ้นอีก ”
คำอ้ายกล่าวว่า “ ประเพณีมีอยู่ว่าคนจะถูกประหารนั้น จะออกปากขอจากผู้จะประหารคนได้สามครั้ง ส่วนผู้ประหารจะให้หรือไม่เป็นเรื่องของผู้ประหารเอง ผู้ใดผิดประเพณีนี้ผู้นั้นทำผิดยิ่งนักต่อผู้จะตาย สูจงไปบอกสีเภาว่าข้าต้องการพบ ”
ทหารก็ไปแจ้งแก่สีเภาดังคำของคำอ้าย สีเภาจึงให้นำคำอ้ายเข้ามาแล้วสีเภากล่าวว่า “ สูมาขอสิ่งใดก่อนตายหรือ เมื่อแรกที่ข้าล้อมเมืองอยู่ ข้าให้สูมอบเมืองโดยดีแล้วข้าจะปล่อยสูไป แต่สูไม่ยอมจนทำให้ชาวลือและชาวไต๋ต้องล้มตายไปอีกมาก บัดนี้ข้าปล่อยสูไม่ได้แล้ว ”
คำอ้ายเอ่ยขึ้นว่า “ สีเภาเอย ในชีวิตของข้าตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แขวงเมืองมงทุมจนเมื่อเป็นเจ้าเมืองในเมืองนี้ข้าไม่เคยขอสิ่งใดจากผู้ใดและสามสิ่งที่ข้าจะออกปากขอก่อนตายได้ตามประเพณี ข้าก็จะไม่ขอจากสู แต่ข้าจะขอให้สูได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในสามสิ่งก่อนประหารข้า ”
สีเภากล่าวว่า “ ข้าไม่เคยเอาสิ่งใดจากผู้อื่นโดยไม่ตอบแทนให้คุ้มกัน สูกล่าวมาเถิดว่าจะให้สิ่งใดแก่ข้า ”
คำอ้าย “ สิ่งแรกคือทองมากมายที่ข้าซ่อนไว้ในถ้ำหลายแห่งสูไปขุดเอาได้ตามลายแทงที่ข้าทำไว้ แล้วสูจะได้ทองเกินกว่าที่จะชั่งได้ ”
สีเภากล่าวว่า “ ทองเหล่านี้สูได้มาด้วยความชั่ว ข้าไม่ประสงค์จะเอาจากสู นี่เป็นสิ่งหนึ่งแล้วที่ข้าไม่ขอจากสู ”
คำอ้ายจึงกล่าวต่อไปว่า “ ทางเหนือของแคว้นไต๋มีที่ราบสูงแห่งหนึ่ง กลางที่ราบนี้เป็นแผ่นหินกว้างยาวหลายร้อยเส้น เมื่อคราวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้น ที่ลือและเชียงแสชาวเมืองชาวเมืองเสียชีวิตจำนวนมาก แต่ว่า ณ ที่ราบสูงของไต๋นี้ แผ่นหินแยกออก เกิดเป็นหุบเหวเบื้องล่าง คนได้เห็นมณีเหลือจะนับได้กระจายทั่วไปเบื้องล่างนั้น แต่ไม่มีผู้ใดลงไปแล้วจะขึ้นมาได้ สูต้องการให้เขาบอกหรือไม่ว่าจะเอามณีเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อคนลงไปไม่ได้ ”
แล้วคำอ้ายก็รอคำตอบของสีเภา สีเภานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “ ข้าไม่ต้องการให้สูบอกเพราะข้าจะเอามณีเหล่านั้นขึ้นมาได้หากข้าประสงค์ โดยไม่ต้องส่งคนลงไปให้ตายที่นั่น อนึ่งเล่ามณีเหล่านั้นมีค่าขนาดข้าควรจะปล่อยคนอย่างสูไปกระนั้นหรือสูมีอะไรเสนอให้ข้าเป็นสิ่งสุดท้าย จงบอกมาเถิด ”
คำอ้ายนิ่งอยู่ครู่หนี่งแล้วกล่าวต่อไปว่า “ ข้าสามารถรู้ว่าดวงตะวันและดวงเดือนที่สว่างอยู่ตามปกตินั้นจะมืดไปฉับพลันเมื่อใดและจะมืดมากน้อยเพียงใด มีคนไทรู้ได้เช่นนี้หรือ ” แล้วคำอ้ายก็จ้องมองสีเภาอยู่
สีเภา “ ข้าประสงค์ได้ความรู้นี้ แต่ว่าสูฆ่าขุนสินด้วยความรู้นี้เมื่อขุนสินนำชาวไต๋มาเพื่อช่วยเราขับไล่ทัพของลิบุ๋น ข้าจึงไม่ประสงค์เอาความรู้นี้จากสู ”
คำอ้ายจึงเดินออกมาจากสีเภาพร้อมกับทหารลือ และเมื่อถึงลานประหารคำอ้ายหันไปกล่าวแก่ทหารลือนั้นว่า “ ข้าเห็นสูแล้วก็รู้ว่าแต่ก่อนสูเป็นพราน ”
ทหารผู้นั้นรับว่าเป็นความจริง แล้วคำอ้ายดึงห่อเล็กจากเสื้อและกินผงในห่อนั้นไปครึ่งหนึ่ง แล้วส่งที่เหลือให้ทหารลือพร้อมกับกล่าวว่า “ ข้าแพ้การศึกต่อสีเภา แต่ข้านี้ยังมีความรู้อีกมาก ข้าสามารถจะทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นที่สูอยู่กลายเป็นเมืองใหญ่ได้ แต่วาสนาข้ามีน้อยเพราะเกิดในหมู่บ้านเช่นสู บัดนี้ข้าจะตายแล้วเพราะผงนี้ สูจงเอาส่วนที่เหลือไปให้สีเภาเถิด เขาอาจจะเอาไปใช้ได้ภายหน้า เพราะเขาอาจถูกจับเช่นข้าเมื่อใดก็เป็นได้ ผงนี้ทำให้คนสิ้นลมได้ทันทีโดยไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด ส่วนศพข้านั้นจงให้คนของข้าได้รับไปจัดการตามธรรมเนียมเถิด ”
เมื่อกล่าวจบคำอ้ายก็หมดลมหายใจไป ทหารตรวจแล้วก็เห็นว่าคำอ้ายตายแล้ว จึงให้เพื่อนเฝ้าร่างของคำอ้ายไว้ แล้วตนเองมาแจ้งต่อสีเภา พร้อมกับนำผงนั้นมาให้และแจ้งถ้อยคำของคำอ้ายต่อสีเภา
สีเภาก็กล่าวแก่ทหารนั้นว่า “ แต่ก่อนสูเป็นพรานมิใช่หรือ ” ทหารนั้นก็รับคำ สีเภาจึงกล่าวต่อไปว่า “ ในป่ามีสัตว์บางชนิดเมื่อรู้ว่าจะหนีภัยไม่พ้นแล้วจะแสร้งทำตายปากอ้าลิ้นห้อย นอนหงายเหมือนตายแล้ว เมื่อภัยพ้นไปแล้วสัตว์นั้นจะลุกขึ้นวิ่งไป สูเป็นพรานจะไม่ให้สัตว์เหล่านั้นลวงได้ คำอ้ายนี้มีอุบายมากกว่าสัตว์ทั้งปวง จงอย่าเชื่อผู้นี้แม้เมื่อเขาตายแล้ว สูจงเอาผงนี้ไปฝังพร้อมกับร่างของเขาในทันทีนี้เถิด ข้าไม่ประสงค์สิ่งใดจากคน ๆ นี้ ”
๘...
เมื่อเตียวเหลียงหายป่วยแล้วก็ส่งทหารไปรังความทัพของกุมภวาอยู่เสมอ กุมภวาจะพักทหารหรือถอนค่ายก็ต้องกระทำด้วยความระวัง มิให้ทหารจิ๋นโจมตีขณะเผลอได้ ครั้นจะแบ่งทหารส่วนหนึ่งไปช่วยสีเมฆ ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะไม่พอสำหรับปะทะกับทัพของเตียวเหลียง กุมภวาจึงต้องปล่อยให้สีเมฆอยู่กับโชคชะตาของตนเอง แต่กุมภวาให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่สีเมฆว่าทัพจิ๋นกำลังมาสกัดทัพของเขา
เมื่อเตียวเหลียงติดตามทัพกุมภวาได้เจ็ดวันก็รู้ว่าทัพของกุมภวาใกล้จะถึงแม่น้ำ เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่เตียวลกว่า “ สูจงคุมทหารหนึ่งหมื่นอยู่กับกองเสบียง ส่วนข้าจะนำทหารสองหมื่นเร่งตามทัพไทไป เพราะว่าหากทัพไทข้ามแม่น้ำไปได้แล้ว แทนที่เราจะเป็นฝ่ายติดตาม ทัพไทกลับจะเป็นฝ่ายยันเราไว้มิให้เราข้ามน้ำไปได้โดยใช้กำลังแต่เพียงส่วนน้อย แล้วส่วนที่เหลือกุมภวาก็จะแบ่งไปช่วยทัพจากเมืองเม็งได้ ”
แล้วเตียวเหลียงให้ทหารสองหมื่นเตรียมเสบียงติดตัวไป และให้เดินทางไปโดยเร็วให้ทันทัพของกุมภวา ”
กุมภวาเมื่อถึงริมแม่น้ำก็จะให้ทหารข้ามแม่น้ำไปแต่พอดี ทัพของเตียวเหลียงมาทัน แล้วเตียว
เหลียงให้ทหารเตรียมเข้าโจมตีทัพไท กุมภวาจึงไม่อาจนำทัพข้ามแม่น้ำแต่ต้องตั้งค่ายอยู่ริมน้ำนั้น และในคืนนั้นทัพไทและทัพจิ๋นก็ระวังกันอยู่มิให้ฝ่ายใดข้ามแม่น้ำได้
รุ่งขึ้นทัพของเตียวลกก็ติดตามมาสมทบกับทัพของเตียวเหลียง แล้วเตียวเหลียงให้ทหารทั้งทัพราบหนักราบเบา และทัพม้าตั้งขบวนเพื่อโจมตีและเตียวเหลียงขับม้าตระเวนไปทั่วทุกกองและประกาศแก่ทหารของเขาว่า “ ทัพข้างหน้าสูนี้เป็นทัพของกุมภวา ผู้นี้เป็นเสมือนเสือในบรรดาสัตว์ทั้งปวง บัดนี้เสือมาติดอยู่ที่ริมน้ำแล้ว เราจะเข้าโจมตี หากเราทำลายเสือนี้ได้งานศึกของเราก็จะไม่หนักอีกต่อไป ”
แล้วเตียวเหลียงนำทหารเข้าโจมตีทัพของกุมภวาทั้งสามด้านตลอดวัน รุ่งขึ้นก็เข้าโจมตีอีก
กุมภวาให้เตียวเหลียงโจมตีอยู่สามวัน ทหารไทได้รับความลำบากยิ่งนักและน้ำใจก็หดหู่ลง ธงผาจึงขับม้าไปยังกุมภวาและกล่าวว่า “ เหตุใดสูจึงตั้งเฉยอยู่ให้ข้าศึกทำเราได้ตามชอบใจเช่นนี้ ถึงแม้เราจะข้ามแม่น้ำไปไม่ได้ เราก็จะผละจากที่นี่ไปหาทำเลใหม่ ให้ดีกว่านี้ได้ ”
กุมภวากล่าวว่า “ ข้ากำลังหาทำเลเช่นนั้นอยู่แล้ว และกำลังทำให้ข้าศึกกำเริบใจอยู่ ”
ในวันนั้นเตียวเหลียงก็โจมตีอยู่ถึงเย็น ครั้นรุ่งขึ้นกุมภวาให้ทหารถอยไปทางใต้ ทหารจิ๋นฮึกเหิมอยู่ก็ติดตามเรื่อยไป แต่ว่าในระหว่างนั้นทหารที่เหลือของกุมภวาถอยพลางสู้พลาง เพื่อชะลอข้าศึกไว้ และอีกสองวันก็ถึงหุบเขา ทัพของกุมภวาก็หนีเข้าไปเตียวเหลียงติดตามไป เตียวลกจึงกล่าวแก่เตียว
เหลียงว่า “ หุบเขาดูจะเป็นอันตรายแก่เราได้ เพราะข้าศึกเข้ามาก่อน ”
เตียวเหลียงกล่าวว่า “ เราโจมตีทัพกุมภวาสามด้านที่ริมแม่น้ำได้ แต่ในหุบเขานี้ ถ้ากุมภวาจะล้อมเราเขาจะมีทหารไม่พอ และหากเราถูกล้อมเราก็จะตีฝ่าออกไปได้ และถ้าเราไม่ตามเข้ามากุมภวาก็จะไปทำลายทัพของซิฉุยได้ ”
แล้วทัพจิ๋นก็ตามทัพของกุมภวาเรื่อยไปในหุบเขาจนตลอดคืน
เมื่อกุมภวามาใกล้ช่องเขาด้านริมน้ำเห็นแสงไฟอยู่เบื้องหลังก็รู้ว่าทัพเตียวเหลียงติดตามมา
กุมภวาจึงให้ก่อไฟเรียงรายไว้เป็นอันมาก ทหารของเตียวเหลียงเห็นดังนั้นก็คิดว่าฝ่ายไทวางกับดักฝ่ายตนไว้ ต่างก็พากันลังเลใจไม่อยากจะเดินทัพไปในยามมืดเช่นนี้ เตียวเหลียงเห็นทหารของตนลังเลใจ จึงให้ตั้งมั่นอยู่เพื่อรอแสงสว่างของวันรุ่งขึ้น
ฝ่ายกุมภวาในคืนนั้นก็ให้ทหารขุดคูลึกแปดศอกขวางทางของทัพจิ๋นไว้ และทหารของสีเภาก็ขุดคูกั้นทัพจิ๋นทางด้านหลังเช่นเดียวกัน
ครั้นเวลาใกล้รุ่ง ฝ่ายไทขุดคูเสร็จกุมภวาก็ให้ก่อควันไฟขึ้น ทหารไทสี่ด้านก็ระดมยิงธนูไปยังทัพจิ๋น เมื่อเตียวเหลียงรู้ว่าตนถูกล้อม จึงนำทหารมุ่งไปทางลำน้ำหมายจะตีฝ่าไปทางนั้น แต่ทหารจิ๋นไม่อาจจะข้ามไปได้ เมื่อเข้าไปใกล้คู ทหารไทก็ระดมยิงธนูและพุ่งหอกมา ทหารจิ๋นล้มตายเป็นอันมาก ทั้งทหารไทบนเขาก็ระดมยิงธนูลงมา เตียวเหลียงจึงนำทหารกลับไปทางหลังแต่ก็ถูกขวางไว้ด้วยคูลึกอีก เตียวเหลียงขับให้ทหารข้ามคูนั้นไป แต่ก็ถูกทหารไทฆ่าตายเสียสิ้น ทหารจิ๋นที่จะหนุนเข้าไปช่วยเหลือก็ถูกระดมยิงจากไหล่เขาทั้งสองด้าน ไม่อาจทำการรบได้ถนัดและในที่นั้นช่องเขาแคบกว่าด้านแม่น้ำ ทหารไทยบนไหล่เขาจึงฆ่าทหารจิ๋นด้วยลูกธนูได้มากขึ้น เตียวเหลียงจึงนำทหารย้อนกลับไปทางด้านแม่น้ำ กุมภวาเห็นทัพจิ๋นตรงเข้ามาอีกก็เข้าไปในหมู่ทหารแล้วร้องประกาศว่า “ ชาวไททั้งหลาย ข่ารู้อยู่ว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องถือพลั่วขุดคูทั้งคืน แต่วันนี้จะเป็นวันตัดสินชะตาของข้าศึก หากเราทำลายทัพของเตียวเหลียงได้ บุตรภรรยาของเราและแคว้นไทจะเป็นอิสระต่อไป แต่ถ้าทัพของเตียวเหลียงผ่านไปได้ แคว้นไทจะลำบากยิ่งนัก ข้าขอให้ทุกคนป้องกันคูไว้ให้ได้ ส่วนงานทำลายทหารจิ๋นนั้นพลธนูบนเชิงเขา และที่แนวหลังของเรานี้จะเป็นผู้ทำ ”
ทหารไทเข้าป้องกันคูไว้ไม่มีทหารจิ๋นคนใดข้ามไปได้ ทหารจิ๋นถูกลูกธนูล้มตายลง และมีแต่เสียงร้องครวญครางทั่วไป เตียวเหลียงมองไปโดยรอบเห็นทหารของตนล้มตายลงไปทุกขณะก็รู้สึกว่าทางรอดของทัพตนไม่มีแล้ว เขาก็แหงนหน้าไปทางไหล่เขาที่ฝ่ายไทระดมยิงธนูมาแล้วร้องกล่าวขึ้นว่า
“ คนไทเอย ลูกธนูสำหรับเตียวเหลียงไม่มีหรือ ”
แต่ลูกธนูก็แล่นผ่านเขาไปโดยมิได้ต้องกายเขาเลย
ทหารไทระดมยิงทัพจิ๋นถึงเวลาใกล้เที่ยง พายุก็เกิดและพัดจัดขึ้น ในไม่ช้าฝนตกอย่างหนัก เตียวเหลียงดีใจยิ่งนักร้องบอกทหารว่า “ เทพยดาช่วยเราแล้ว ”
แล้วเตียวเหลียงให้ทหารทั้งแนวเข้าโจมตีด้านแม่น้ำหนักขึ้น และให้ทหารถมเครื่องใช้ของกองทัพลงตรงกลางแนวของคู และให้ฆ่าม้าจำนวนมากแล้วถมศพม้าลงในคูนั้น ฝ่ายทหารไทบัดนี้ยิงธนูไม่ได้ผลเหมือนตอนแรก เพราะลูกธนูซุ่มด้วยน้ำฝนและพายุจัด ทหารจิ๋นจึงดาเข้าไปด้านริมน้ำได้ และเตียวเหลียงให้ทหารเข้าไปในตอนกลางของคูซึ่งเป็นที่ทิ้งศพม้า และเครื่องใช้ของกองทัพ ในไม่ช้าคูนั้นก็เป็นพื้นราบ ทหารจิ๋นก็ข้ามไปได้ และในที่สุดก็ฝ่าทัพไทไปได้ เมื่อถึงริมน้ำเตียวเหลียงให้ทหารข้ามน้ำไปโดยให้กองม้าคอยต้านทานทัพไทไว้ ทัพไทเข้าโจมตีทัพจิ๋นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สามารถทำลายทัพจิ๋นได้
บัดนี้ฝนและพายุหยุดแล้ว ดวงตะวันใกล้จะตกดิน กุมภวาจึงสั่งให้ทหารหยุดโจมตี และเขานำหน้าทหารเดินเลียบไปตามริมน้ำ เขาเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนใจและก้มหน้าเดินต่อไปพร้อมกับเพื่อนคนไทอื่น ๆ
๙...
ในคืนนั้นทั้งทัพของกุมภวาและเตียวเหลียงก็ข้ามน้ำไป แต่บัดนี้ทัพของกุมภวาเป็นฝ่ายติดตาม ส่วนทัพของเตียวเหลียงนั้นก็มุ่งไปสมทบกับทัพของซิฉุย
ซิฉุยเมื่อเดินทัพแยกมาจากเตียวเหลียงได้สิบวัน ก็พบกับทัพของสีเมฆ ทั้งสองฝ่ายเข้าประจัญบานกัน ทหารเม็งมีเพียงหมื่นเศษก็พ่ายต่อทัพจิ๋น สีเมฆแม่ทัพกับบุญห้วยผู้ช่วยตายในที่รบ ทหารเม็งเหลือตายสองพันเศษ บางคนก็ถูกจับเป็นเชลย บางคนก็หนีกลับไปเมืองเม็ง เมื่อซิฉุยทราบจากเชลยไทว่าสีเมฆกับบุญห้วยต่อสู้จนตายในที่รบซิฉุยให้ทหารค้นหาศพทั้งสอง แล้วนำศพมาเผาทำพิธีให้และให้เชลยไทนำอัฐิกลับไปให้ภรรยาของคนทั้นสอง แล้วซิฉุยรีบนำทัพกลับมาเพื่อสมทบกับเตียวเหลียง
วันหนึ่งขณะที่ทัพของกุมภวาและของเตียวเหลียงตั้งยันกันอยู่ ม้าเร็วซึ่งกุมภวาส่งไปยังทัพของสีเมฆขับม้าเข้ามาในค่าย ม้าเร็วซึ่งกุมภวาส่งไปยังทัพของสีเมฆขับม้าเข้ามาในค่าย และขณะนั้นกุมภวายืนอยู่บนเชิงเทินกับสีเภา ไม่มีผู้อื่นอยู่ใกล้ ม้าเร็วเข้าไปหากุมภวาและแจ้งว่าทัพสีเมฆถูกทำลายสิ้นแล้ว
กุมภวาเสียใจยิ่งนักเมื่อได้ฟังข่าวนี้ และเขาเห็นทหารไทเป็นอันมากมองมาทางเขา เพราะทหารเหล่านั้นรู้ว่าม้าเร็วนำข่าวทัพของสีเมฆมา กุมภวาเห็นดังนั้นจึงกล่าวแก่ม้าเร็วว่า “ ทหารในทัพของเราอยากรู้ว่าเมื่อใดทัพของสีเมฆถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว ทุกคนจะเสียขวัญ สูจงลงไปสนุกกับทหารข้างล่างเถิดอย่าให้เขารู้ว่าทัพสีเมฆมาช่วยเราไม่ได้แล้ว ”
แล้วกุมภวาตบหลังตบไหล่ม้าเร็วนั้นเสมือนว่าตนมีความยินดี ม้าเร็วนั้นก็ลงไปรวมอยู่ในหมู่ทหารข้างล่างและบอกว่า “ ทัพสีเมฆกำลังเดินทางมาแล้ว ” ทหารทั้งปวงก็นึกว่าเป็นความจริง
ในเช้าวันรุ่งขึ้นกุมภวาก็ให้ถอยทัพลงทางใต้
เตียวเหลียงนั้นขณะที่กำลังฝึกทหารอยู่ ม้าเร็วก็มาแจ้งข่าวชัยชนะของซิฉุย เตียวเหลียงจึงเรียกทหารทั้งปวงมาฟังข่าว ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดี และเมื่อรู้ว่าทัพของกุมภวาถอยไปทางใต้แล้ว เตียวเหลียงก็นำทัพติดตามและส่งคนไปบอกให้ซิฉุยรีบยกกองทัพตามไป
วันหนึ่งขณะที่ทัพของกุมภวาพักแรมอยู่ตามทาง กุมภวาเรียกประชุมทหาร และกล่าวว่า “ เตียวเหลียงกำลังตามเรามาเราไม่อาจจะลอบโจมตีทัพของเตียวเหลียงได้แล้ว เพราะว่าเขาเดินทัพด้วยความระวัง แต่ระหว่างที่เตียวเหลียงหยุดพักแรมคนของเราพอจะเข้าไปฆ่าเขาได้ ถ้าหมดเตียวเหลียงเสียแล้วเราจะทำศึกสะดวกขึ้น ข้าต้องการคนสองคนสำหรับทำงานครั้งนี้ ”
เมื่อจับสลากกันว่าใครจะไปทำงานฆ่าเตียวเหลียง ลาวอ้ายกับพันน้อยเป็นผู้จับได้ กุมภวาจึงกล่าวแก่พันน้อยว่า “ เมื่อสูเป็นเด็กอยู่ สูเป็นตัวประกันคนหนึ่งในจำนวนเด็กห้าสิบคนที่ฝ่ายเรามอบให้เตียวเหลียง เพื่อให้เขาถอนกำลังออกจากเมืองลือ สูเป็นเพื่อนกับเตียวเหลียงตั้งแต่นั้นมา เช่นนี้แล้ว สูจะไปฆ่าเขาได้หรือ ”
พันน้อยกล่าวว่า “ ข้าทำได้แต่ข้าไม่สบายใจเลยที่จะต้องไปฆ่าเพื่อนคนนี้ของข้า ถ้าไม่ได้เตียว
เหลียง ข้าคงตายเสียแล้วในครั้งนั้น ”
กุมภวาจึงให้จับสลากหาคนแทนพันน้อย และได้แสนพูหนุ่มไทอีกคนหนึ่งแทน
ลาวอ้ายกับแสนพูกล่าวแก่กุมภวาว่า “ ในเวลากลางคืน เราจึงจะเข้าไปในค่ายของจิ๋นได้ แต่กระโจมของทหารจิ๋นมีมากและในเวลามือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเตียวเหลียงอยู่ในกระโจมใด ”
กุมภวากล่าวว่า “ เตียวเหลียงจะตื่นขึ้นตอนดึกเพื่ออ่านหนังสือทุกคืน สูพอจะค้นหากระโจมของเขาได้ ” แล้วกุมภวาก็บอกลักษณะของเตียวเหลียงแก่หนุ่มทั้งสอง
ลาวอ้ายกับแสนพูมุ่งไปยังทัพจิ๋น วันหนึ่งทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำในบึงเล็กในบริเวณซึ่งทัพจิ๋นไปตั้งอยู่ ตกยามสามหนุ่มไททั้งสองก็ออกมาจากบึง และแอบเข้าไปในหมู่กระโจมของทหารจิ๋น หนุ่มไทเห็นในกระโจมหนึ่งมีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ก็รู้ว่าเป็นเตียวเหลียง หนุ่มไททั้งสองก็เข้าไปในกระโจม แต่ว่าก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัวเตียวเหลียง ตันซูกับทหารจิ๋นอีกสี่คนก็รวบตัวคนทั้งสองไว้ได้
เตียวเหลียงวางหนังสือที่อ่านอยู่แล้วหันไปกล่าวแก่สองหนุ่มไทว่า “ ข้าตรวจดูและเห็นแล้วว่า ในแหล่งน้ำแถบนี้ คนไทจะซ่อนตัวอยู่ได้ ข้าจึงหยุดพักอยู่ที่นี่เพื่อจับคนที่จะลอบมาเอาชีวิตข้า แต่ถึงหากสูจะทำได้สำเร็จ สูจะรอดไปจากค่ายนี้ได้อย่างไร งานของสูคือความตายของสูโดยแท้ ”
สองหนุ่มไทก็นิ่งอยู่ แล้วเตียวเหลียงกล่าวต่อไปว่า “ เมื่อสูถูกจับแล้วเช่นนี้ โทษของคนที่พยายามฆ่าแม่ทัพจิ๋นมีอย่างเดียวคือ จะถูกทรมานอย่างสาหัสจนตาย ”
สองหนุ่มไทก็ยิ้มให้แก่คำของเตียวเหลียง เวลานั้นด้านซ้ายมือของลาวอ้ายมีคบไต้กำลังลุกโพลงอยู่ ลาวอ้ายก็ยื่นมือซ้ายเข้าไปในไฟ มือของเขาถูกเผาอยู่ในเปลวไฟเหมือนชิ้นปลาถูกย่าง แต่ลาวอ้ายมองยังเตียวเหลียงอยู่ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง และเขาพลิกมือที่ถูกย่างนั้นกลับไปกลับมาเหมือนเขากำลังย่างปลา เตียวเหลียงทนดูอยู่ไม่ได้ เขาดึงคบนั้นให้พ้นมือของลาวอ้ายแล้วให้ทหารนำสองหนุ่มไทออกไปและให้ทำแผลที่มือลาวอ้าย
แล้วเตียวเหลียงบอกตันซูว่า “ สูจงนำสองหนุ่มไทนี้คืนไปให้กุมภวา ”
ตันซูกล่าวว่า “ สูจะปล่อยศัตรูอีกหรือ ครั้งหนึ่งสูปล่อยชาวเขาธาไนยเพื่อตอบแทนน้ำใจของธงผาที่คืนเด็กประกันห้าสิบคนให้ คราวนี้สองหนุ่มนี้เข้ามาหมายจะเอาชีวิตของสู ซึ่งเป็นแม่ทัพจิ๋น แต่สูกลับจะปล่อยไปอีก แล้วต่อไปข้างหน้าสูคงจะทำเช่นนี้อีก จูโกเหลียงเคยถูกหาว่ามาทำศึกที่นี่เหมือนเล่นกีฬา สูจะถูกหาว่ามาทำศึกเหมือนมาเล่นดนตรี เพราะว่าสูคิดแต่จะรักษาน้ำใจของข้าศึกเหมือนนักพิณรักษาพิณที่อยู่ในมือของเขา ”
“ ที่สูพูดนั้นไม่ผิดเลย ” เตียวเหลียงกล่าว “ เพราะว่าหลังการศึกเราจะอยู่ในแคว้นไทอย่างผู้ปกครอง มิใช่อย่างผู้ชนะ ถ้าเราจะฆ่าสองหนุ่มไทนี้ สูคิดว่าจะช่วยให้คนไทกลัวเราและยอมอยู่ในปกครองของเราง่ายขึ้นหรือ นักปกครองจะต้องใช้ฝีมือทำให้เกิดความสงบและเกิดระเบียบอันงามในบ้านเมืองเหมือนนักพิณใช้ฝีมือ ทำให้เกิดความไพเราะจากเครื่องมือของเขา เราอาจจะเข้าครอบครองแผ่นดินของคนไทได้ด้วยกำลัง แต่การปกครองมิใช่การครอบครอง สูได้เห็นน้ำใจอันไม่ยอมแพ้ของคนไทแล้วจากสองหนุ่มนี้ เราจะปกครองเขาด้วยวิธีใดเล่า อาวุธไม่อาจจะกดน้ำใจอันไม่ยอมแพ้ของคนได้ เราควรจะปกครองด้วยแรงของน้ำใจ เพื่อให้มีความสงบในบ้านเมืองมิใช่ด้วยกำลัง ข้าคิดเช่นนี้จึงปล่อยสองหนุ่มนี้ไป สูจงพาเขากลับไปให้กุมภวาเถิด ”
แล้วเตียวเหลียงกล่าวเสริมขึ้นว่า “ ตันซูเอย ข้าอาจจะตายเสียก่อนที่เราจะไปยึดแคว้นเม็งและแคว้นไต๋ก็เป็นได้ เพราะว่าในแคว้นไทยังมีคนเช่นสองหนุ่มนี้อีกมากที่หมายจะเอาชีวิตข้า เมื่อข้าตายแล้วคนจะพูดกันว่าข้าปล่อยคนไท เพราะคนไทช่วยชีวิตข้าไว้เขาจะพูดอย่างไรก็ตามเถิด จิ๋นไม่ควรจะเป็นที่หวาดเกรงเหมือนยักษ์ใหญ่ แต่ควรเป็นที่นับถือของเพื่อนบ้าน ”
รุ่งเช้าตันซูกับทหารจิ๋นสี่คนก็นำหนุ่มไทขึ้นม้ามุ่งไปยังทัพไท เมื่อถึงก็มอบหนุ่มไททั้งสองให้แก่คนยาม แล้วตันซูกับพวกก็กลับมายังทัพของตน
ลาวอ้ายและแสนพูเข้าไปเล่าเรื่องให้กุมภวาฟังแล้วกล่าวว่า “ นอกจากเราจะทำงานไม่สำเร็จแล้ว เรายังถูกเตียวเหลียงจับได้แล้วเขายังปล่อยตัวมาอีก น่าอับอายแก่เรายิ่งนัก ขอให้สูลงโทษเราเถิด ”
กุมภวากล่าวแก่หนุ่มไททั้งสองว่า “ สูไม่ได้ทำผิด เตียวเหลียงเป็นคนฉลาดจึงจับสูได้ แต่สูก็ได้ทำให้เตียวเหลียงเห็นแล้วว่าในแผ่นดินที่เขาจะมาครอบครองนั้นคนมีน้ำใจอย่างไร ”
แล้วกุมภวาให้เดินทัพต่อไป เมื่อมาถึงเขตเมืองข่านุ ก็เห็นลูกเนินแห่งหนึ่งอันเป็นทำเลใช้ยันข้าศึกได้ กุมภวาจึงให้ทหารขึ้นไปตั้งค่ายบนลูกเนินนั้น แล้วกุมภวาออกไปสำรวจพื้นดินรอบ ๆ ก็พบว่ามีที่ลุ่มและร่องอยู่เป็นอันมาก ซึ่งใช้ซ่อนทหารได้ กุมภวาจึงกลับมาและกล่าวแก่ธงผาว่า “ สูจงนำทหารไปซ่อนอยู่หลังลูกเนินและตามที่ข้างเคียง ส่วนข้ากับสีเภาจะยันทัพจิ๋นอยู่ที่นี่ ถ้าเตียวเหลียงประสงค์จะผ่านทุ่งนี้ เขาจะต้องยึดลูกเนินนี้ก่อน ดังนั้นในขณะที่การรบบนลูกเนินติดพันอยู่ สูจงนำทหารออกโจมตี ”
ธงผาก็นำทหารไปซุ่มอยู่ตามคำสั่งของกุมภวา
ส่วนเตียวเหลียงเมื่อตามมาถึงเห็นฝ่ายไทตั้งอยู่บนลูกเนินขวางหน้าตน เตียวเหลียงก็ให้ทหารหยุดและตั้งค่ายอยู่บนที่ราบห่างออกไป
คืนนั้นกุมภวาออกจากค่ายไปยังที่ซึ่งธงผากับทหารซุ่มอยู่ เมื่อธงผาเห็นแม่ทัพของตนมาก็ถามว่า “ สูมีกิจอันใดจะแจ้งแก่ข้าหรือ จึงมาในยามวิกาลเช่นนี้ ”
กุมภวาจับแขนธงผาไว้แล้วกล่าวว่า “ ข้าจะมีความอันใดแจ้งแก่สูอีกก็หาไม่ แต่ข้าออกมาพบสูในคืนนี้ด้วยความคิดถึงความที่สูต้องทนลำบาก สูและคนอื่น ๆ ต้องมาอยู่ในท้องคู เบื้องล่างคือความแฉะของโคลน เบื้องบนคือท้องฟ้าที่ให้แต่ความเย็น คืนนี้สูกับพวกต้องลำบากมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำการรบหนักข้าคิดถึงชีวิตของสูที่ลำบากมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำการรบหนัก ข้าคิดถึงชีวิตของสูที่ลำบากตลอดมาเพื่อพี่น้องชาวไท จึงมาเยี่ยม ทั้งข้ามิอยากให้ดวงดาวในท้องฟ้าชวนให้สูคิดถึงความเหนื่อยยากที่ต้องผจญตลอดมา และที่จะต้องผจญต่อไปโดยไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะมีความสงบได้ ”
ธงผาแหงนมองดวงดาวที่ดาษอยู่ทั่วไปในท้องฟ้าแล้ว ก็กล่าวกับกุมภวาว่า “ กุมภวาเอย ดวงดาวไม่ทำให้ข้าเศร้าได้ ชีวิตข้าจะอยู่ได้เพียงใดนั้นให้ดวงดาวกำหนดเถิด แต่ใจของข้านั้นขอให้ใจข้าเป็นผู้กำหนด สูอย่าได้ห่วงข้าเลย พรุ่งนี้ข้าจะสู้กับจิ๋นเช่นที่เคยสู้มา ”
แล้วทั้งสองเดินไปเยี่ยมคนไททั้งปวงที่มาตั้งซุ้มอยู่โดยทั่วไป เสร็จแล้วกุมภวาแยกจากธงผามายังกระโจมของตนบนลูกเนินเวลานั้นท้องฟ้าแจ่มใส อากาศเย็น พื้นดินหน้ากระโจมของเขาราบแต่มีคันดิน เขานั่งลงที่คันดินนั้นและมองออกไปยังแสงไฟที่เรียงรายอยู่ในค่ายของจิ๋น
คนยามเดินมาที่เขาและกล่าวว่า “ พรุ่งนี้เราจะต้องรบอย่างหนักแล้ว และอากาศคืนนี้เย็นจัด เมื่อใดสูจะเข้าไปพักเสียเล่า ”
กุมภวาตอบยามนั้นว่า “ สูเห็นหรือไม่ ทุก ๆ สิ่งรอบ ๆ เรางามเหลือเกินภายใต้แสงเดือน แต่ว่าพรุ่งนี้คนจะฆ่าฟันกันบนพื้นดินรอบ ๆ นี้ ให้ข้าได้เห็นความงามข้างหน้านี้อีกสักครู่เถิดแล้วข้าจะเข้าไปพักผ่อน ”
ยามนั้นก็เดินไปที่อื่น กุมภวายังคงนั้งอยู่ที่เดิม เขามองไปทั้งบนฟ้าและเบื้องหน้าโดยทั่ว และมองไปยังค่ายของจิ๋นเบื้องล่าง แล้วก้มหน้ากล่าวขึ้นว่า “ เทพยดาเบื้องบนเอย เหนือหัวคนที่เป็นไทแก่ตัวคือฟ้า แต่คนที่เป็นทาสจะมีนายเหนือหัวของเขาเช่นนี้แล้วให้ข้าเป็นไทต่อไปเถิด ให้ทัพของเตียว
เหลียงพ่ายในวันพรุ่งนี้ เทพยดาเบื้องบนเอย ระหว่างฟ้ากับคนไท ขออย่าได้มีนายคั่นอยู่เลย ”
และกุมภวานิ่งอยู่ ต่อมาเขารู้สึกว่ามีคนมานั่งห่างเขาไม่ไกลนัก แล้วผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “ สูเป็นห่วงนักหรือจึงอ้อนวอนเบื้องบนเช่นนั้น ”
กุมภวากล่าวว่า “ ในชีวิตของข้า ข้าไม่เคยทุกข์ใจเหมือนครั้งนี้ แต่ก่อนข้ามีบุญปันและสหายหลายคนร่วมกันทำงานน้ำใจของสหายแต่ละคน ทำให้คนไทคนหนึ่งกลายเป็นร้อยคนในการสู้เพื่อความเป็นไท เราสู้ได้เรื่อยมา แต่บัดนี้สหายของข้าจากไปเกือบหมดแล้ว จันเสน ลำพูน กุฉิน จุไท ทุกคนจากข้าไปแล้ว เขามาช่วยข้าไม่ได้ ที่เราจะอยู่ในดินแดนนี้อย่างเป็นไทต่อไปนั้นยากแล้ว ข้าจึงออกปากต่อเบื้องบน ”
ผู้นั่งอยู่ข้างเขาเอ่ยขึ้นว่า “ สูออกปากขอชัยชนะเพื่อคนไทจะอยู่ในดินแดนนี้อย่างเป็นไทต่อไป แต่ว่าเหตุผลของเบื้องบนนั้นเกินกว่าที่คนจะหยั่งได้ ที่คนไทจะอยู่อย่างเป็นไทที่นี่อาจไม่ใช่ความประสงค์ของเบื้องบน ”
กุมภวานิ่งอยู่แล้วกล่าวว่า “ คนไทเป็นหนี้จิ๋นมากนักหรือ จึงจะต้องใช้หนี้ด้วยแผ่นดินที่เขาอยู่มาแต่โบราณ ”
ผู้มานั่งข้างเขาตอบว่า “ บางทีจะมีดินแดนอื่นที่ดีกว่าที่นี่สำหรับคนไทก็เป็นได้ ” แล้วผู้นั้นก็ลุกเดินและหายไป
๑๐...
รุ่งขึ้นกุมภวาก็นำทหารออกมาเตรียมขวางการเดินทัพของเตียวเหลียง
เมื่อเตียวเหลียงเห็นฝ่ายไทตั้งขบวนเตรียมรบ เตียวเหลียงก็จัดขบวนฝ่ายตนเรียงรายมุ่งไปยังทัพไท แต่พอใกล้ลูกเนินเขาให้ทหารหยุด และหันไปบอกแก่เตียวลกว่า “ สูจงขับม้าไปยังทัพไทเพื่อเจรจากับกุมภวา ให้ตกลงสงบศึกต่อกันเหมือนเมื่อครั้งเราเจรจากับเขาที่เมืองไกวเจา และสูจงฟังดูว่ากุมภวาจะยินยอมต่อเราเพียงใด ”
เตียวลกก็ให้ทหารถือธงขับม้านำตนและทหารจิ๋นอีกสองคนขึ้นม้าเดินมุ่งไปยังทัพไท ขุนยวมจากเมืองยูโร ผู้นำกองหน้าของไทเห็นดังนั้นจึงขับม้าไปยังกุมภวา และกล่าวว่า “ ฝ่ายจิ๋นกำลังถือธงขับม้ามายังเรา สูจะออกไปพบเขาหรือจะให้ข้าพาเขามาที่นี่ ”
กุมภวากล่าวว่า “ สูจงให้ทหารราบเบาพุ่งหอกซัดไปยังชาวจิ๋นที่จะมาเจรจานั้น เตียวเหลียงกำลังรอทัพของซิฉุยจึงไม่ออกรบเวลานี้ ข้าไม่ประสงค์จะเจรจาด้วยให้เปลืองเวลา ”
ขุนยวมก็กลับไปยังแนวหน้า และเมื่อคณะของเตียวลกเข้ามา ขุนยวมก็ให้ทหารพุ่งหอกไปสกัดมิให้เตียวลกเข้ามาใกล้ เตียวลกกับทหารที่ตามมาก็ขับม้ากลับไป และเตียวลกแจ้งแก่เตียวเหลียงว่า
“ คนไทไม่ยอมแม้แต่จะให้เราเข้าไปใกล้ เหตุใดคนพวกนี้จึงหยิ่งผยองนัก ”
เตียวเหลียงกล่าวว่า “ กุมภวาต้องการให้ทัพของเราเข้าโจมตีโดยเร็ว เขาจึงไม่ยอมเจรจากับฝ่ายเรา แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะลงมือ ”
แล้วเตียวเหลียงสั่งให้จัดขบวนทัพใหม่ ทั้งขบวนพลธนูเท้า พลธนูบนหลังม้า พลราบเบา และราบหนัก พลม้าเบาและม้าหนักต่างก็สับที่กันไปมา
ตันซูผู้ช่วยของเตียวเหลียงจึงกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า “ ที่เราจะขึ้นไปรบบนลูกเนินนั้น คนไทจะได้เปรียบฝ่ายเรา กุมภวาอาจจะซ่อนคนไว้ขนาบทัพเราอีกด้วย ”
เตียวเหลียงกล่าวว่า “ กุมภวากำลังทำดังที่สูกล่าวนั้น แต่ซิฉุยเดินทัพมาจะถึงอยู่แล้ว ถ้าซิฉุยมาทันเวลาเราก็จะกลับเป็นฝ่ายขนาบทัพไท แต่ถ้าเราโจมตีเร็วเกินไป เราจะเสียที ถ้าช้าไปฝ่ายไทก็จะถอยไปเสีย ”
ทัพจิ๋นแปรขบวนต่อไปจนใกล้เที่ยง กุมภวาก็รู้ว่าทัพซิฉุยใกล้เข้ามาแล้ว กุมภวาจึงสั่งให้ทหารของตนถอย ทันใดนั้นเตียวเหลียงก็ให้เตียวลกนำกองธนูเบาและม้าเบาเข้าโจมตี ฝ่ายไทหันกลับมาสู้ เตียวเหลียงให้ราบเบาเข้าช่วย แล้วก็ส่งทัพทั้งหมดตามเข้าไป การรบติดพันจนกลายเป็นชุลมุน กุมภวาก็ให้สัญญาณแก่ธงผา แล้วทันใดนั้นชาวไทที่ซุ่มอยูก็กรูเข้ามาตีขนาบทัพจิ๋น
ทหารจิ๋นตกใจยิ่งนักที่เห็นคนไทวิ่งออกมาจากพื้นดิน ซึ่งเสมือนเป็นที่ราบและเสียงคนไทก็แซ่ไปรอบด้าน ทหารจิ๋นต่างก็จะถอยหนีและในที่สุดก็เสียขบวน ถูกฆ่าตายเป็นอันมาก กุมภวาเห็นดังนั้นก็พอใจยิ่งนัก เขาหันไปกล่าวกับสีเภาว่า “ สีเภาเอย ณ เบื้องล่างนั้นสูเห็นแล้วว่าทัพเราทำลายทัพจิ๋นอยู่ และธงผากำลังนำชัยมาสู่เผ่าไท หากว่าเราทำลายเตียวเหลียงได้ในครั้งนี้จิ๋นจะไม่รบกวนไทอีกหลายชั่วคน แล้วไทที่แตกแยกกันอยู่ขณะนี้ก็จะมีเวลารวมกัน เพื่อความรุ่งเรืองของชาติไทต่อไป ”
แต่ในทันใดนั้นสีเภาเห็นกุมภวาสะดุ้งและตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ สีเภาจึงกล่าวว่า “ กุมภวา ข้าไม่เคยเห็นสูมีอาการตกใจเช่นนี้เลย มีเหตุอันใดเกิดขึ้นหรือ ”
กุมภวาชี้ไปที่ชายป่าแล้วกล่าวว่า “ ทัพของซิฉุยมาถึงแล้ว ชัยชนะของเรากำลังกลายเป็นของจิ๋น สูจงคุมกองหลังอยู่ที่นี่ ”
แล้วกุมภวาก็ควบม้าเข้าไปในหมู่ทหารไทที่กำลังต่อสู้อยู่กับฝ่ายจิ๋น และเร่งให้ทหารของตนโจมตีหนักขึ้น
ฝ่ายเตียวเหลียงได้เห็นฝุ่นตลบขึ้นที่ชายป่าเช่นเดียวกัน เตียวเหลียงก็รู้ว่าทัพของซิฉุยมาใกล้แล้วจึงให้ทหารร้องบอกให้ทหารจิ๋นรู้ว่าทัพของซิฉุยมาถึงแล้ว ทหารจิ๋นเมื่อรู้ดังนั้นก็คุมกำลังเข้าตานทานทัพไทต่อไป มิใจที่จะถูกฆ่าฟันล้มตายเพียงใด
ในไม่ช้าทัพของซิฉุยก็ถึงลูกเนินและเข้าโจมตีด้านหลังของทัพธงผา ธงผาจึงขับม้าผละจากด้านหน้าซึ่งทหารของเขารบอยู่กับทหารของเตียวเหลียง และหันไปไล่ฆ่าฟันทหารของซิฉุยจนทหารของซิฉุยแตกกระจายไป แล้วเขาก็กลับมายันทางด้านเตียวเหลียงอีก ทหารของธงผาซึ่งกุมภวาหมายจะให้ขนาบทัพเตียวเหลียง บัดนี้กลับเป็นฝ่ายถูกขนาบและฝ่ายไทมีจำนวนน้อยกว่า ธงผาจึงต้องกลับมาช่วยด้านหลังอีก เขาขับม้าช่วยคนของเขาอยู่ทั้งสองด้านจนม้าหมดแรง เขาเรียกตัวใหม่ขึ้นขี่ไล่ฟันฝ่ายจิ๋นต่อไป และม้านั้นก็ล้มลงอีก ธงผาก็เรียกเอาตัวใหม่และเข้าสู้รบกับฝ่ายจิ๋นทั้งสองด้าน ที่ใดมีการต่อสู้มากธงผาจะเข้าไปที่นั่น และขับไล่ฝ่ายจิ๋นแตกกระจายไป แล้วธงผาก็จะไปช่วยฝ่ายไทที่อื่นต่อไป
ขณะนั้นซิฉุยกำลังขับคนของตนให้หนุนเนื่องเข้าไป เมื่อเห็นธงผาเช่นนั้นซิฉุยก็บอกนายกองซึ่งยืนม้าอยู่ข้าง ๆ ว่า “ จงดูคนไทคนนั้นเถิด เขาคือธงผา เขาเคยทำให้ทัพของงันสุยแตกตื่นมาแล้ว มาครั้งนี้สูเห็นหรือไม่ หากไม่มีใครขัดขวางฮวนผู้นี้ไว้ทัพของเราจะพ่ายเหมือนครั้งงันสุยอีก ”
เจ็งเอียวนายกองผู้หนึ่งจึงกล่าวว่า “ นั่นหรือธงผาที่ฆ่าเซ็กโป ข้าจะไปจัดการฮวนคนนี้เอง ”
แล้วเจ็งเอียพุ่งม้าไปพร้อมกับชูดาบเหนือหัว เมื่อเข้ามาใกล้ตรงที่ธงผากำลังสู้กับทหารจิ๋นอยู่ เจ็งเอียวร้องไปว่า “ ฮวนป่าสูรบกันทหารเลวของเราได้เท่านั้นหรือ มาลองดาบของข้าบ้าง ”
ธงผาพุ่งม้าไปยังเจ็งเอียว เขาแกว่งดาบอยู่เหนือหัวทหารทั้งไทและจิ๋นมองเห็นเหมือนธงผาถือดาบอยู่สี่เล่มพร้อมกัน และขณะที่เจ็งเอียวจะฟันลงมานั้น ดาบของธงผาก็ตัดลำตัวของเจ็วเอียวขาดเป็นสองท่อน แต่ยังคงทับกันอยู่เหมือนเดิม และแขนของเจ็งเอียวก็ยังเงื้ออยู่เช่นนั้น ต่อเมื่อม้าผงกขึ้น ร่างท่อนบนของเจ็งเอียวจึงร่วงมายังพื้นดิน
ธงผาหันไปขับไล่ทหารจิ๋นต่อไป และไทผู้หนึ่งกำลังถูกจิ๋นสองคนรุมอยู่ ธงผาก็เข้าไปแทงจิ๋น
คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งหยิบหอกซัดที่ตกอยู่ที่พื้นดินแล้วพุ่งไปถูกแขนธงผา ธงผาพุ่งม้าเข้าไปยังจิ๋นนั้น แต่จิ๋นนั้นหลบไปอยู่หลังต้นไม้ และหลบธงผาไปมาอยู่โดยใช้ต้นไม้นั้นบัง ธงผาก็ยืนขึ้นบนโกลนแล้วเงื้อดาบฟัน ทั้งต้นไม้และคนจิ๋นที่หลบอยู่ขาดเป็นสองท่อน แล้วธงผาก็ไล่ฆ่าฟันทหาร
จิ๋นต่อไป ร่างของเขานั้นได้รับบาดแผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากคมอาวุธของฝ่ายจิ๋น
ทหารจิ๋นรับการฝึกมาโดยดีแล้ว และรู้ว่าฝ่ายตนขนาบทัพไทอยู่และมีกำลังเหนือกว่าจึงสู้รบฝ่ายไทต่อไป บางครั้งต้องถอยออกมาแต่ขบวนที่อยู่เบื้องหลังก็เข้ามาแทนที่ และพวกที่ถอยออกมานั้นจะตั้งขบวนใหม่และเข้าโจมตีฝ่ายไทต่อไปอีก
เมื่อแสงจากดวงตะวันยังมีอยู่ ทั้งสองฝ่ายก็รู้ว่าฝ่ายใดเป็นจิ๋น และฝ่ายใดเป็นไทและเขาก็ฆ่าฟันกันเพราะคิดว่าเขาแตกต่างกัน ครั้นดวงตะวันลับไปเขาไม่อาจเห็นได้ว่าใครเป็นเพื่อนและใครเป็นศัตรู ทั้งสองฝ่ายก็แยกกันและปล่อยให้ศพเกลื่อนอยู่ในท้องทุ่ง ผู้ที่บาดเจ็บก็เดินกลับมาบ้างก็ถูกหามกลับมา และธงผารวมอยู่ในหมู่คนที่บาดเจ็บสาหัส
ภายในค่ายฝ่ายไท แม้คนที่บาดเจ็บจะสิ้นชีวิตไปทีละคน แต่มิได้มีผู้ใดครางด้วยเสียงร้อง ทุกคนรู้อยู่ว่าธงผาผู้นำของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากและกำลังรอความตายอยู่
กุมภวานั่งข้างสหายรักของเขา และธงผามองดูเลือดที่หยดอยู่เรื่อย ๆ จากบาดแผล แล้วเขาพูดแก่กุมภวาว่า “ ทุกสิ่งกำลังแยกย้ายไปที่เดิมของมันแล้ว แต่ว่าก่อนที่ข้าจะหายใจครั้งสุดท้าย สูบอกข้าเถิดว่าคนไทจะเป็นอิสระต่อไปหรือจะเป็นทาสจิ๋นอีก จงบอกตามที่สูคิดเถิด สำหรับเพื่อนที่กำลังจะจากสูไป ”
กุมภวากล่าวว่า “ ธงผาเอย เราร่วมใจร่วมชีวิตกันมา ข้าไม่อาจปิดบังสูได้ บัดนี้เราจะรักษาแคว้นไทไว้ได้ยากแล้ว ครั้งนี้เราเสียหายเกินกว่าจะแก้ไขได้ ข้าจะถอยไปยังเมืองลือ ที่นั่นสูจะได้บุตรและภรรยาดูแลจนกว่าจะหายป่วย สูพยายามรักษาตัวไว้เถิด ”
ธงผาได้ฟังก็นิ่งอยู่ แล้วในที่สุดเขาพยุงกายขึ้นนั่ง กุมภวาห้ามไว้แต่เขามิฟัง แล้วเขากล่าวว่า
“ ข้าพอใจแล้วที่ได้ตายก่อนที่ชาวจิ๋นจะมาเป็นนายของข้า กุมภวาเอย เมื่อสูกลับไปยังเมืองลือ จงบอก รำพาภรรยาข้าให้พาบุตรไปทางใต้ให้พ้นจากอำนาจจิ๋น อย่าให้คนจิ๋นกวาดต้อนลูกไปเป็นทาสในแคว้นจิ๋นเลย ”
แล้วธงผาก็สิ้นใจขณะที่นั่งอยู่นั้น ทุกคนก็ก้มหน้านิ่งอยู่สักครู่หนึ่งกุมภวาเงยหน้าขึ้นกล่าวแก่คน ณ ที่นั้นว่า “ เมื่อใดเล่าคนไทจะมีผู้นำเช่นธงผาอีก เขาเหนือคนทั้งปวงในกำลังและฝีมือแต่หัวใจของเขาเมตตาเป็นที่สุด เขาเป็นหัวหน้าปกครองคน แต่ว่าเขาชังการใช้อำนาจ คนเช่นนี้ยากที่จะหาได้ ” แล้วกุมภวาก็จับร่างของธงผาให้นอนลง และทุกคนที่นั่นอาลัยต่อธงผายิ่งนัก
แล้วทัพไทก็ถอยไปยังเมืองลือ
๑๑...
เมื่อทัพไทถอยไปแล้วเตียวเหลียงกล่าวแก่ซิฉุยว่า “ บัดนี้ทัพไทเป็นเสือวิบากแล้ว แต่เยี่ยงเสือวิบาก ทัพไทจะสู้อีกเมื่อศัตรูเข้าไปใกล้ ข้าจะตามทัพไทไปยังเมืองลือ สูจงนำทัพของสูไปยังเมืองเชียงแส กุมภวาจะไม่อาจแยกทัพออกเป็นสองได้ จะปล่อยให้เชียงแสตัดสินโชคชะตาของตนตามลำพัง ”
ซิฉุยกล่าวว่า “ เหตุใดสูจะให้ข้าไปยึดเชียงแสเล่า หากว่าเราทั้งหมดตรงไปยังเมืองลือ เราจะยึดเมืองลือได้ กุมภวาไม่มีกำลังพอจะสู้เรา แล้วเชียงแสจะเป็นของเราโดยไม่ต้องสู้รบ ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ ซิฉุยเอย เรามาครั้งนี้มิได้ประสงค์จะฉกชิงเอาที่ดินของคนไท แม้เราจะมาด้วยดาบและด้วยอำนาจของกองทัพ แต่เราต้องการเป็นมิตรกับคนไท และต้องการให้คนจิ๋นรู้จักปกครองด้วยความดี เมื่อการศึกเสร็จแล้วเราจะให้คนไทอยู่ใต้การปกครองที่ไม่มีการแตกร้าวกันเอง ข้าอยากให้การปกครองของเราในแคว้นไทดีกว่าการปกครองที่คนไทใช้กันเอง สูจงไปที่เชียงแสเถิดและบอกชาวเมืองว่า ขอให้ทัพของสูได้พักในเมืองอย่างเพื่อน ถ้าชาวจิ๋นคนใดข่มเหงชาวเมืองสูจงประหารชาวจิ๋นผู้นั้นเสียด้วยมือของสูเอง สูจงไปสำแดงความดีของชาวจิ๋นให้ปรากฏไว้ที่เมืองเชียงแส แล้วต่อไปข้างหน้าแคว้นไทอื่น ๆ จะได้ไม่เกลียดอำนาจของจิ๋น และการปกครองของเราจะสะดวกขึ้น ”
แล้วเตียวเหลียงกำชับซิฉุยว่า “ สูอย่าให้ทหารจิ๋นทำอันตรายทรัพย์สินและร่างกายของชาวเมืองไม่ว่าชายหรือหญิง แม้แต่ข้าวหยิบมือเดียวก็อย่าขืนใจเอาของเขามา ”
ซิฉุยก็นำทัพของตนไปยังเชียงแส เตียวเหลียงนั้นนำทัพไปยังเมืองลือ ระหว่างทางเตียวเหลียงให้ทหารของตนหยุดบ้าง เพื่อซ้อมการต่อสู้ประชิดตัว
เมื่อซิฉุยมาถึงเมืองเชียงแส ซิฉุยให้ทหารสิบคนถือธงเข้าไปในเมือง ผู้ใหญ่ชาวเมืองทุกคนมานั่งพร้อมหน้าเพื่อฟังข่าวแล้วทหารจิ๋นกล่าวว่า “ เรามาครั้งนี้แม้ว่าจะถืออาวุธ แต่เรามาอย่างเพื่อน ขอให้ชาวเมืองเชียงแสต้อนรับเรา อันตรายใด ๆ แก่ร่างกายหรือทรัพย์สินของชาวเมืองเชียงแสจะไม่เกิดขึ้นจากทหารคนใดของเรา หากทหารจิ๋นคนใดทำอันตรายแก่ชาวเมืองไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ว่าแก่ร่างกายหรือทรัพย์สินซิฉุยแม่ทัพของเราจะประหารทหารจิ๋นผู้นั้นด้วยมือของเขาเอง ขอให้สูเปิดประตูเมืองต้อนรับเราอย่างเพื่อนเถิด อย่าได้ถือว่าสูกับเราเป็นคนต่างแดนกัน ”
ผู้ใหญ่ชาวเมืองเชียงแสก็กล่าวแก่คนจิ๋นทั้งสิบว่า “ เนื้อความที่สูนำมานี้เราจะแจ้งแก่ชาวเมือง หากเรายกธงขึ้นบนกำแพงเมืองและเปิดประตูเมืองเมื่อใดก็ให้ทหารจิ๋นรู้เถิดว่าชาวเมืองเชียงแสยอมให้ทัพสูเข้ามาในเมือง ”
แล้วคนจิ๋นกลับไปแจ้งแก่ซิฉุย ซิฉุยก็ให้ทหารของตนตั้งกระโจมไว้ชิดกำแพงเมือง โดยมิได้ทำการป้องกันค่ายแต่อย่างใด
อีกสามวันต่อมา ชาวเมืองเชียงแสชักธงขึ้นบนกำแพงเมืองนั้นมีหญิงมากมายเรียงรายอยู่ บางคนอุ้มลูกน้อยไว้ที่เอวและอีกจำนวนมากให้นมลูกและมองดูทหารจิ๋นเบื้องล่าง ซิฉุยจึงให้ทหารของตนรื้อกระโจมและเดินเข้าไปในเมือง ซุนเต็กนายกองจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า “ การเปิดประตูเมืองให้แก่ข้าศึกมีอยู่บ่อย ๆ ในการรบ และที่ใช้ผู้หญิงเป็นอุบายก็มีมาก แม้แต่ชาวจิ๋นเองก็เคยใช้อุบายเช่นนี้ คราวนี้ชาวเชียงแสอาจจะลวงให้เราเข้าไปติดกับก็เป็นได้ เราจะให้ทหารถืออาวุธเตรียมไว้จะไม่ดีกว่าหรือ ”
ซิฉุยเอามือชี้ไปบนกำแพงเมืองและกล่าวแก่ซุนเต็กว่า “ ถ้าเราถืออาวุธเข้าไป ชาวเชียงแสจะไม่เชื่อว่าเรามาอย่างเพื่อน อนึ่งเล่าสูดูบนกำแพงเมืองนั้นเถิด ถ้าชาวเมืองเตรียมจะทำร้ายเราหญิงจำนวนมากจะให้นมลูกอยู่บนกำแพงเมืองหรือ ”
แล้วทหารจิ๋นก็เข้าไปในเมืองเชียงแส แต่แล้วทันใดนั้นชาวเมืองทั้งชายและหญิงก็เข้าทำร้ายทหารจิ๋นด้วยมีดบ้างไม้บ้าง สุดแต่ผู้ใดจะหาอะไรเป็นอาวุธได้ ทหารจิ๋นต้องดึงอาวุธของตนออกมาป้องกันตัว หญิงไทบ้างก็เอาฟืนจากในครัว ซึ่งติดไฟอยู่มาฟาดทหารจิ๋น หญิงที่อุ้มลูกอยู่บนกำแพงเมืองก็ร้องอยู่มิได้ขาดให้ช่วยกันทำร้ายทหารจิ๋น ซิฉุยเห็นเช่นนั้นก็เสียใจยิ่งนักและยกมืออ้อนวอนชาวเชียงแสให้หยุดทำร้าย แต่มิได้มีผู้ใดฟัง และกระโจมและสิ่งของที่ทหารจิ๋นนำเข้ามาก็ติดไฟ และไฟลุกลามไปยังบ้านเรือน ซิฉุยให้ทหารช่วยดับ แต่ชาวเชียงแสยิ่งเอาไม้โยนเข้าไปให้ไฟลุกลามมากขึ้น หญิงบนกำแพงพากันโยนลูกเข้าในกองไฟและตนเองเข้าทำร้ายทหารจิ๋น
ทหารจิ๋นไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากจะฆ่าฟันชาวเชียงแส ที่บางคนใช้มือสู้กับดาบเหมือนกับว่าทุกคนต้องการจะตายที่ตายด้วยอาวุธของทหารจิ๋นไม่ได้ก็พากันกระโจนเข้าไปในกองไฟ และเมืองเชียงแสก็ไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านจนหมดสิ้น นางคำดวงและสร้อยทองผู้เคยเป็นบ่าวของนางบุญฉวีนั้นนอนตายเคียงกันอยู่ ในหมู่หญิงเชียงแส
ทหารจิ๋นค้นได้คนเชียงแสที่รอดตายจากเพลิงได้สิบคน จึงนำตัวมายังซิฉุย ซิฉุยถามคนเชียงแสเหล่านั้นว่า “ เรามาครั้งนี้ประสงค์จะผูกมิตรกับชาวเชียงแส เหตุใดพวกสูจึงขืนต่อสู้เล่าโดยที่รู้แล้วว่าจะสู้ไม่ได้ ”
ชาวเชียงแสเหล่านั้นตอบว่า “ สูกล่าวว่าสูมาอย่างมิตร แต่เหตุไฉนจึงมีอาวุธมาพร้อมที่จะฆ่าพวกเราด้วยเล่า ”
ซิฉุยมิรู้จะกล่าวตอบประการใด ได้แต่หันไปยังซุนเต็กและกล่าวว่า “ เตียวเหลียงประสงค์จะทำความดี แต่ใครบ้างที่จะทำความดีด้วยดาบได้ ”
แล้วซิฉุยสั่งให้ทหารดูแลชาวเชียงแสทั้งสิบนั้นเป็นอันดี แต่ในคืนนั้นทั้งสิบคนก็หลบหนีไปสิ้น
แล้วซิฉุยให้เดินทัพข้ามลำน้ำกลับไปยังเมืองลือและให้ม้าเร็วล่วงหน้าไปยังเตียวเหลียง เตียว
เหลียงเมื่อได้ทราบว่า ชาวเชียงแสไม่ยอมเป็นเพื่อนกับตนและกลับฆ่าตัวตายหมดสิ้นก็เศร้าใจยิ่งนัก และเตียวเหลียงให้เดินทัพไปโดยไม่รีบร้อน
๑๒...
เมื่อข่าวไปถึงกุมภวาว่าชาวเมืองเชียงแสเผาเมืองและผู้คนตายจนหมดสิ้น กุมภวาหันหน้าไปจากผู้ส่งข่าวและก้มหน้านิ่งอยู่น้ำตาร่วม ในที่สุดเขากล่าวแก่เพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “ ให้เราออกไปทำการรบนอกเมืองเถิด หญิงและเด็กจะได้ไม่เดือดร้อน ”
แล้วกุมภวาก็นำทัพออกไปนอกเมืองย้อนขึ้นไปหาทัพเตียวเหลียง ครั้นถึงทางเหนือของ
ทะเลสาบ ตรงนั้นเป็นที่ต่ำมีบึงเล็กบึงน้อยอยู่ทั่วไป กุมภวาจึงให้ตั้งมั่นอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นกุมภวากล่าวแก่สีเภาว่า “ เย็นนี้ทัพเตียวเหลียงจะมาถึง เราจะสู้ทัพของเตียวเหลียงที่นี่ เพราะว่าที่ตรงนี้ดินไม่เป็นผืนเดียวกัน การรบจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว เมื่อทัพเตียวเหลียงมาถึงเราจะโจมตีทันที เราอาจจะทำลายทัพเตียวเหลียงได้ แต่ว่าสีเภาเอย สูได้เห็นแล้วว่าในกิจการของมนุษย์มีความไม่แน่นอนอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถ้าการรบวันนี้ผิดจากความคาดหมายของเรา และบังเอิญเรามิได้พบกันอีก สูจงบอกข้าเถิด ระหว่างการหนีกับความตายอย่างที่ชาวเมืองเชียงแสยอมทั้งเมืองนั้น สูจะเลือกเอาทางใด ”
สีเภากล่าวว่า “ ข้ารู้ว่าครั้งนี้หากเราเอาชนะไม่ได้ โอกาสที่เราจะทำลายทัพจิ๋นจะไม่มีอีกแล้ว และไทจะต้องขึ้นต่อจิ๋นอีกครั้งหนึ่ง หากเราพ่ายในครั้งนี้ ข้าจะขอตายตามเพื่อนของเราที่ตายไปแล้วในการต่อสู้เพื่อความเป็นไท ข้าจะไม่หนีไปฟังข่าวความเป็นทาสของแคว้นไทอีก ”
กุมภวากล่าวแก่เพื่อนรักของเขาว่า “ สีเภา ในการลุกขึ้นต่อสู้อำนาจที่กดขี่นั้น บางคนก็ทำสำเร็จ บางคนก็พิบัติไปในความพยายามนั้น เป็นดังนี้มาในกาลก่อนและจะเป็นดังนี้ต่อไปในกาลข้างหน้า หากว่าในครั้งนี้เราทำไม่สำเร็จเราไม่มีเหตุจะเสียใจ เพราะว่าที่เราทำการครั้งนี้เราสมัครใจที่จะทำ แต่ว่าสีเภาเอย การทำลายตนเองเป็นการพ่ายโดยแท้ ข้าขอร้องสูอย่าทำเช่นนั้นเลย เพื่อว่าในยามวิบากเช่นนี้สูจะนำเพื่อนไทของเราต่อสู้ต่อไปอีก และหากว่าในการรบครั้งนี้ โชคชะตาไม่เห็นแก่ฝ่ายเรา และข้ามีอันเป็นไป ข้าขอให้สูนำคนไทอพยพไปทางใต้ ไปตั้งหลักแหล่งใหม่ให้ไกลจากอำนาจของจิ๋นและข้าอยากจะได้เห็นเมืองเชียงแสเกิดขึ้นใหม่แทนเชียงแสของเราที่กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ”
แล้วสหายทั้งสองก็แยกกันไปยังทัพของตนเพื่อสู้กับทัพจิ๋นเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อทัพเตียวเหลียงมาใกล้ทะเลสาบ ทัพไม่อาจจะเดินเป็นขบวนรวมกันได้ เพราะบึงหนองและแหล่งน้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ กีดขวาง และกองตระเวนมาแจ้งแก่เตียวเหลียงว่า ทัพไทรออยู่ข้างหน้า เตียว
เหลียงก็ให้ทิ้งเสบียงและสัมภาระไว้ และให้ทหารมุ่งเดินหน้าไปยังทัพไท จงหวนนายกองม้าจึงกล่าวแก่เตียวเหลียงว่า “ สูทิ้งเสบียงไว้ข้างหลังเช่นนี้ถ้าฝ่ายไทเข้าโจมตีแย่งชิงเอาไป เราจะเดินทัพอยู่ในแคว้นไทได้อีกนานเท่าใดเล่า จะมิเสียทีแก่ข้าศึกหรือ ”
เตียวเหลียงกล่าวว่า “ จงหวน สูรู้อยู่แล้วว่าผู้ชนะย่อมหาเสบียงได้เสมอ และสำหรับผู้แพ้ เสบียงจะมีประโยชน์อันใดเล่า ในพื้นที่ข้างหน้านั้นเราจะชนะ เพราะจำนวนของเราเหนือกว่า พลช่วยรบของเราก็ฝึกการรบประชิดตัวไว้ไม่น้อยกว่าพลรบ ดังนั้นขอให้การสู้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเถิดที่เราจะพบกับกุมภวา ”
แล้วเตียวเหลียงก็นำทัพมุ่งไปข้างหน้า เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน การรบเป็นการต่อสู้อย่างประชิดตัว ไม่มีฝ่ายใดตั้งขบวน ณ ที่นั่นได้ และที่แถบนั้นลื่นมาก การรบสับสนยิ่งขึ้น เตียวเหลียงถูกฝ่ายไทรุมรอบด้านและถูกแทงด้วยหอกซัดที่สีข้าง และคนไทคนหนึ่งฟันเตียวเหลียงด้วยขวานถูกไหล่ แต่เตียวเหลียงแทงคนไทผู้นั้นตาย ทหารจิ๋นอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยเตียวเหลียงต้านทานการโจมตีของฝ่ายไท
เมื่อตกเย็นทั้งสองฝ่ายถอยออกมาและทิ้งร่างไร้ชีวิตของทหารฝ่ายตนไว้เบื้องหลังเป็นอันมาก
กุมภวาถูกหามมาพร้อมกับคนไทอื่น ๆ ที่บาดเจ็บสาหัส และภายในกองทัพไทคืนนั้นทุกคนมีสีหน้าเป็นห่วง เมื่อรู้ว่ากุมภวาพ่อเมืองของเขาต้องอาวุธสาหัส
กุมภวาให้เรียกทหารทั้งปวงมาชุมนุมเบื้องหน้าเปลนอนของเขาแล้วให้พยุงตัวเขาขึ้น บัดนี้กำลังของฝ่ายไทเหลือไม่พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นกองทัพ กุมภวาจะกล่าวแก่คนไททั้งปวงเบื้องหน้าเขา แต่เขาหมดกำลังที่กล่าวด้วยเสียงให้ได้ยินกันทั่วไป เขาจึงให้คนไทคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเขากล่าวแก่คนไททั้งปวงตามคำของเขาดังนี้
“ เพื่อนไททั้งหลาย ข้าจะพูดแก่สูไม่ได้มาก ข้ารู้อยู่ว่าสูจะต่อสู้ต่อไปเพื่อจะอยู่หรือตายด้วยความเป็นไท แต่ชะตากำหนดมาให้เราอยู่ใกล้กับเผ่าอื่นที่มีกำลังคนเหนือกว่ามากนัก เผ่านั้นคือเผ่าจิ๋น เสือในป่าจะล่าต่อเมื่อหิว แต่ขุนทัพของจิ๋นนั้นจะล่าเราตลอดไป การรุกรานจากขุนทัพของจิ๋นนั้นเราจะยับยั้งได้ก็ด้วยการสู้จนสิ้นเผ่าไทเท่านั้น ดังที่ชาวเชียงแสทำไปแล้วเพื่อนไททั้งหลายดินแดนทางใต้ลงไปจนจดทะเลยังมีแผ่นดินว่างอยู่ จงอพยพไปที่นั่นเถิด ”
ชาวไททั้งปวงก็นิ่งอยู่ บางคนก็ร้องไห้ กุมภวาจึงกล่าวต่อไปว่า “ จงร้องไห้เถิดที่คนไทยังรวมกันไม่ได้ ทำให้เราถูกย่ำยีเรื่อยมา แต่สูอย่าได้ท้อใจที่สูไม่รู้ว่าข้างหน้าเมื่ออพยพไปแล้วจะเป็นอย่างไร แม้สูจะลำบากในการไปหาดินแดงใหม่ แต่สูจะได้กำหนดโชคชะตาของสูเอง ถ้าสูจะอยู่ที่นี่ คนอื่นจะมากำหนดโชคชะตาให้ จงอพยพไปเถิด ”
แล้วกุมภวาหันไปกล่าวแก่สีเภาว่า “ ข้าต้องลาสูและเพื่อนไทไปแล้ว แต่ข้าหวังว่าสูจะนำเพื่อนไทถอยลงไปทางใต้ ”
๑๓...
ในคืนเดียวกันนั้นในค่ายของจิ๋นขณะที่ทหารกำลังพยาบาลบาดแผลที่ไหล่ของเตียวเหลียงอยู่นั้น จิ๋นคนหนึ่งนำผ้าคาดเอวผืนหนึ่งมาให้ เตียวเหลียงเอาผ้ามาถือไว้แล้วถามว่า “ เหตุใดสูเอาผ้าผืนนี้มาให้ข้า ”
จิ๋นคนนั้นบอกว่า “ วันนี้ในสนามรบข้าปะทะกับหนุ่มไทคนหนึ่ง เราสู้กันประชิดตัว หนุ่มคนไทคาดผ้าผืนนี้ที่เอว ข้าเอาชนะหนุ่มผู้นี้ได้เพราะการฝึกที่เราได้รับตลอดมา เมื่อหนุ่มผู้นี้ล้มลงเขาปลดผ้าคาดเอวนี้ให้ข้า บอกให้ข้านำมาให้สู เขาพูดก่อนจะสิ้นใจว่าสูเป็นเพื่อนของเขา ”
เตียวเหลียงปิดตาของเขา เขาจำได้ดีถึงเวลาเมื่อเขานำเด็กไทห้าสิบคนมายังลำน้ำลู เพื่อแลกกับเชลยฝ่ายจิ๋น เด็กเล็กคนหนึ่งในห้าสิบคนนั้นป่วยและเขาได้ดูแลเด็กนั้นจนหายเป็นปกติ เด็กนั้นจะนั่งบนหลังม้าและเขาจะเดินจูงม้าให้เด็กนั้น และทั้งสองได้เป็นเพื่อนสนิทกัน เขาจะได้ดีถึงเวลาที่เด็กไททั้งหมดแยกไปจากเขาเพื่อกลับยังเมืองลือ พันน้อยเด็กเล็กผู้นี้ เมื่อไปถึงของน้ำ ได้วิ่งกลับมาขอของที่ระลึกจากเขาก่อนที่จะจากไป และบอกเขาว่าจะคืนให้เมื่อเขากลับมาแคว้นไทอีก เขาได้ปลดผ้าคาดเอวมาให้เขาตามคำที่บอกเขาไว้ แต่ว่าเด็กไทผู้นี้ซึ่งถือเขาเป็นเพื่อนตลอดมาได้ตายเสียแล้วในการต่อสู้กับกองทัพที่เขาเป็นผู้นำมาเพื่อยึดแคว้นไท
เตียวเหลียงก้มหน้าคิดถึงพันน้อยอยู่ที่นั่น และเขาคิดถึงการรบที่เขาต้องมาทำกับแคว้นไท
รุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายและฝ่ายจิ๋นก็เก็บศพของฝ่ายตน และในคืนนั้นฝ่ายไทเลือกสีเภาเป็นหัวหน้าสืบต่อจากกุมภวา สีเภาจึงกล่าวแก่ชาวไททั้งปวงว่า “ เมื่อกุมภวายังอยู่ ชาวไทก็ยังอบอุ่น เราจะหาพ่อเมืองเช่นกุมภวานั้นหาได้ยากแล้ว เขาตายครั้งนี้ด้วยความสมัครใจเพื่อเราจะได้ทำตามที่เขาขอร้องให้เราอพยพลงไปทางใต้ให้พ้นการรุกรานของจิ๋น เขานำเราต่อสู้ เพื่อความเป็นไทของแผ่นดินนี้แต่เมื่อเขาทำไม่สำเร็จ เขาก็ยอมตายเช่นเดียวกับคนไทอีกมากที่ตายไปแล้วในการต่อสู้ เพื่อความเป็นไท แต่ว่าเพื่อนไททั้งหลายชาติไทที่อิสระจะต้องมีอยู่ใต้ฟ้านี้ เมื่อเราอยู่อย่างอิสระที่นี่ไม่ได้แล้ว เราจงอพยพไปที่อื่นเถิด แต่เราจงไปหาดินแดนใหม่ทางใต้ ไปตั้งชาติไทที่อิสระขึ้นใหม่ที่นั่น ”
ชาวไททั้งปวงก็ยินยอม ในคืนนั้นสีเภาก็ถอนทหารที่เหลือเพียงหกพันรีบตรงไปยังเมืองลือและให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่นางสร้อยสนภรรยาตนที่เมืองข่านุให้อพยพชาวเมืองไปสมทบที่เมืองลือ ส่วนเมืองอื่น ๆ สีเภาให้นายกองไปชักชวนบางเมืองก็อพยพไปมาก บางเมืองก็อพยพน้อย คนที่รักถิ่นเดิมก็คงอยู่ คนที่รักอิสรภาพยิ่งกว่าดินแดนหรือที่กลัวจะถูกจับไปเป็นทาสในแคว้นจิ๋น หรือกลัวความกดขี่และความทารุณเหมือนครั้งลิตงเจีย ก็พาครอบครัวอพยพไป
สีเภาแจ้งข่าวแก่ชาวลือถึงคำของกุมภวาที่กล่าวไว้ก่อนสิ้นใจ ชาวลือรักกุมภวาเสมือนพ่อเมือง และเมื่อรู้ว่าเมืองลือจะต้องเสียท่าแก่จิ๋นแน่แล้วก็เต็มใจอพยพทั้งสิ้น
ครั้งนั้นคนไทเดินทางออกจากแผ่นดินเดิมของเขาแปดหมื่นห้าพัน เมื่อพ้นประตูเมืองแล้ว ขุนยวมเจ้าเมืองยูโรกล่าวแก่สีเภาว่า “ บัดนี้ชาวเมืองอพยพออกจากเมืองหมดสิ้นแล้ว เราเผาเมืองเสียมิดีกว่าหรือ ศัตรูจะได้เข้าไปอาศัยไม่ได้ ”
สีเภาตอบว่า “ ขุนยวมเอย เมื่อเรายอมทิ้งแผ่นดินนี้ศึกระหว่างเรากับจิ๋นก็เป็นอันสิ้นสุด ถ้าเราเผาเมือง เตียวเหลียงจะถือว่าเรายังต่อต้านอยู่ แล้วเขาจะตามโจมตีเราตามทางได้ อนึ่งสูคิดหรือว่าคนไทออกจากเมืองหมดแล้ว ”
เมืองลือมีลำน้ำอยู่ทางเหนือและใต้ของตัวเมือง คนไทพากันเดินข้ามลำธารน้ำทางใต้ไป นางสร้อยสนภรรยาของสีเภาและนางรำพาภรรยาม่ายของธงผาก็จูงบุตรน้อยลุยน้ำไป มีห่อผ้าและเสบียงสะพายหลังไว้ และนางรุ่งภรรยาม่ายของกุมภวานั้นเดินไปในหมู่หญิงอื่น ๆ พร้อมกับบุตรของนาง
เมื่อถึงกลางลำธาร ผ้าคลุมหัวของนางสร้อยสนถูกลมพัดปลิวไปตกในลำธาร และลอยตามกระแสน้ำไป บุตรของนางมองตามไปแล้วเอ่ยกับมารดาว่า “ ผ้าคลุมหัวของแม่ลอยไปแล้วจะปะทะกับโขดหินเข้าเมื่อใดก็ไม่รู้ จะจมลงใต้ลำธารเมื่อใดก็ไม่รู้ เราเองจะมีโชคชะตาเหมือนผ้าผืนนั้นหรือเปล่า แม่ ”
นางสร้อยสนตอบบุตรว่า “ ลูกเอ๋ย ผ้าผืนนั้นไม่มีอำนาจสู้กำลังของลมของน้ำ มันจะจมลงใต้ลำธารเมื่อใดก็ได้ แต่เราไม่ยอมอยู่อย่างยถากรรมเหมือนผ้าผืนนั้น เราไม่ยอมนิ่งเฉยยอมรับอำนาจที่มาบังคับเรา เราจึงอพยพจากดินแดนนี้เพื่อหาที่อยู่ใหม่ข้างหน้า ลูกเอ๋ย อย่าได้ท้อใจเลย เรารู้ว่ากำลังทำอะไร และด้วยใจเช่นนี้ เราจะไม่จมลงเหมือนผ้าผืนนั้น ”
นอกเมืองลือออกไปนั้นผืนดินลุ่ม ๆ ดอน ๆ เมื่อพ้นลำธารน้ำไปเล็กน้อย ชาวไทที่อพยพก็มาถึงลูกเนินและบนยอดเนินนี้มีเสาหินปักอยู่ ขบวนของผู้อพยพมาหยุดอยู่ที่นี่ และเมื่อคนไทมองไปยังขอบฟ้าข้างหน้า เขาเห็นทิวเขาเป็นพืดยาวที่เขาจะต้องเดินข้ามไป และจะไปที่ใดเขายังไม่รู้ เมื่อเขาเหลียวไปเบื้องหลังเขาเห็นบ้านเรือนที่เขาสร้างไว้ ภายในเมืองที่เคยป้องกันลมหนาวให้เขาได้ แต่ว่าตั้งแต่นี้ไปเขาจะเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง จะไม่มีฝาเรือนมากั้นลมหนาวให้แก่ครอบครัวของเขา และเมื่อใดเขาจะมีหลังคากั้นระหว่างเขากับน้ำค้างและน้ำฝนจากฟ้าเขาก็ไม่รู้ และเขาเห็นทางน้ำทั้งสองที่ไหลผ่านตัวเมืองทั้งเหนือและใต้ เขาทั้งครอบครัวเคยได้ใช้ทางน้ำทั้งสองนี้ตลอดปี เหมือนว่าทางน้ำทั้งสองเป็นพี่เลี้ยงที่ถนอมเขามาตั้งแต่เยาว์ หลังตัวเมืองออกไปอีกฟากหนึ่งน้ำในทะเลสาบกำลังเป็นระลอกขึ้นลงเหมือนว่าจ้าวแม่แห่งทะเลสาบกำลังสะอื้น เพราะถูกพวกเขาทอดทิ้ง
บัดนี้ถ้าเขาผ่านเสาหินและลงลูกเนินไป ทุก ๆ สิ่งในดินแดนนี้จะเป็นแต่ความหลังให้เขานึกถึง และข้างหน้าของเขานั้นเขาไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร และจะมีดินแดนใดที่พวกเขาทั้งหมดนี้จะไปอยู่ได้
คนไททั้วปวงก็หยุด ณ ที่นั่น ไม่ยอมผ่านเสาหินไป
สีเภาชูดาบขึ้นสูงแล้วฟาดลงมา เสาหินขาดเป็นสองท่อน เขาหยิบขึ้นมาท่อนหนึ่ง แล้วโยนลงไปอีกด้านหนึ่งของลูกเนินและกล่าวว่า “ เราไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วในดินแดนนี้ จงเดินต่อไปเถิด ”
แต่คนไท ณ ที่นั่นไม่เดินต่อไป
สีเภาหันไปยังคนไททั้งปวงที่อยู่เบื้องหลัง แล้วเขาชี้ไปยังเมืองลือ และกล่าวว่า
“ ในดินแดนนี้ เราเคยอยู่อย่างคนเท่าเทียมกัน แต่ว่าตั้งแต่นี้ไปจะมีคนอื่นเข้ามาอยู่อย่างผู้เป็นนาย ถ้าเราอยู่ต่อไปที่นี่ เราจะต้องก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาเมื่อพูดกับนายของเรา ลูกหลานของเราที่ไม่เคยรู้จักความเป็นทาสก็จะต้องเป็นทาสต่อจากเรา เพื่อนไททั้งหลายสูจะยอมทิ้งแผ่นดินเพื่อความเป็นไท หรือสูจะทิ้งความเป็นไทเพียงเพื่อจะอยู่ในบ้านเก่าของตน ”
แต่คนไททั้งปวงยังเหลียวมองบ้านเดิมของตนอยู่ ไม่เดินต่อไป
ในขณะนั้นบุตรน้อยของธงผาก็อ้อนวอนผู้เป็นมารดาว่า “ แม่กลับไปบ้านเถิด พ้นภูเขาข้างหน้าเราไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด แม่พาข้ากลับไปบ้านเถิด ” แล้วเขาก็ดึงมือมารดาเพื่อให้กลับไป
นางรำพากล่าวแก่บุตรว่า “ ลูกเอ๋ย พ้นภูเขาข้างหน้าถูกแล้วเราไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด แต่ข้างหน้าโน้นลูกจะไม่ถูกพรากไปจากแม่ ถ้าเรากลับไปบ้าน ทหารจิ๋นในไม่ช้าจะรู้ว่าข้าเป็นเมียของธงผาและสูเป็นลูก แล้วเขาจะเอาสูไปเป็นทาสในไร่ ข้าเองจะถูกพรากไปทำงานในบ้านขุนนางจิ๋น เราแม่ลูกจะไม่ได้เห็นกันอีกที่บ้านนายของข้า เพื่อนที่มาเยี่ยมนายของข้าจะมายืนดูขณะข้าซักผ้าให้นายแล้วเขาจะพูดกันว่านี่เป็นเมียของธงผาแห่งแคว้นลือ ลูกเอ๋ยข้าจะปวดร้าวใจเพียงใด ก่อนพ่อตาย พ่อสั่งไว้ให้ข้ากับลูกไปให้พ้นอำนาจของจิ๋น จงทำตามคำของพ่อเถิด ”
แล้วนางรำพาก็จูงบุตรน้อยแหวกกลุ่มคนที่ยืนเฉยอยู่นั้น และเดินลงเนินไปข้างหน้า
บางคนเห็นแม่ลูกเดินไปโดยลำพังเช่นนั้นก็ไม่อาจจะยืนเฉยอยู่ได้จึงเดินตามไป แล้วในที่สุดขบวนทั้งหมดก็เดินทางต่อไปยังขอบฟ้าข้างหน้า
๑๔...
เมื่อทัพไทถอยไปแล้ว เตียวเหลียงมิได้ติดตามไปแต่ให้ทัพหยุดพักอยู่ และให้ทำพิธีศพให้แก่ทหารที่เสียชีวิต ส่วนที่เจ็บป่วยก็ให้รักษาอยู่จนกว่าจะหาย และเตียวเหลียงกล่าวแก่เตียวลกว่า “ ฝ่ายไทจะไม่ทำศึกกลางแปลงกับเราแล้ว ยังเหลือแต่ว่าเขาจะป้องกันเมืองลือด้วยวิธีใดเท่านั้น ขอให้สูนำกองม้าสามร้อยล่วงหน้าไปลาดตระเวณ ในระหว่างทาง ถ้าพบว่าบ้านใดเจ้าของบ้านละทิ้งเพราะกลัวคนของเรา ก็ให้คนของเราดูแลทรัพย์และไร่นาของบ้านนั้นให้ดี และเมื่อเราจะเอาแพะ แกะ หรือสัตว์เลี้ยงของบ้านใดหรือผักจากไร่ใด และไม่พบเจ้าของ ก็จงวางเงินไว้ให้เขาให้คุ้มกับราคาของ อย่าได้เอาอะไรมาเปล่าเป็นอันขาด ”
เตียวลกก็นำกองม้าสามร้อยเดินทางล่วงหน้าไป อีกสองวันก็มาถึงริมทะเลสาบทางตอนใต้ ตรงนั้นทางด้านบกเป็นลาดเขามีมูลดินเป็นอันมากเรียงรายขึ้นไปข้างบน เตียวลกให้คนออกสืบก็ได้รู้ว่าคนไทที่ตายในการรบคราวที่แล้วทั้งหมด ถูกฝังอยู่ใต้มูลดินเหล่านี้ เตียวลกก็สั่งให้กองม้าของตนเดินต่อไป แต่พอกองม้าจะผ่านมูลดินอันมากมายนั้น ม้าทั้งสามร้อยก็หยุดไม่ยอมเดินต่อไปแล้ว ทันใดนั้นอากาศซึ่งปลอดโปร่งตลอดมา ก็กลายเป็นหมอกทึบคลุมจากมูลดินไปจนจดขอบทะเลสาบ แล้วม้าทั้งปวงก็ร้องขึ้นเหมือนมีความกลัวยิ่งนัก เตียวลกนำหน้ากองม้าของตนอยู่ เขาจะขึ้นม้าของเขาเท่าใด ม้าก็ไม่ยอมก้าวไป เตียวลกก็ร้องบอกทหารของตนว่า “ เราทำศึกมาแล้วเท่าใด เราไม่เคยย่อท้อ เราไม่เคยกลัว เพียงหมอกทึบนี้เราจะกลัวหรือ จงขับม้าไปให้ได้ ”
แต่ม้าทั้งปวงก็ยังคงยืนเฉยอยู่ เมื่อตัวใดถูกลงแช่ ตัวนั้นก็จะร้องขึ้น แต่ไม่ยอมเดินต่อไป เตียวลกจึงร้องบอกทหารของเขาว่า “ เมื่อม้าของเราไม่ยอมเดินฝ่าหมอกโดยดี เราจงถอยไปก่อนแล้วพุ่งเข้ามา เราเคยโจมตีทัพไทมามากต่อมากแล้ว หมอกเพียงเท่านี้เราจะยอมแพ้หรือ ”
แล้วกองม้าของเตียวลกก็ถอยออกมาห่างจากหมอกทึบนั้นสิบเส้น ขณะที่หยุดอยู่ที่นั่น เตียวลกก็หันไปทางไหล่เขาและร้องขึ้นว่า “ เป็นผีแล้ว ยังจะสู้อีก ” ทันใดนั้นเสียงสะท้อนจากไหล่เขาก็ดังก้องมาว่า “ เป็นผีแล้ว ยังจะสู้อีก เป็นผีแล้ว ยังจะสู้อีก ” ทหารของเตียวลกก็มีความกลัวยิ่งนัก ตันซูที่ยืนม้าอยู่ข้างเตียวลกจึงกล่าวแก่เตียวลกว่า “ ทหารและม้าของเราขวัญเสียหมดแล้ว ไม่มีใครยอมขับม้าเข้าไปในหมอกข้างหน้า เราหยุดทัพที่นี่ก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงค่อยเดินทางต่อไป ”
เตียวลกก็ยินยอม และเมื่อทหารจิ๋นลงจากหลังม้าแล้ว หมอกทึบก็หายไป คนของเตียวลกก็มีความกลัวยิ่งกว่าเดิม
ครั้นวันรุ่งขึ้น เตียวลกสั่งให้กองม้าเดินทางต่อไป แต่พอมาถึงไหล่เขาที่มีหลุมศพ ม้าก็ไม่ยอมเดินต่อไปอีก เตียวลกเห็นทั้งคนทั้งม้ามีความกลัวเป็นอันมากเช่นนั้น จึงถอยออกมาให้ตั้งพักอยู่ก่อน และให้ม้าเร็วไปแจ้งแก่เตียวเหลียง
อีกหลายวันทัพเตียวเหลียงจึงมาถึง เตียวลกจึงเล่าให้ฟังว่ากองม้าของตนไม่ยอมผ่านหลุมศพของคนไทที่ตายไปในการรบคราวที่แล้ว เตียวเหลียงจึงบอกว่า “ ศพเหล่านี้เพิ่งถูกฝังเมื่อเร็ววันนี้และเป็นจำนวนมาก เราไม่ควรจะผ่านเขาไปโดยไม่ให้ความเคารพแก่เขา ”
แล้วเตียวเหลียงก็ให้คนของเขาสกัดหินจำนวนมาก มาสร้างศาลขึ้นที่ริมทะเลสาบหน้าหลุมศพเหล่านั้น เป็นศาลกว้างหกวา สูงห้าวา ลึกแปดวา ภายในศาลมีแท่นบูชา แล้วเตียวเหลียงให้เอาดอกไม้ป่าไปวางที่แท่นบูชาทุกวัน
เตียวเหลียงให้คนออกสืบก็รู้ว่ากุมภวาตายในการรบคราวที่แล้ว เขาจึงให้คนออกสืบอีกว่ากุมภวาและพันน้อยถูกฝังใต้มูลดินใด คนสืบข่าวกลับมาแจ้งว่าคนไททุกคนที่สิ้นชีวิตในการรบคราวที่แล้วถูกฝังเหมือนกันหมด ไม่มีใครรู้ว่าใครอยู่ใต้มูลดินใด เตียวเหลียงก็กล่าวแก่ตนเองว่า “ กุมภวาเอย แม้เมื่อสิ้นชีวิตแล้วสูยังไม่ยอมให้ข้าทำอะไรให้สูเป็นส่วนตัว ”
ในตอนดึกของคืนนั้น ขณะที่เตียวเหลียงอ่านหนังสือเรื่องราวของโมตีอยู่ มีเสียงเรียกมาจากข้างนอกว่า “ เตียวเหลียงออกมาข้างนอกเถิด ” เขาก็ลุกออกไป ขณะนั้นเดือนสว่าง เขาไม่เห็นใคร เห็นแต่มูลดินมากมายที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าดูไม่ผิดจากคนนอนนิ่งอยู่ มีผ้าคลุมตลอดร่าง เตียวเหลียงร้องถามไปว่า “ สูอยู่ไหน ” แต่ไม่มีใครตอบ แต่มีเสียงสะท้อนมาจากไหล่เขาว่า “ สูอยู่ไหน สูอยู่ไหน ”
จนเสียงนั้นค่อยเงียบหายไป
แล้วเตียวเหลียงก็เดินไปหยุดอยู่ระหว่างมูลดิน แล้วกล่าวขึ้นว่า “ กุมภวาเอย ข้าไม่รู้ว่าสูอยู่ที่ใด ข้าไม่รู้ว่าใต้มูลดินนี้พันน้อยเพื่อนข้าที่ป้องกันบ้านเมืองของเขาอยู่ที่ใด สูอยากให้ข้าตายเพราะข้ามารุกรานแผ่นดินของสู ส่วนข้าอยากให้สูอยู่เพื่อข้าจะแสดงน้ำใจต่อสูได้บ้าง แต่สูไม่ให้โอกาสข้ากุมภวาเอย ทั้งเมื่อมีชีวิตและเมื่อสิ้นสุดชีวิตแล้ว สูโชคดีกว่าข้าเสมอ เมื่อมีชีวิต สูทำงานได้ตามใจสมัคร แต่ข้าต้องทำงานตามที่ผู้อื่นกำหนดให้ทำจะเลือกเองมิได้ ในการสิ้นสุดแห่งชีวิตของสูนั้นเล่า ไม่มีความสูญ ความตายของสูเป็นเพียงอีกขั้นหนึ่งของงานที่สูทำตลอดมาเพื่อบ้านเมืองของสู เป็นขั้นที่คนดีทุกคนอยากก้าวไปถึง คนข้างหน้าจะเอาชีวิตและความตายเช่นนี้เป็นแบบอย่างของผู้มีความสุข แต่ชีวิตและความตายเช่นของข้าจะไม่เป็นแบบอย่างแก่ใคร ”
วันรุ่งขึ้น เตียวเหลียงก็ไปยังบแท่นบูชาแล้วกล่าวขึ้นว่า “ คนไททั้งหลายที่ร่างนอนอยู่ใต้ดินเบื้องหน้านี้จงฟังเราเถิดก่อนหน้านี้เราเป็นคู่ศึกกัน แต่เวลานี้สูสิ้นชีวิตแล้วในการป้องกันบ้านเมืองของสู เราจึงตั้งศาลนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความดีทั้งปวงที่สูได้ทำไว้ ”
“ ศาลนี้ แท่นบูชานี้ ไม่อาจจะทำให้สูฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ และสูจะต้องเจ็บแค้นที่ชีวิตของสูมาหยุดลงในเวลาที่สูควรจะได้อยู่และมีความสุขเช่นที่ชีวิตทั้งปวงจะมีได้ และพ่อแม่พี่น้องลูกเมียของสูจะต้องเสียใจที่สูจากเขาไป ”
“ แต่ใครเล่าจะไม่ตาย เมื่อสูตายไปก่อนในการทำงานเพื่อบ้านเมืองและเพื่อคนอื่นที่อยู่ข้างหลัง คนที่ยังอยู่ก็จะได้ยกย่องสูทั้งมิตรและศัตรูก็จะคิดถึงสู เพราะสูทิ้งแบบอย่างของชีวิตไว้ให้เขายกย่อง เราจะไม่กล่าวถึงความดีของสูเพียงเพื่อจะกลบความโหดร้าย และความทุกข์ทั้งปวงที่ทัพจิ๋นทำให้เกิดขึ้นและคำยกย่องทั้งปวงไม่ว่าจะดังก้องไปไกลเพียงใด ก็จะไม้เป็นพยานแห่งความดีของสูได้เท่ากับความตายความสงบและความเงียบของสูที่เราเห็นอยู่เวลานี้ เพราะว่าสูให้ชีวิตของสูแก่คนอื่น แก่บ้านเมือง แก่พ่อแม่พี่น้องแก่ลูกเมียของสู ”
“ ดังนั้น เราจึงตั้งแท่นบูชาความดีของสูไว้ ณ ที่นี้ ขอให้สูรับไว้เถิด ”
แล้วเตียวเหลียงนำดอกไม้ป่ามาวางที่แท่นบูชาเหมือนวันก่อน ๆ และให้ทหารจิ๋นทั้งปวงคำนับไปยังมูลดินข้างหน้าเตียวเหลียงให้หยุดทัพที่นั่นอีกหลายวัน จึงเดินทัพต่อไป คราวนี้ม้าทั้งปวงเดินไปโดยดีและไม่มีหมอกเกิดขึ้นเหมือนก่อน
๑๕...
เมื่อไปถึงเมืองลือ ทหารจิ๋นได้เห็นภายในเมืองเงียบสงัด เตียวเหลียงให้หยุดทัพอยู่หน้าเมือง ครั้นได้สามวันก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวภายในตัวเมืองแต่อย่างใด เตียวเหลียงให้คนออกไปตระเวนหาข่าวก็ได้ความว่า เมืองลือกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว เตียวเหลียงพร้อมกับเตียวลกและซิฉุย จึงนำทหารสามร้อยเข้าไปในเมือง ก็ได้เห็นเมืองลือปราศจากผู้คน สิ่งที่เคลื่อนไหวภายในตัวเมืองมีแต่ต้นไม้ที่เอนไปด้วยแรงลม เตียวเหลียงจึงกล่าวแก่ซิฉุยว่า “ จะไม่มีใครยอมตายเช่นที่เมืองเชียงแสแล้ว สูจงนำทหารไปสำรวจเมืองเถิด ”
ซิฉุยก็นำทหารแยกย้ายไป เตียวเหลียงอยู่กับตันซูและเตียวลก เวลานั้นบ่ายแล้ว และอากาศร้อน เตียวลกชี้มือไปยังเรือนหลังใหญ่ข้างหน้าและกล่าวแก่พี่ชายตนว่า “ สูมีสีหน้าไม่สบายโน่นเรือนลกซุน เราขึ้นไปพักบนเรือนนั้นเถิด ”
เตียวเหลียงตอบน้องชายว่า “ สูเลือกที่ได้เหมาะแล้ว เราจงช่วยกันเปิดเรือนหลังนั้น เพราะการศึกเกิดขึ้น เนื่องจากฝ่ายจิ๋นปิดเรือนหลังนั้น ”
ตันซูจึงถามเตียวเหลียงว่า “ เรือนใหญ่หลังนั้นเกี่ยวกับการศึกระหว่างไทกับจิ๋นอย่างไร ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ สูเพิ่งมาแดนไทเป็นครั้งแรก สูจึงไม่ทราบ เมื่อลกซุนปกครองแคว้นไท ลกซุนสร้างเรือนหลังนี้ไว้และเปิดไว้สำหรับฟังความเดือดร้อนของคนไท ต่อมาลิตงเจียมาแทนลกซุน ลิตงเจียให้ปิดเรือนนี้เสีย ไม่ยอมฟังความเดือดร้อนของคนไทที่อยู่ในปกครอง และลิตงเจียถูกจับไว้ และข้าถูกคนไทบังคับให้ถอนทหารออกจากเมือง มิฉะนั้นลิตงเจียกับทหารที่ถูกจับไว้ทั้งหมดจะถูกฆ่า ข้าจำต้องถอนทหารจากนั้นการศึกระหว่างจิ๋นกับไทก็เริ่มขึ้นอีก และสูรู้แล้วว่าเมื่อลิบุ๋นยกทัพมาหมายจะทำลายแคว้นไทให้สิ้นไปนั้น ทัพของลิบุ๋นกลับถูกทำลายสิ้น ยิ่งกว่านั้นคนไทยังนำทัพเข้าเหยียบแดน เราจนใกล้เมืองหลวงตะวันตกของเรา เมื่อกำลังของคนไทเป็นอันตรายแก่จิ๋นได้ถึงเพียงนี้กษัตริย์ของเราจึงให้พวกเรามาทำศึกกับคนไทระหว่างที่คนไทกำลังวิวาทกันเอง การศึกเริ่มเพราะเรือนหลังนี้ถูกปิดและฝ่ายปกครองไม่นำพาต่อความเดือดร้อนของราษฎร เราจะช่วยกันเปิดเรือนหลังนี้อีกครั้งเถิด และช่วยกันทำตามอย่างลกซุน เพื่อการแข็งเมืองจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก ”
ตันซูกล่าวต่อไปว่า “ แต่คนไทที่ยังอยู่ต่อไปในถิ่นนี้ ถึงแม้เราจะปกครองเขาดีอย่างไร เขาก็จะคิดว่าพี่น้องของเขาที่อพยพไปทางใต้จะเป็นสุขกว่า เพราะพ้นจากอำนาจปกครองของต่างด้าว ”
เตียวเหลียงตอบว่า “ โชคชะตาของคนไทที่พากันอพยพไปนั้นจะเป็นอย่างไร ข้ายังสงสัยอยู่ เมื่อเราอยู่กันที่ตังเกี๋ย มีสำเภามาจากแคว้นกำพุช แคว้นนี้มีอำนาจอยู่ทางใต้ คนไทที่อพยพไปในไม่ช้าจะถูกรบกวนโดยอำนาจของแคว้นนี้ เขาจะต้องต่อสู้ต่อไป เพื่ออิสรภาพของเขา แต่ว่า สำหรับคนไทที่นี่เราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเขา ”
แล้วเตียวเหลียงก็ขึ้นไปบนเรือนลกซุน เตียวลกเห็นพี่ชายมีสีหน้าเผือดยิ่งนัก ก็ตกใจและกล่าวว่า “ สูคงไม่สบาย บัดนี้การศึกสิ้นสุดแล้วด้วยชัยชนะของเรา สูควรจะหมดกังวลและสบายใจได้แล้ว ”
เตียวเหลียงกล่าวแก่น้องชายของตนว่า “ ข้าไม่สบายใจอำนาจของเต๋าดูเหมือนจะลงโทษข้าอยู่ ข้าได้เห็นแล้วว่าชัยชนะด้วยอาวุธไม่เป็นโชคดีแก่ใคร ”
แล้วเตียวลกเห็นพี่ชายใช้ผ้าคาดเอวผืนที่เคยมอบให้แก่พันน้อยเด็กที่เคยเป็นเพื่อนพี่ชายตน
ทุกคนแยกกันไปตามห้องต่าง ๆ ของเรือนลกซุน เตียวเหลียงเข้าไปยังห้องหนึ่ง เขาเปิดหน้าต่างออกและมองไปยังเมืองลือที่ปราศจากผู้คน สิ่งที่เขาแลเห็นเคลื่อนไหวอยู่มีแต่ต้นไม้ที่โอนเอนไปมา
มีเสียงมาจากเบื้องหลังของเขาว่า “ จงออกไปจากแผ่นดินของข้า ” ขณะนั้นลมแรง เขาไม่ได้ยินเสียงนั้น ต่อเมื่อมีคมอาวุธมาถูกเขาข้างหลัง เขาจึงหันไป แต่เขาถูกแทงเสียแล้ว และล้มลงที่พื้น
เตียวลกได้ยินเสียก็วิ่งไปและเห็นเตียวเหลียงคว่ำหน้าอยู่กับพื้น มีมีดปักอยู่ข้างหลัง ร่างโซมด้วยโลหิตและมีชายแขนด้วนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างพี่ชายตน เตียวลกเงื้อดาบจะฟันชายผู้นั้นเตียวเหลียงห้ามไว้ เตียวลกก้มลงจะช่วยพี่ชาย เตียวเหลี่ยงก็ห้ามไว้อีก
สักครู่หนึ่งเตียวเหลียงเงยหน้าขึ้นกล่าวแก่ชายไทผู้นั้นว่า “ สูคิดว่าสูทำถูกแล้ว แต่เมื่อข้าไปแล้ว ลิตงเจียจะกลับมาที่นี่ คน ๆ นี้ยังไม่ลืมความหลัง คนไทเตรียมตัวพบการปกครองอันป่าเถื่อนอีกครั้งเถิด ”
แล้วเขาก็กล่าวแก่เตียวลกว่า “ สูจงพาคน ๆ นี้ไป อย่าให้คนของเราทำร้ายเขาได้ ”
แล้วเตียวเหลียงก็สิ้นใจ
เมื่อเตียวเหลียงยังมีชีวิตอยู่ เขากล่าวถึงคนไทหลายครั้งด้วยความยกย่องทั้งที่เป็นคู่ศึกต่อกัน บัดนี้ใครเล่าจะกล่าวถึงเขาบ้างในเมื่อชีวิตของเขาเป็นตัวอย่างที่น่าจะกล่าวถึง คนไทต้องพลัดพรากจากถิ่น เพราะกองทัพและปัญญาของคนผู้นี้ผู้ซึ่งพอใจถือหนังสือของนักปราชญ์ยิ่งกว่าดาบของแม่ทัพ แต่ว่าเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมาทำศึกกับคนไท เพราะว่าฟ้าดินให้เขาเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองของเขาวิปริตและพอใจจะรุกรานผู้อื่นกระนั้นก็ตามในเมื่อเขาเอากำลังอันเหนือกว่ามารุกรานแคว้นไทที่ไม่ทำผิดอันใดแก่บ้านเมืองของเขา ในที่สุดเขาก็ต้องสิ้นชีวิตด้วยมือของคนพิการที่ไม่หนีไปจากการรุกรานของเขาชีวิตของเขาเป็นตัวอย่างของคนที่ปรารถนาในความดี แต่ต้องพบโชคร้ายเพราะเกิดมาในยามที่บ้านเมืองปั่นป่วน เตียวเหลียงรู้สึกด้วยตนเองในโชคร้ายนี้ ที่เขาจินไตก่อนที่เขาจะนำทัพเข้ามาในแดนไท เขาจึงได้บอกกับภูตจูโกเหลียงว่า ยามบ้านเมืองวิปริต ใครเล่าจะไม่รับผลร้ายจากความวิปริตนั้น เมื่อบ้านเมืองมีโชคร้าย เขาจะหนีความโชคร้ายของบ้านเมืองไปไม่ได้ เขาจะต้องรับกรรมไปกับบ้านเมือง เตียวเหลียงก็เหมือนกับคนทั้งปวงที่เกิดและมีชีวิตอยู่ในระหว่างที่บ้านเมือง มีความผันแปรและปั่นป่วน ในบ้านเมืองเช่นนี้ ทุกคนจะได้รับความทุกข์ ไม่มีซอกมุมใดในบ้านเมืองเช่นนี้ที่คนจะหาความสงบและความสุขได้ ทุกคนจะได้รับกระแสแห่งความปั่วป่วนและความวิปริตนั้น
ในบ้านเมืองทุกแห่ง ความจริงของชีวิตเป็นดังนี้ ดังนั้นขออย่าให้ใครเป็นต้นเหตุแห่งความปั่นป่วน และความวิปริตในบ้านเมืองเลย เพราะว่าผู้คนจะเดือดร้อนกันโดยทั่วไปและจะเดือดร้อนเป็นเวลานาน บางครั้งจะนานนับด้วยสิบหรือด้วยร้อยปี ทั้งที่เขาผู้นั้นใช้เวลาไม่นานนักในการทำร้ายบ้านเมืองนั้น ความเป็นมาและชีวิตในแผ่นดินจิ๋นแสดงความจริงในข้อนี้ได้ดี
ชีวิตสุดท้ายที่ต้องกล่าวถึง คือชีวิตของคนในเผ่าไท เขากระจัดพลัดพรากแยกกันอยู่ บางครั้งเขาก็รวมกันตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นมาได้และปกครองกันเอง ถึงแม้เขาจะเป็นเผ่าที่น้อยด้วยกำลังและแตกแยกกัน ถึงแม้เขาอาจจะล้าหลังในการจัดระเบียบภายในบ้านเมืองของเขา แต่เขาก็พยายามจะแก้ไขความบกพร่องและพยายามต่อสู้กับความวิปริตที่เกิดขึ้นภายในบ้านเมืองของเขา ไม่ว่าความวิปริตนั้นจะมาจากอำนาจภายนอกหรือจากคนไทด้วยกัน ด้วยความพยายามเช่นนี้ เทพยดาฟ้าและดินจะไม่ทอดทิ้งเขา ผู้ใดก็ตามถ้าใช้กำลังต่อคนไท ถ้ามาฉกฉวยความเป็นอิสระและความเป็นไทไปจากเขา หรือทำให้บ้านเมืองของเขามีความวิปริต และมีความแตกแยกกัน เทพยดาฟ้าและดินจะลงโทษผู้นั้น และถ้าคนที่ทำเช่นนั้นเป็นคนอยู่บนผืนแผ่นดินไท มีฟ้าและแผ่นดินไทปกป้องเขาอยู่ เขาจะได้ความอัปยศยิ่งนัก ขอให้ทุกคนรำลึกไว้เช่นนี้เถิด

จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ก็ลองติดตามดูนะครับเหตุการณ์ ของเรื่องราว ภาค ๒ (ไทวิวาทกันเอง)ตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยปัจจุบันมากที่สุด ย้อนรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต คล้ายกับว่า ยามศึกเรารบ ยามสงบเราทะเลาะกัน อ่านแบบตัวอักษรต่ออักษร แล้วท่านจะได้ข้อคิดอย่างไร ก็พิจารณาเอาเองเถิด อิสระชน แห่งยุคประชาธิปไตย ยุคความคิดที่เป็นประโยชต่อมนุษยชาติที่ไร้ขอบเขต